บทที่ 572 เป่าเล่อ เจ้าเข้าใจไหม

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 572 เป่าเล่อ เจ้าเข้าใจไหม
ขณะที่พวกหวังเป่าเล่อกลับออกจากจุดที่ได้ประมือกับโจวชู่เต๋า ที่ลานกว้างของสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นตกอยู่ในความเงียบงัน ได้ยินเพียงแต่เสียงลมหายใจ แม้จะมีเสียงพูดคุยกันอยู่บ้าง แต่ศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนนิ่งเงียบกันหมด

พวกเขาเห็นการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อและโจวชู่เต๋าในช่วงต้นเป็นไปอย่างสูสีคู่คี่ ก่อนจะมีชุดเกราะที่สร้างจากเส้นปราณสีเลือดปรากฏขึ้นบนร่างกายหวังเป่าเล่อ สิ่งนี้เองที่เป็นตัวทำให้สถานการณ์ทั้งหมดพลิกผันไปหมด!

จะถือว่าชุดเกราะนี้เป็นต้นกำเนิดของพลังรบทั้งหมดก็ไม่ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏในสายตานั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนยากจะทำใจเชื่อได้

เหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐนิ่งเงียบ คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าภายใน พวกเขาต่างคิดว่าพลังของหวังเป่าเล่อนั้นเป็นเรื่องเกินจริง

เฟิ่งชิวหรันแปลกใจอยู่ลึกๆ เช่นกัน ความรู้สึกมากมายกรูเข้าสู่จิตใจ นางจ้องหวังเป่าเล่อผ่านจอภาพพลางครุ่นคิดเกี่ยวกับพลังของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิ ลึกๆ ก็ยังแปลกใจที่หวังเป่าเล่อสามารถเอาชนะคนอื่นได้!

นางไม่ได้ตั้งความหวังกับพวกหวังเป่าเล่อเท่าไหร่ในตอนแรก กลับคิดว่าถ้าไม่มีปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้น เด็กทั้งสามคงไม่สามารถขึ้นไปเป็นสามอันดับแรกได้โดยพึ่งแค่พลังของตนเอง

แต่ตอนนี้ เฟิ่งชิวหรันก็ต้องยอมรับว่าตนนั้นคิดผิดไป นางได้ประเมินความสามารถของสหพันธรัฐที่เป็นพันธมิตรของตนเองต่ำไป!

พวกเขาส่งยอดฝีมือเช่นนี้มายังสำนักวังเต๋าไพศาล ตัวข้าช่างน่าละอายเสียจริงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความใจกว้างของสหพันธรัฐ! เฟิ่งชิวหรันคิดว่าหากเป็นตนคงไม่คิดส่งคนมากความสามารถเช่นหวังเป่าเล่อออกไปแน่ เพราะหากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจะกลายเป็นการสูญเสียที่ยากเกินรับมือได้ไหว

แต่นางก็มองว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสหพันธรัฐเช่นกัน!

เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็คิดคล้ายๆ กันขณะมองหวังเป่าเล่อผ่านหน้าจอเงียบๆ สหายแห่งเต๋าโยวหรันเองก็เช่นกัน แตกต่างกันที่ลึงลงไปในตาของเขามีแสงเย็นเยียบแฝงไปด้วยจิตสังหารซ่อนอยู่!

มีคนเหลืออยู่บนสนามทดสอบประมาณร้อยต้นๆ หลังการเคลื่อนย้ายครั้งแรกจบลง การทดสอบวันแรกเป็นไปอย่างดุเดือดทำให้มีการเก็บสะสมกุญแจไปได้มากมาย

กลุ่มคนที่เหลือรอดกระจัดกระจายกันไปตามแต่ละที่ พวกเขาต่างเฝ้าระวังการโจมตีจากพวกไร้กุญแจ เนื่องจากวันแรกเป็นไปอย่างดุเดือด วันที่สองจึงค่อนข้างสงบเงียบตามการคาดการณ์ของเจ้าเยี่ยเหมิง

แม้จะมีการต่อสู้และเข้าปะทะกันบ้างเป็นช่วงๆ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าในสนามทดสอบแห่งนี้มีอยู่สี่คนที่ไม่ควรไปยุ่งด้วย สามในสี่เป็นศิษย์เอกที่เหลืออยู่ ส่วนอีกคนคือหวังเป่าเล่อ ศิษย์เอกจากสหพันธรัฐ!

‘ศิษย์เอกของสหพันธรัฐ’ เป็นคำยกย่องที่ผู้คนในสนามทดสอบใช้เรียกหวังเป่าเล่อ สำหรับพวกเขาแล้ว คำว่า ‘ศิษย์เอก’ นั้นดูเหมาะสมกับตัวตนของชายหนุ่มดี

ดังนั้น จุดที่หวังเป่าเล่อและศิษย์เอกอีกสามคนอยู่จึงกลายเป็นเขตต้องห้ามสำหรับศิษย์คนอื่นๆ พวกเขาไม่กล้าย่างกรายเข้าไปใกล้ แค่เห็นเงาหนึ่งในสี่คนนั้นอยู่ลิบๆ ก็รีบวิ่งแจ้นหนีไปแล้ว

หลังจากท่องนภาอยู่สักพักและสังเกตเห็นเหล่ากุญแจที่กระจัดกระจายอยู่บนแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรีรีบหนีห่างออกไป หวังเป่าเล่อก็บอกให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าลงไปพักบนยอดเขาลูกหนึ่ง

สำหรับคนอื่น การหากุญแจเพิ่มถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย นอกจากนี้ยังไม่มีใครกล้ามาชิงเอากุญแจไปจากเขาอีกด้วย ชายหนุ่มรู้ว่าในตอนนี้เหลือศัตรูเพียงแค่สามคน!

ซึ่งก็คือ ตู้กูหลิน ลู่หยุน และเนื้อคู่แห่งเต๋าของโจวชู่เต๋า หวงหยุนซาน!

หวังเป่าเล่อไม่ได้ดูถูกทั้งสามคนนี้เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะตู้กูหลิน ชายหนุ่มมองว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจที่สุด!

“ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สามอันดับแรกคงจะมาจากพวกเจ้าสี่คน” ขณะหวังเป่าเล่อกำลังมองแผนที่บนฟากฟ้ายามราตรี เจ้าเยี่ยเหมิงก็เอ่ยขึ้นเสียงนิ่มนวล

“เป่าเล่อ แล้วเจ้าอยากจะขึ้นไปอยู่ในสามอันดับแรก หรือจะเลือกเดินทางสายโดดเดี่ยว” ดวงตาของเจ้าเยี่ยเหมิงสว่างวาบขณะจ้องมองหวังเป่าเล่อ

กงเต๋าก็หันมองชายหนุ่มเช่นเดียวกัน หากหวังเป่าเล่อเลือกทำอย่างหลังจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากทีเดียว…

หวังเป่าเล่อหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะขึ้น

“ข้าอยากจะเดินทางสายโดดเดี่ยวเพื่อกำจัดทุกคนทิ้ง จะได้มีต้องมีอันดับสองหรือสาม มีแค่อันดับหนึ่งเพียงเท่านั้น! พอการทดสอบสิ้นสุด พวกเราแต่ละคนจะได้ใบต้นไฮยาซินมาครอบครอง!”

“ลงมือเลย!” กงเต๋าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เจ้าเยี่ยเหมิงลูบหน้าผาก เหมือนนางจะคาดไว้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มต้องเลือกทำเช่นนี้ พอได้ยินคำตอบของหวังเป่าเล่อ นางก็สบายใจขึ้น ไม่มันคิดเรื่องกฎเกณฑ์อะไรให้มากมายอีกต่อไป

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเลิกวิเคราะห์สถานการณ์ เจ้าจัดการด้วยตนเองได้เลย แต่ขอเตือนไว้ว่าคู่ต่อสู้คนต่อไปอาจจะมาปรากฏตัวก่อนการเคลื่อนย้ายครั้งที่สอง ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นหวงหยุนชาง เนื้อคู่แห่งเต๋าของโจวชู่เต๋า!”

“มาตามแก้แค้นหรือ” กงเต๋าเลิกคิ้วสูง

“มาให้กุญแจเรามั้ง! กงเต๋า พักหลังมาเจ้าฉลาดน้อยลงเยอะนะ” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดน้ำเสียงราบเรียบ

กงเต๋าเบ้ปากแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ ในใจก็แอบคิดไปว่าไม่ว่าใครก็คงต้องยอมก้มหัวให้กับสองคนนี้ คนหนึ่งไร้เทียมทานด้านการสู้รบ ส่วนอีกคนก็มีสติปัญญาเหนือชั้นกว่าผู้ใด แล้วตัวเขาจะไปเถียงอะไรกลับได้ หากเป็นคนอื่นคงจะลืมไปแล้วว่าตนยังมีตัวตนอยู่บนโลก

พอเห็นท่าทีแปลกๆ ของกงเต๋า หวังเป่าเล่อก็กระแอมไอ เกือบจะเอื้อมไปหยิบเอาขนมออกมากินตามสัญชาตญาณ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเหลือขนมอยู่นิดเดียว แถมสถานการณ์ก็ยังไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ จึงได้แต่หักห้ามใจตนเอง เขาเชิดหน้าขึ้น พยายามรักษาท่าทีทะนงตนดังเดิม

แล้วก็เป็นจริงตามที่เจ้าเยี่ยเหมิงคาดการณ์เอาไว้ หลังจากพักผ่อนกันได้ครึ่งวันก็เห็นดาวดวงหนึ่งที่มีกุญแจรวมกันอยู่มากกว่าสามสิบดอกบนแผนที่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

ฝูงชนทั้งในและนอกสนามทดสอบต่างให้ความสนใจเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น พวกหวังเป่าเล่อเห็นดังนั้นก็นั่งรอไม่หนีไปไหน

หนึ่งชั่วโมงต่อมาก ดาวดวงนั้นก็เข้ามาใกล้ทั้งสามก่อนจะเผยให้เห็นร่างของหวงหยุนซานที่พุ่งมาดั่งเปลวเพลิง

นางรวดเร็วยิ่งนัก เมื่อครู่ยังอยู่ไกลออกไป แต่เพียงพริบตาเดียวก็เข้าใกล้ทั้งสาม ก่อนจะลงเหยียบลงบนยอดเขา นางหันมองเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นผู้แรก แทนที่จะเป็นหวังเป่าเล่อ

เจ้าเยี่ยเหมิงยิ้มให้ หวงหยุนซานเองก็ยิ้มตอบ จากนั้นก็หันไปมองหวังเป่าเล่อหัวจรดเท้า ส่วนหวังเป่าเล่อก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน

ทันใดที่สายตาทั้งคู่ประสานกัน หวงหยุนซานก็หัวเราะขึ้น

“ถ้าคนรักของข้าพ่ายแพ้ให้กับเจ้า ข้าเองก็คงสู้เจ้าไม่ได้เช่นกัน เช่นนั้นข้าขอมอบกุญแจของข้าให้ เจ้าชนะคนรักของข้าได้ ฉะนั้นจงสู้ต่อไปและคว้าอันดับหนึ่งมาให้ได้!” หวงหยุนซานยกมือขวาขึ้นโบกส่งกุญแจหลายสิบชิ้นไปให้หวังเป่าเล่อ

นางมองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ก่อนจะยิ้มให้และหันกลับออกไป

ตั้งแต่มาถึงจนกลับออกไป นางพูดเพียงแค่นั้น กงเต๋ามองหวังเป่าเล่อสลับกับเจ้าเยี่ยเหมิงพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หวังเป่าเล่อเองก็เหมือนจะกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนเสียงของกงเต๋าจะดังขึ้น

“เป่าเล่อ นางต้องตกหลุมรักเจ้าแน่…มิเช่นนั้น ทำไมนางต้องลำบากเดินทางมาตั้งไกลเพิ่มมายกกุญแจให้เจ้า…”

หวังเป่าเล่อกะพริบตา กำลังจะอ้าปากพูด แต่เจ้าเยี่ยเหมิงก็ส่งเสียงแค่นจมูกขัดขึ้นก่อน

“กงเต๋า เจ้าฉลาดน้อยลงจริงๆ ด้วย”

“พูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร เจ้าเยี่ยเหมิง!” กงเต๋าแสร้งทำเป็นโกรธ เขาพูดไปอย่างนั้นเพื่อแกล้งเจ้าเยี่ยเหมิง

“ก็ไม่ได้หมายความว่าอะไร แต่ถ้าคนรักของข้าพ่ายแพ้ให้กับคนอื่น ข้าก็คงคิดว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในการทดสอบ ซึ่งก็หมายความว่าคนรักของข้าพ่ายแพ้ให้กับยอดฝีมือ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ข้าก็จะเสียชื่อเสียงไปไม่มาก คนรักของข้าเองก็จะไม่เสียกำลังใจไป ในอนาคตจะต้องกลับมาแก้มือได้สำเร็จ!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเสียงเรียบ กงเต๋าไม่รู้จะเถียงอะไรกลับจึงได้แต่พูดพึมพำ

“เจ้าก็บ้าไม่แพ้กัน…”

“เพราะเจ้าไม่เข้าใจต่างหาก!” เจ้าเยี่ยเหมิงหัวเราะ นางหันมองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาเป็นประกายก่อนจะถามขึ้น “เป่าเล่อ เจ้าเข้าใจใช่ไหม”

หวังเป่าเล่อใจเต้นแรงเมื่อเห็นสายตาที่มองมา ขณะที่ตนเองก็แอบเหลือบมองเจ้าเยี่ยเหมิงที่กำลังนั่งลง…