ตอนที่ 447 ประกาศรับสมัคร

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 447 ประกาศรับสมัคร

สำหรับเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนจะมาจวนหลี่ หลี่จินโต้วย่อมให้ความสำคัญอย่างมากโดยมิต้องสงสัย

เขาคือพ่อค้า ตระกูลของเขาเป็นพ่อค้า แต่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นขุนนาง ทั้งยังเป็นขุนนางชั้นสูง และยังเป็นบุตรเขยของเสนาบดีต่ง ทั้งยังเป็นหลานเขยของอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน และอีกทั้งยังเป็นบุตรเขยของฝ่าบาทอีกด้วย !

ให้ตายเถอะ ยังมีผู้ใดในราชวงศ์หยูที่มีเบื้องหลังใหญ่โตถึงเพียงนี้อีกหรือไม่ !

หากรวมกับตำแหน่งองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ที่เขาเล่าลือกันมา… ใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดอีกกัน ?

นี่ต่างหากที่เป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง หลี่จินโต้วย่อมไม่กล้าดูเบา

ดังนั้นวันนี้หลังจากที่ได้รับข่าวจากบุตรชายอย่างหลี่ฉาย เขาก็ได้รีบออกมาจากธนาคารเป่าหลงทันที และได้เรียกบุตรชายคนโตหลี่เจีย บุตรคนที่สามหลี่ว่านรวมไปถึงบุตรคนที่สี่หลี่ก้วนกลับมาอีกด้วย

เขาได้ให้หลี่ฉายไปยังหอซื่อฟางเพื่อเชิญพ่อครัวที่ดีที่สุดมาทำอาหาร และให้บ่าวรับใช้ในจวนทำความสะอาดทั้งด้านในและด้านนอกจวนให้สะอาด

หลี่จินโต้วและบุตรชายทั้งสี่กำลังนั่งอยู่ในห้องอักษร จุดธูปไม้จันทน์หนึ่งก้าน ชงชาชั้นดีหนึ่งกา เขากวาดสายตาไปมองบุตรชายทั้งสี่ และกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า

“งานอภิเษกสมรสของคุณชายฟู่ ตระกูลหลี่ได้มอบปะการังให้ 1 คู่ ถึงแม้มูลค่าจะเพียงแค่ 1,000 ตำลึงทอง แต่บัดนี้เกรงว่าพวกเราจะมอบของที่เล็กน้อยจนเกินไป พ่อคาดมิถึงว่าเขาจะสังเกตเห็นตระกูลหลี่ของพวกเรา…”

สีหน้าบนใบหน้าของหลี่จินโต้วค่อนข้างเคร่งเครียด เขาลูบเคราใต้คางที่ยาวราวกับแพะ และกล่าวอีกว่า “ในเมื่อเจ้ารองได้สนทนากับคุณชายฟู่แล้ว และได้เชิญคุณชายฟู่มา ค่ำคืนนี้ พวกเราพี่น้องทั้งสี่ก็เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับเขาหนึ่งชุดด้วยเถิด แต่อย่าได้เอ่ยว่านี่คือของขวัญงานอภิเษกสมรส”

“เจ้ารองจัดการไว้ได้งดงามยิ่ง ภายภาคหน้ายามอยู่ในราชสำนักเจ้าจะต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เพราะเพียงคุณชายฟู่ก้าวข้ามธรณีประตูของตระกูลหลี่เข้ามาแล้ว ร่างของเจ้าก็จะมีตราประทับของคุณชายฟู่แล้ว อย่าได้ทำให้คุณชายฟู่ขายหน้าเป็นอันขาด”

หลี่ฉายรู้สึกชื่นมื่น เขารินน้ำชาให้แก่บิดาและพี่น้องของตน แล้วกล่าวว่า “ย่อมเป็นเยี่ยงนั้น เพียงแค่ข้ามิคาดคิดมาก่อนว่าคุณชายฟู่จะเป็นคนที่โอนอ่อนตามเยี่ยงนี้ เดิมทีข้าได้เชิญชวนเขาไปที่หงซิ่วจาว มิคาดคิดมาก่อนว่าหลังจากที่เขาได้ยินนามของท่านพ่อขึ้นมา กลับอยากมาเยี่ยมเยียนที่จวนแทน”

พี่ใหญ่หลี่เจียคิ้วขมวดเล็กน้อย และเอ่ยถามว่า “เขาคือคนที่ยุ่งมากผู้หนึ่ง มีความตั้งใจอันใดถึงจะมาที่จวนของพวกเรากัน ? ”

หลี่จินโต้วครุ่นคิด “เกรงว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายที่กำลังผลักดันของแคว้นหยูในปัจจุบันนี้”

เจ้าสามหลี่ว่านดวงตาเป็นประกาย “ท่านพ่อ ท่านว่าเขาจะเชิญท่านไปเป็นที่ปรึกษาของเขาหรือไม่ เยี่ยงไรเสียนโยบายใหม่ก็วนเวียนอยู่กับการฟื้นฟูและการพัฒนาการค้า ถึงแม้คุณชายฟู่จะเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งยุค แต่หากกล่าวถึงความรู้ทางด้านการค้า เยี่ยงไรแล้วเขาก็เพิ่งจะอายุ 17 ปี จะมีประสบการณ์เทียบเท่ากับท่านได้เยี่ยงไรกัน ! ”

หลี่จินโต้ว มิได้เอ่ยตอบ เขาลิ้มรสชาอย่างช้า ๆ ในหัวก็คิดไปอย่างรวดเร็ว

มิมีเรื่องก็มิแวะเวียนมา ก่อนที่ฟู่เสี่ยวกวนจะมาจวนหลี่ ย่อมต้องมีเรื่องเป็นแน่ และเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นดั่งที่เจ้าสามได้กล่าวไว้

แต่ธนาคารเป่าหลงอยู่ในการควบคุมของเขา เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังของธนาคารเป่าหลงในตอนนี้ก็คือฮองเฮาซั่ง ซึ่งก็คือแม่ยายของฟู่เสี่ยวกวน !

พวกเขาต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองใจได้ทั้งสองฝั่ง เมื่อถึงเวลานั้นหากฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวออกมาแล้ว… เรื่องนี้คงต้องให้ฮองเฮาซั่งเป็นผู้ตัดสินใจ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวกับบุตรคนที่สี่ว่า “พวกเจ้าอย่าได้คาดเดามั่ว ๆ เลย เรื่องที่คุณชายฟู่ลงมือทำย่อมเป็นเรื่องใหญ่ และตระกูลหลี่ของข้า นอกจากเจ้ารองที่เป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักแล้ว ที่เหลือต่างก็เป็นพ่อค้ากันทั้งสิ้น คุณชายฟู่กำลังทำงานอย่างหนักก็เพื่อฟื้นฟูฐานะของพ่อค้า นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดีต่อตระกูลของพวกเรา ดังนั้น รอหลังจากที่คุณชายฟู่ได้มาถึง พวกเจ้าก็คอยปรนนิบัติอย่างระมัดระวังเสียหน่อย และอย่าได้ทำให้ผู้มีอำนาจคนใหม่ในเมืองหลวงผู้นี้ขุ่นเคืองใจเป็นอันขาด ! ”

คำเอ่ยนี้ย่อมเข้าหูของบุตรชายทั้งสี่ พวกเขาทราบมาว่าความสามารถด้านวรรณกรรมของฟู่เสี่ยวกวนมิมีผู้ใดที่สามารถเทียบเคียงได้ และพวกเขาก็ทราบถึงสถานะอันสูงศักดิ์ของฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นในใจของพวกเขาจึงกระวนกระวายอย่างถึงที่สุด เขาที่ประสบความสำเร็จ คนเยี่ยงนี้ ย่อมต้องปรนนิบัติให้ดี

……

……

ในยามที่หลี่ฉายออกมาต้อนรับฟู่เสี่ยวกวนที่มาถึงจวนหลี่ ท้องนภาก็ได้มืดไปแล้ว

หลี่จินโต้วได้พาบุตรทั้งสามมายืนรออยู่ที่หน้าธรณีประตูของจวนหลี่ และต้อนรับเขาอย่างกระตือรือร้น

“ข้า หลี่จินโต้ว และบุตรทั้งสี่ขอร่วมพบท่านฟู่ ! ”

ทั้งห้ากุมมือและโค้งคำนับ ฟู่เสี่ยวกวนรีบปรี่เข้าไป และประคองหลี่จินโต้วไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านทำให้ข้านึกอับอายเสียแล้ว มาเยี่ยมเยียนถึงจวนท่านอย่างบุ่มบ่าม ต้องขอให้ท่านหลี่โปรดอย่าได้รังเกียจกันเลยจึงจะถูกต้อง”

“ท่านฟู่ได้มาเยือนจวนที่ต่ำต้อย ทำให้จวนหลี่มีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างแท้จริง ท่านฟู่โปรดกรุณาด้วย ! ”

“ท่านหลี่และทุกท่านกรุณาด้วย ! ”

คำกล่าวทักทายที่แสนเรียบง่ายในยามที่พบหน้า ทำให้หลี่จินโต้วและบุตรชายทั้งสี่ต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนเสียใหม่

นอกจากหลี่ฉาย นี่เป็นคราแรกของพวกเขาทั้งสี่ที่ได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่มีนามเลื่องระบือ

นักวรรณกรรมจำนวนมากหยิ่งยโส แต่ผู้ที่อายุ 17 ปีเฉกเช่นฟู่เสี่ยวกวนกลับเป็นผู้นำด้านวรรณกรรมในใต้หล้านี้ เดิมทีเขาควรมีความหยิ่งยโส แต่คาดมิถึงว่าเขาจะสุภาพเรียบร้อยถึงเพียงนี้

เขาอยู่ในตำแหน่งที่สูง ฐานะอันทรงเกียรติ เดิมทีคิดว่าเขาจะทำตัวสูงเสียดฟ้า แต่คาดมิถึงว่าเขาจะถ่อมตนถึงเพียงนี้

มารยาทของเขาครอบคลุมอย่างทั่วถึง น้ำเสียงของเขาอ่อนนุ่ม แม้แต่ทุกท่วงท่าของเขา ในสายตาของบุตรทั้งสี่ที่อยู่ทางด้านหลังของหลี่จินโต้วและฟู่เสี่ยวกวน ท่าทางที่แสดงออกมานั้นทั้งสงบและใจกว้าง

ดังนั้นนี่คือการซ่อนน้ำหมึกที่เปื้อนอกอย่างถ่อมตัว กวีเต็มท้องตัวตนย่อมสง่างามอย่างที่ท่านพ่อมักจะกล่าวอยู่เสมอ !

เป็นผู้ที่มากความสามารถอย่างแท้จริง !

ความกระวนกระวายในใจของพวกเขาถูกปล่อยวาง ในฐานะพ่อค้า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการติดต่อกับขุนนาง โดยเฉพาะขุนนางประเภทอหังการ !

เห็นได้ชัดว่าฟู่เสี่ยวกวนมิใช่ขุนนางเยี่ยงนั้น แล้วเขาเป็นขุนนางแบบไหนกัน ?

ภายใต้การนำทางของหลี่จินโต้ว ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ก็ได้มาถึงห้องอาหาร และเกิดการถ่อมตนขึ้นมาอีกครา ท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็มิอาจแย้งความตั้งใจของหลี่จินโต้วได้ และนั่งลงในตำแหน่งหัวโต๊ะ

“วันนี้หลี่ฉายได้เชิญข้ามา เดิมทีควรจะมาเร็วกว่านี้ แต่คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะรั้งให้ข้าอยู่ต่อ เรื่องนี้หลี่ฉายเองก็รับทราบ”

หลี่ฉายพยักหน้า และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ท่านฟู่เป็นพระราชบุตรเขยของฝ่าบาท และข้าก็ทราบดีว่านโยบายของแคว้นฉบับนี้เป็นท่านฟู่ที่ร่างขึ้นมา และในตอนนี้เนื่องจากจะผลักดันในทุกด้าน คิดว่าฝ่าบาทคงประสงค์ที่จะไถ่ถามเกี่ยวกับนโยบายกับท่าน”

“เจ้ากล่าวได้มิผิด คำถามนี้ ถูกถามตั้งแต่หลังจากที่เลิกประชุมใหญ่ราชวงศ์จนถึงยามค่ำ ข้าได้กลับไปที่จวนและอธิบายให้เหล่าภรรยาฟัง จึงทำให้หลี่ฉายต้องรอนานเสียได้”

“คำเอ่ยของท่านฟู่ทำให้ข้าน้อยนึกขลาด มิต้องกล่าวว่าให้รอถึง 1 ชั่วยาม ต่อให้ต้องรอทั้งคืน ข้าน้อยก็ยินดี ที่กล่าวมานี้มิได้ต้องการตีก้นม้าของท่าน แต่นโยบายที่ท่านผลักดันนั้น เป็นประโยชน์ต่อแคว้นและราษฎรอย่างแท้จริง ทำให้ข้าน้อยชื่นชมเป็นอย่างมาก”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “เป็นจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลี่ฉายตอบกลับอย่างจริงจังว่า “เป็นจริงดังนั้นอย่างแน่นอน ! ”

“เยี่ยงนั้น…” ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาและมองไปทางหลี่ฉาย “เพื่อผลักดันนโยบายใหม่ ข้าจะจัดตั้งกรมการค้าขึ้นมาในราชสำนัก หากข้าจะเชิญให้หลี่ฉายมาดำรงตำแหน่งในกรมการค้า เจ้าจะยินยอมหรือไม่ ? ”

หลี่ฉายตกตะลึงไปทันพลัน ข้าเพิ่งจะไต่ขึ้นมาเป็นชื่อหลางฝ่ายขวาในกรมคลังได้มิเกิน 1 เดือนดี เจ้ากลับจะเชิญข้าไปยังกรมการค้าเยี่ยงนั้นหรือ… “ว่าแต่กรมการค้า เป็นกรมแบบใดกัน ? ”

“แน่นอนว่าเป็นกรมที่ควบคุมการค้าของราชวงศ์หยู เป็นผู้นำโดยตรงของกิจราชสำนัก สูงกว่าอีก 6 กรมอยู่ครึ่งขั้น เห็นว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

ดวงตาชราของหลี่จินโต้วเป็นประกาย และลอบเตะขาของหลี่ฉายใต้โต๊ะ หลี่ฉายจึงลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรน และโค้งคำนับ “ข้าน้อยยินยอมขอรับ ! ”

“ดี ! พรุ่งนี้เจ้าไปรอข้าที่เสมียนกลาง เจ้าเป็นคนแรกที่ข้ารับสมัครมาด้วยตนเอง พวกเรามาผลักดันให้การค้าของราชวงศ์หยูขึ้นไปสู่ระดับสูงกันเถิด ! ”

หลี่จินโต้วดีใจเป็นอย่างมาก และได้ตะโกนเสียงดัง “ให้คนนำสุรามาขึ้นโต๊ะ ! ”