Sign in Buddha’s palm 210 ดับชีวิต

 

เกาะหยิงโจว

 

ซูฉินเดินออกมาทีละก้าว รัศมีพลังนั้นลึกซึ้งราวกับเทพเซียนด้านหลังของเขาค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมเกาะหยิงโจวเอาไว้เริ่มพังทลายลง

 

เหตุผลที่ซูฉินเข้าไปภายในค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ตั้งแต่แรกเป็นเพราะเขากังวลว่าเผ่าพันธุ์ภูตอสูรบนเกาะหยิงโจวจะตกอยู่ในความสิ้นหวังแล้วเลือกที่จะเผาทําลายหยกดั่งหินใช้พลังของค่ายกลฟ้าดินทั้งหมดของเกาะหยิงโจวจนเกาะพังทลาย

 

รู้หรือไม่ เหตุผลที่ซูฉินเดินทางมาหลายหมื่นลื้มายังทะเลบูรพาและใช้เวลาหลายต่อหลายวันเพื่อค้นหาเกาะหยิงโจวเฝ้าใฝ่หาเต่าสะสม” บนเกาะแห่งนี้

 

ถ้าเกาะหยิงโจวถูกทําลายลง ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาซูฉินใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์หรือ?

 

ด้วยเหตุนี้ ซูฉินจึงตั้งใจเข้าไปโดยมีเป้าหมายที่จะทําลายเผ่าภูตอสูรบนเกาะหยิงโจวจากภายใน

 

ด้านบนดาดฟ้าเรือประมง

 

กลุ่มของอาตัวทั้งสามคนต่างตกตะลึง

 

พวกเขารู้มาจากชิงชิวเฉียนเฉียนว่า ผู้นํา” ที่อยู่บนเกาะหยิงโจวได้สังหารซูฉินไปแล้ว

 

แต่ตอนนี้ซูฉันค่อยๆ เดินออกจากเกาะหยิงโจวดังนั้นร่างที่ลอยออกมาก่อนหน้าคงจะเป็น “ผู้นํา” ที่ชิงชิวเฉียนเฉียนพูดถึง?

 

“เป็นไปได้อย่างไร?!!”

 

เกิดคลื่นลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นในใจชิงชิวเฉียนเฉียน

 

ชิงชิวชิงหลิงเป็นหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิว แม้ความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ของพวกมันจะถูกสะกดไว้ แต่ก็มิสามารถดูแคลนนอกจากนี้ยังมีค่ายกลรูปแบบสังหารบนเกาะหยิงโจวการจัดการจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธเช่นซูฉินไม่ควรจะมีข้อผิดพลาดใดไม่ใช่หรือ?

 

แต่ในเวลานี้ชิงชิวชิงหลิงได้บินออกมาและค่ายกลฟ้าดินบนเกาะหยิงโจวก็เริ่มพังทลายลงมาซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก

 

อย่างไรก็ตาม แม้ชิงชิวเฉียนเฉียนจะตกใจแต่นางก็ไม่ได้กังวลมากนักเพราะรู้ว่าชิงชิวชิงหลิงนั้นไม่ง่ายที่จะจัดการ

 

“ข้าไม่รู้ว่าท่านหัวหน้าจะจัดการกับมนุษย์ผู้นี้ได้หรือไม่”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนมองดูเกาะหยิงโจวอย่างจริงจังน่าเสียดายในเวลานี้ค่ายกลได้พังทลายลงแล้ว แต่ยังไม่เห็นสิ่งใดชัดเจนนัก

 

“อีก!!”

 

ในเวลานั้น เสียงร้องคร่ําครวญก็ดังขึ้น ชิงชิวชิงหลิงก็ค่อยๆลอยตัวขึ้นมาเสื้อผ้าของนางขาดรุ่งริ่ง เผยให้ เห็นสัดส่วนภายในที่ขาวเนียนราวหิมะและในตอนนั้นเองไอพลังอันน่าสยดสยองก็ค่อยๆกระจายออกมา

 

ลมหายใจเหล่านี้ช่างน่าหวาดกลัวอย่างยิ่งยวดและมันกําลังหักล้างกับพลังอาณาเขตของซูฉินอย่างต่อเนื่อง

 

“มนุษย์ เจ้าทําให้ข้าโกรธแล้วจริงๆ”

 

“กี่ปีแล้ว ผ่านมากี่ปีแล้วกันนะ”

 

ผมสีดําของชิงชิวชิงหลิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว และด้านหลังของนางก็มีหางจิ้งจกขนาดใหญ่สามหางโผล่ขึ้นมาอ ย่างแผ่วเบา

 

ในตอนนี้ชิงชิวชิงหลิงยังคงรักษาร่างมนุษย์เอาไว้แต่กลับดูไม่เหมือนมนุษย์เลย ราวกับเป็นสัตว์ประหลาดจิ้งจอกตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงจุดนั้น

 

นี่คือร่างที่แท้จริงของชิงชิวชิงหลิง

 

จิ้งจอกสามหาง!

 

“ท่านหัวหน้าโกรธแล้วจริงๆ”

 

ไม่ไกลนัก ชิงชิวเฉียนเฉียนกลืนน้ําลายลงคอ ในช่วงที่กระแสปราณแห้งเหือดเช่นนี้ เหล่าภูตอสูรจําต้องปิดผนึกพลังส่วนใหญ่เพื่อไม่ให้ระดับชั้นตกลงไป

 

และชิงชิวชิงหลิงกลับเผยร่างแท้จริงอย่างเกรี้ยวกราดแม้จะทําให้พลังเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด แต่หลังจากนี้ไม่กี่วันนางจะถูกพลังฟ้าดินปราบปรามและความแข็งแกร่งจะลดลงไปหนึ่งระดับ

 

ที่ชิงชิวชิงหลิงต้องจ่ายด้วยราคาเช่นนี้เห็นได้ชัดว่านางกําลังโกรธจัดและต้องการสังหารซูฉินอย่างร้อนใจ

 

“เจ้ามนุษย์

 

“แม้ในช่วงสุดท้ายของจุดที่กระแสปราณฉีรุ่งเรืองเผ่าจิ้งจอกของข้าก็ยังคงรอดพ้นวิกฤตมาได้ แม้ตอนนี้จะเสื่อมโทรมลงไปมากแต่มรดกมากมายและพลังอํานาจยัง คงอยู่”

 

ชิงชิวชิงหลิงค่อยๆ พูดออกมาทีละคําและจู่ๆก็กรีดร้องออกมาอย่างกะทันหันกระแสความผันผวนอันน่าหวาดกลัวจากตัวนางก็พุ่งเข้าใส่ซูฉิน

 

“นี่คือทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของท่านหัวหน้า?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนถอยห่างไปหลายร้อยเมตรอย่างรวดเร็วทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่แยกแยะมิตรศัตรูหากชิงชิวเฉียนเฉียนอยู่ใกล้มากเกินไปอาจได้รับผลกระทบไปด้วย

 

“ทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้มีเพื่อใช้ต่อกรกับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ สามารถควบคุมชีวิตความเป็นความตาย แม้ว่ามนุษย์ผู้นี้จะทรงพลังอํานาจและสามารถบังคับให้ท่านหัวหน้าแสดงร่างที่แท้จริงได้แต่เขาไม่น่าจะอายุมากเท่าไหร่ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะ แข็งแกร่งสักเท่าไหร่กันเชียว?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนมองไปที่ซูฉินอย่างคาดหวังคิดว่าซูฉันคงจะต้องตกอยู่ภายใต้พลังของทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

 

อย่างไรก็ตาม

 

ถัดจากนั้นเพียงครู่เดียว

 

ต่อหน้าสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อของชิงชิวเฉียนเฉียนทักปะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัวถูกกวาดออกไปแต่ซูฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าที่สงบพลังงานคงที่ ถ้านางไม่ได้เห็นชิงชิวชิงหลิงปลดปล่อยทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกไปก่อนหน้านี้ ก็คงไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น

 

“สกัดกั้นได้อย่างนั้นหรือ?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมา

 

เมื่อเทียบกับชิงชิวเฉียนเฉียน ผู้ที่ปลดปล่อยทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างชิงชิวชิงหลินนั้นตกใจยิ่งกว่า

 

“จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจ้ามั่นคงและยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร?” ชิงชิวชิงหลิงไม่อยากจะเชื่อ

 

นางสัมผัสถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซุฉินได้ในชั่วขณะหนึ่งและรู้สึกได้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนั้นช่างทรงพลัง กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตทําให้ตัวนางตกใจอย่างยิ่ง

 

“จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์?”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเขาได้ฝึกฝน เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” เพื่อทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเสถียรมั่นคงเลยเพียงแค่กล่าวถึงองค์ยูไลทองคําขนาดใหญ่ที่อยู่ กึ่งกลางระหว่างคิ้วของเขาก็สามารถรับประกันได้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะไร้เทียมทานอยู่ยงคงกระพันไปตลอด

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง จากนั้นเขาก็ยกมีดเทพเจ้าปีศาจขึ้นมาค่อยๆฟันลงไปทางชิงชิวชิงหลิงอย่างไม่รีบร้อน

 

“แย่แล้ว!”

 

ท่าทีของชิงชิวชิงหลิงเปลี่ยนไปอย่างมาก

 

ตอนที่อยู่บนเกาะหยิงโจว นางเห็นด้วยตาตนเองว่าซูฉินใช้มีดวิเศษเล่มนี้ในการตัดทําลายค่ายกลสังหาร และค่ายกลฟ้าดิน

 

ตอนนี้ซูฉินจะใช้กระบวนท่าเดิมซ้ําอีกครั้ง ชิงชิวชิงหลิงจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร?

 

เสี้ยว

 

ร่างของชิงชิวชิงหลิงวูบไหวอย่างรวดเร็วราวกับประกายไฟแทบจะหนีคมมีดจากมีดเทพเจ้าปีศาจไม่พ้น

 

“เจ้ามนุษย์”

 

“พึ่งพาอาศัยกําลังของอาวุธ จะไปนับว่ามีความสามารถได้อย่างไร!!”

 

ชิงชิวชิงหลิงตกใจปนโกรธเกรี้ยวคมดาบนั้นเร็วเหลือเกิ อีกเพียงนิดเดียวนางก็จะถูกคมดาบเนื้อนตัดไปเสียแล้ว

 

พลังอันน่าสยดสยองของคมดาบนั้น ถ้ามันยังสามารถนั่นค่ายกลเป็นชิ้นๆได้หากกระทบมาที่ตัวของชิงชิวชิงหลิงผลที่ตามมาคงมีแต่หายนะ

 

ทันทีที่เสียงของชิงชิวชิงหลิงกล่าวจบซูฉินก็หยุดมือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าพูดถูกข้าไม่ได้ใช้มือเปล่ามานานแล้ว”

 

ซูฉินเก็บมีดเทพเจ้าปีศาจกลับไป

 

หลังจากนั้น ซูฉินยกมือขวาขึ้นกําหมัดแน่น “พอเป็นเช่นนี้ข้าก็จะได้ใช้หมัดของข้าได้”

 

“อะไรนะ?”

 

“ไม่ใช้อาวุธน่ากลัวอันนั้นแล้วหรอ?”

 

ชิงชิวชิงหลิงหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งนางแค่พูดไปอย่างนั้นเองไม่คิดว่าซูฉินจะทําตามที่นางบอกจริงๆ?

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“มนุษย์ เจ้าถูกหลอกแล้ว!”

 

ชิงชิวชิงหลิงหัวเราะออกมา ซูฉันเลิกใช้อาวุธและต้องการจะจัดการนางโดยใช้เพียงกายเนื้อล้วนๆซึ่งมันเป็นความคิดที่โง่เขลานัก

 

ต้องรู้ว่าร่างกายของสัตว์อสูรนั้นทรงพลังมาตั้งแต่แรกแม้ว่าภูตอสูรเผ่าจิ้งจอกจะไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องร่างกายที่แข็งแกร่งนักเมื่อเทียบกับภูตอสูรหรือสัตว์อสูรอื่นๆ แต่เมื่อ เทียบกับมนุษย์อย่างไรกายเนื้อของภูตอสูรจิ้งจอกก็ยังเหนือกว่าอยู่ดี

 

“มนุษย์ผู้นี้ตายแน่แล้ว”

 

ห่างไปหลายร้อยเมตร ชิงชิวเฉียนเฉียนส่ายหัวเล็กน้อย

 

เมื่อเฝ้าดูมาถึงตอนนี้ นางก็รู้ว่าซูฉินแข็งแกร่งมากแม้ว่าชิงชิวชิงหลิงจะเปิดเผยร่างที่แท้จริง แต่นางก็ไม่สามารถจัด การกับซูฉินได้กลับถูกซูฉินทุบตีเสียด้วยซ้ํา

 

แต่ที่ซูฉินทําเช่นนั้นได้ก็เพราะพึ่งพาอาวุธที่แสนน่ากลัวในมือของเขาเมื่อครู่

 

ตั้งแต่ต้น ชิงชิวเฉียนเฉียนไม่เคยเห็นซูฉินใช้วิธีการอื่นใด

 

ตอนนี้ซูฉินละทิ้งอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวแล้วหันไปต่อสู้ด้วยร่างกายกับชิงชิวชิงหลิง ก็เท่ากับใช้จุดด้อยของตนเองไปต่อสู้กับศัตรูด้วยความโง่เขลา

 

“พี่ชาย”

 

บนเรือประมง หญิงสาวอย่างอาตัวกําหมัดแน่นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจ นางหวังจริงๆว่าซูฉินจะเอาชนะได้

 

ท่ามกลางสายตาของทุกผู้ทุกคน

 

ซูฉินกระชับหมัดของตนเบาๆ

 

เมื่อหมัดนี้ถูกปล่อยออกไป มันทั้งบางเบาและแสนธรรมดาแม้แต่เด็กเล็กก็ยังเลียนแบบตามได้เจ็ดถึงแปดส่วนแต่หลังจากนั้นเพียงฉับพลันก็มีเสียงฟ้าคํารามระเบิดดังก้อง

 

ชั่วพริบตา

 

จู่ๆ ทั่วทั้งผืนฟ้าก็มืดครื้ม

 

เสียงฟ้าร้องน่าสะพรึงกลัวแว่วดังสายฟ้าวาบผ่านชั้นเมฆที่ละสายไอพลังแผ่พุ่งสูงสุดฟ้า

 

“นี่คือ?”

 

ม่านตาของชิงชิวชิงหลิงหดตัวลงเรื่อยๆ ดวงตาฉายแววที่นตระหนกร่างของซูฉินที่เปรียบประดุจสายฟ้าพราวระยับก็เข้าประชิดนางในทันทีจากนั้นหมัดก็กระทบเข้ากับร่างของนางเบาๆ

 

ฉีกกก!!!

 

หลังจากที่ร่างสัตว์อสูรจิ้งจอกของชิงชิวชิงหลิงรับหมัดนี้เข้าไป ทั้งร่างก็สะเทือนในทันใด รอยแยกปรากฏขึ้นที่กึ่งกลางพื้นที่ที่หมัดของซูฉินตกกระทบรอยแยกนี้ยังคง แตกแขนงแผ่กระจายออกไปขยายตัวปริแตกอย่างต่อเนื่องในที่สุดรอยปริแตกก็กระจายไปทั่วร่างของชิงชิวชิงหลิง

 

เมื่อสายลมพัดผ่านมา

 

ร่างของชิงชิวชิงหลิงก็เริ่มแตกสลายและถูกทําลายหายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์

 

ผู้ชมโดยรอบเงียบกริบ โดยเฉพาะชิงชิวเฉียนเฉียนที่ดวงตาทั้งสองข้างแข็งที่อด้วยความไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า