ครั้นเปิดอ่าน เห็นเพียงอักษรเรียงรายแน่นขนัด เห็นได้ชัดว่าเขียนขณะกำลังเร่งรีบ ในจดหมายมีเนื้อความเกี่ยวกับชัยชนะตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำศึกของกองทัพแคว้นเฉิง ท้ายจดหมายลงท้ายไว้ด้วยอักษรตัวเล็กๆ ว่า ‘ถึงหญิงอันเป็นที่รัก’
บทกลอนมีเนื้อความว่า ครั้งกระโน้นเก็บเก๋อเกิน[1] ไม่เห็นหน้าหนึ่งวัน เหมือนไม่เห็นกันสามเดือน ครั้งกระโน้นเก็บเซียวเฉ่า[2] ไม่เห็นหน้าหนึ่งวัน เหมือนไม่เห็นกันสามฤดูใบไม้ร่วง ครั้งกระโน้นเก็บอ้ายเฉ่า[3] ไม่เห็นหน้าหนึ่งวัน เหมือนไม่เห็นกันตั้งสามปี
เขาคิดถึงนางเหลือเกิน
หัวใจของซูหลีอบอวลไปด้วยความหอมหวาน นึกถึงสายตาอ่อนโยนของเขายามเขียนบทกลอนนี้ ความคิดถึงก็ยิ่งทวีคูณ
ตั้งแต่ที่นางไปส่งตงฟางเจ๋อออกเดินทางในวันนั้น จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสองเดือนผ่านไปแล้ว ฤดูกาลล่วงเลยเข้าสู่หน้าร้อน พักนี้นางไม่อยากอาหารนัก จึงมีอาการปวดท้องเล็กน้อยเป็นครั้งคราว ครั้นเรียกเจียงหยวนมาตรวจอาการ ปรากฏว่านางตั้งครรภ์แล้ว
ซูหลีดีใจเสียยิ่งกว่าสิ่งใด นางลูบท้องตนเองเบาๆ ยิ้มแล้วพูดพึมพำว่า “หวังว่ายามเจ้าเกิด เสด็จพ่อของเจ้าจะกลับมาแล้ว” เอ่ยจบก็หันไปสั่งให้คนนำกระดาษและหมึกเข้ามา คัดลอกเทียบยาดูแลครรภ์ด้วยตนเองหนึ่งแผ่น เพื่อเป็นจดหมายตอบกลับให้เขา
ตงฟางเจ๋อได้รับจดหมายตอบกลับ ย่อมต้องดีใจและตื่นเต้นมาก ท้ายเทียบยา เขาเห็นอักษรตัวเล็กเขียนทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง ‘แหงนหน้ามองดวงตะวันและจันทราบนฟากฟ้า เวลาล่วงผ่านคำนึงหาไม่จางหาย’
ประโยคถัดไป แม้นางไม่เขียนเขาก็รู้ ระยะทางห่างไกลตั้งตารอ เมื่อใดหนอจะย้อนคืนมาเคียงกาย?
นางเองก็คิดถึงเขาเช่นกัน จึงได้ถามว่าจะกลับไปหานางเมื่อใด
เดิมทีตงฟางเจ๋อก็คิดถึงนางมากอยู่แล้ว ยามนี้หัวใจยิ่งร้อนรนอยากกลับบ้าน เขาออกคำสั่งให้เคลื่อนพลลอบโจมตีกองทัพแคว้นเปี้ยนในคืนนั้นทันที เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่สิบวัน สามารถบุกยึดเมืองได้หลายเมืองติดต่อกัน ขวัญกำลังใจของกองทัพแคว้นเฉิงพุ่งขึ้นถึงขีดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ เพื่อที่จะกลับไปหานางให้เร็วขึ้น ตงฟางเจ๋อตัดสินใจบุกประชิดเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนในคราวเดียว
ต้นเดือนสิบเอ็ด ในที่สุดเขาก็ยึดเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนสำเร็จ และจับเป็นหยางจิ้น ยามนี้บนแผ่นดินของแคว้นเปี้ยน หนึ่งในสามแคว้นใหญ่ในอดีตเต็มไปด้วยธงของกองทัพแคว้นเฉิง
หยางเซียว กลับยังคงไร้ร่องรอย
ท้องของซูหลีเริ่มโตขึ้นทุกวัน อายุครรภ์หกเดือนกลับดูเหมือนเจ็ดแปดเดือน ยามเดินเหินก็เริ่มกินแรง
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนนาง เดินไปได้ไม่นาน ซูหลีก็เริ่มเหนื่อย หากไม่มีโม่เซียงคอยประคอง เกรงว่านางคงจะยืนไม่อยู่แล้วด้วยซ้ำ
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเรียกเกี้ยวหามมา ซูหลีขึ้นนั่งก็ให้รู้สึกสบายขึ้นมาก ครั้นมองหน้าซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย ซูหลีก็รู้สึกได้ว่าพักนี้นางมีเรื่องกลัดกลุ้มใจ จึงอดถามด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้าทุกวัน ไม่กลัวพี่ใหญ่ข้าเหงาบ้างหรือ?”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยฝืนยิ้มเล็กน้อย “พักนี้…เขางานยุ่งมาก ไม่มีเวลาสนใจข้าหรอก”
ซูหลีรู้สึกผิดสังเกต จึงสั่งให้ข้ารับใช้แบกเกี้ยวหยุด แล้วจึงค่อยถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยก้มหน้าแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ได้ยินว่าท่านอัครเสนาบดีซูจัดการเรื่องหมั้นหมายให้เขาแล้ว เป็นคุณหนูสกุลหยวน”
ซูหลีตกตะลึง “น้องสาวของหยวนเซี่ยงหรือ?”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพยักหน้า สายตาสะท้อนแววกังวลอย่างปิดไม่มิด
ซูหลีกลับยิ้มแล้วบอกว่า “ครั้งที่แล้ว ตอนเกิดเหตุการณ์อันตรายขึ้นที่สนามในคลังแสง คนแรกที่เขาปกป้องคือเจ้า เจ้ายังสงสัยความรู้สึกที่เขามีต่อเจ้าอีกงั้นหรือ? พี่ใหญ่เป็นคนมั่นคงและหนักแน่น แม้อัครเสนาบดีซูจะบีบบังคับให้แต่งงาน เขาต้องไม่มีทางยอมแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้อาจไม่ได้ดำเนินการโดยจวนอัครเสนาบดีก็เป็นได้”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยชะงักงันเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่า…”
ซูหลีส่ายหน้า แล้วกล่าวว่า “ว่ากันว่าคนเรามักโง่เขลาในเรื่องของตนเอง เจ้าเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมาโดยตลอด ยามนี้ครั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสุขทั้งชีวิตของตนเอง ในที่สุดก็มีเวลาที่คิดไม่ตกกับเขาบ้างแล้ว” ยากนักที่จะมีโอกาสเห็นนางเป็นอย่างนี้ ซูหลีจึงอดหัวเราะไม่ได้
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตีนางเบาๆ แล้วพูดอย่างแง่งอน “เสียแรงที่ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ เวลาอย่างนี้ยังกล้าหัวเราะเยาะข้าอีก!”
ซูหลีจึงหุบยิ้ม แล้ววิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “หยวนเซี่ยงได้รับบาดเจ็บจากสนามรบ ตระกูลหยวนกลัวเดือดร้อน จึงคิดอยากจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับจวนอัครเสนาบดี เพื่อปกป้องตระกูลไม่ให้ตกต่ำ แต่อัครเสนาบดีซูเป็นคนเช่นไร ข้านั้นรู้จักเขาดีที่สุดแล้ว แม้ว่าชื่อเสียงของตระกูลหยวนจะรุ่งเรืองดุจดวงตะวันกลางนภา แต่มีเจ้าอยู่ เขาอาจไม่สนใจตระกูลหยวนก็เป็นได้”
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฐานะท่านหญิงของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยนั้นสูงส่งและมีเกียรติถึงเพียงใด อาศัยเพียงหน้าที่การงาน และตำแหน่งที่มีอิทธิพลต่อราชสำนักแคว้นติ้งของนาง ก็มากพอที่จะทำให้ซูเซียงหรูยอมรับนางในฐานะสะใภ้ได้แล้ว
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวด้วยความลังเล “แต่อัครเสนาบดีซูไม่ได้ปฏิเสธ…”
“ที่เขาไม่ปฏิเสธ ก็เพื่อจะเร่งการแต่งงาน พี่ใหญ่กับเจ้าล้วนอายุไม่น้อยแล้ว เขาอยากให้พวกเจ้าแต่งงานกันเร็วๆ ไม่อยากให้ประวิงเวลาออกไปเพราะข้าอีก” ซูหลีถอนหายใจ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ตั้งแต่ที่ข้าตั้งครรภ์ ปัญหาน้อยใหญ่ในราชสำนักล้วนตกอยู่ที่เจ้า ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ! หลายปีมานี้ หากไม่มีเจ้า ไม่รู้ว่าข้าจะเป็นอย่างไรบ้าง”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกุมมือนาง เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ากับข้าเปรียบเสมือนพี่น้องกัน เหตุใดต้องพูดเช่นนั้นด้วยเล่า”
ซูหลีเองก็ยิ้ม “ในเมื่อเป็นพี่น้องกัน เช่นนั้นการแต่งงานของเจ้า ให้ข้าเป็นคนช่วยเอง”
ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ข้ารับใช้ก็เข้ามารายงานได้อย่างตรงจังหวะพอดี ซูฉุนขอเข้าเฝ้านาง
ยามนี้ไม่มีคนนอกอยู่ ซูฉุนจึงไม่มากพิธี เห็นนางเคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงกล่าวด้วยความเป็นห่วง “อากาศเย็น ซูซูมีครรภ์แล้วยังเดินเล่นไปทั่ว ระวังไม่สบายเล่า”
ซูหลีเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “ขอบคุณพี่ใหญ่ที่เป็นห่วง ได้ยินว่าพี่ใหญ่กำลังจะมีข่าวมงคล เหตุใดวันนี้จึงมีเวลามาหาข้าได้เล่า?”
ซูฉุนตะลึงงัน รีบหันไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยโดยสัญชาตญาณ เห็นเพียงนางก้มหน้าหลุบตา สีหน้าเรียบนิ่ง เขาถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ซูซูกำลังหยอกพี่ใหญ่เล่นหรือ? เฮ้อ ข้าไปเยือนสกุลหยวนและอธิบายด้วยตนเองแล้วว่า ชีวิตนี้หากมิใช่อวิ๋นฮุ่ยก็จะไม่แต่งกับใคร หากมีข่าวมงคลจริง ก็คงต้องขอให้ซูซูสงเคราะห์พี่ใหญ่แล้ว”
ซูหลีรีบหันไปสบตากับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย เห็นดวงหน้านางแดงผะผ่าวเล็กน้อย ก็อดยิ้มไม่ได้ “ข้าย่อมสนับสนุนอยู่แล้ว แต่ว่า…พี่ใหญ่ แม้ท่านกับข้าเป็นพี่น้องกัน แต่เรื่องบางเรื่องข้าก็ต้องพูดไว้ก่อน อวิ๋นฮุ่ยเป็นท่านหญิงแห่งแคว้นติ้งเรา แล้วยังเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้าด้วย หากท่านจะสู่ขอนาง ท่านจะไม่มีโอกาสเสพสุขจากการมีอนุได้อีกแล้วนะ”
ซูฉุนรีบกล่าวด้วยใบหน้าจริงจังทันที “ฮ่องเต้เราเป็นถึงประมุขแห่งแคว้น ยังสามารถละทิ้งวังหลังเพื่อซูซูได้ พี่ใหญ่แม้ไม่กล้ายกตนเทียบพระองค์ แต่ก็เข้าใจความหมายของประโยคที่ว่า ‘เพียงปรารถนาผู้ที่มีใจดวงเดียว ผู้ที่จะไม่ร้างจากเมื่อผมดำแปรเปลี่ยนเป็นขาว’!”
เขาเดินไปตรงหน้าซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย ค่อยๆ กุมมือนางขึ้นมา มองดวงตานาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสัตย์ซื่อจริงใจทีละคำ “ชาตินี้หากได้อวิ๋นฮุ่ยเป็นภรรยา ฉุนไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกแล้ว”
อดีตเคยนึกเสียใจที่ไม่อาจเกิดเป็นชาย จึงไม่อาจรับราชการได้ ยามนี้มีซูหลีคอยผลักดันให้มีจุดยืนในราชสำนัก จนสามารถยืนเคียงบ่ากับเหล่าบุรุษได้ แล้วยังเคยสาบานตนว่า หากไม่พบบุรุษที่รักเดียวใจเดียว ก็ขอยอมไม่แต่งงานไปตลอดชีวิต ยามนี้บุรุษที่ชมชอบแสดงความรู้สึกต่อหน้า และสัญญาว่าจะไม่แยกจากกันไปตลอดชีวิต…ความปรารถนาที่เดิมคิดว่าจะไม่มีทางเป็นจริง ยามนี้นางกลับได้มันมาแล้ว ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตื้นตันใจยิ่งนัก อดกุมมือเขาตอบไม่ได้ นางมองหน้าบุรุษตรงหน้า ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี
ซูหลียิ้มอย่างเบิกบาน “ดี! เมื่อพี่ใหญ่รับปาก ข้าก็วางใจ ข้าจะรีบสั่งให้คนเตรียมชุดแต่งงานโดยเร็ว และกำหนดฤกษ์งามยามดี ให้พวกท่านได้แต่งงานกันเร็วๆ!”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยอมยิ้มแทนคำขอบคุณ ซูหลียิ้มแล้วโบกมือ มองดูคู่รักที่อยู่ตรงหน้าที่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเสน่หาและรักใคร่ ซูหลีก็ยิ่งคิดถึงคนผู้นั้นที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้
ระหว่างทางกลับวัง จู่ๆ เฟิงซุ่นก็เดินเข้ามารายงาน “บ่าวพบจดหมายฉบับหนึ่งด้านนอกที่พักของเสี่ยวจินจื่อ ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร”
เฟิงซุ่นตรวจสอบวังหลวงทุกซอกทุกมุมตามคำสั่งของนาง พบว่าแม้เสี่ยวจินจื่อที่เคยมาเข้าเฝ้านางที่ตำหนักซีหวาจะไม่มีรอยสักรูปปลาบนแขน แต่กลับมีอักษรสองตัวปรากฏขึ้นเมื่อสัมผัสโดนน้ำ เป็นคำว่า ‘หวนคืน!’
ดูเหมือนกองทัพที่ซ่อนตัวมานานหลายปีนี้ จะมีชื่อว่ากองทัพหวนคืน ซูหลีสั่งเฟิงซุ่นว่าอย่าได้ทำตัวแตกตื่น ให้แอบสะกดรอยตามเขาแล้วสืบหาพวกพ้องของเขา ตามคาด คนงานคนหนึ่งในคลังแสงของเซี่ยอวิ๋นเซวียนก็มีรอยสักเช่นนี้เหมือนกัน หลังผ่านการทดสอบ พบว่าสองคนนี้แม้มีวรยุทธ์สูง แต่กลับมีวิชาตัวเบาที่ธรรมดา ไม่ใช่กลุ่มคนที่ช่วงชิงภาพร่างไปอย่างอุกฉกรรจ์ในวันนั้น
เพื่อตามหาคนที่คอยเป็นหูเป็นตาให้จั้นอู๋จี๋ทั้งในและนอกวังหลวง ซูหลีสั่งให้คนคอยจับตาดูอย่างลับๆ จนกระทั่งวันนี้ก็เจอจดหมายฉบับนี้ เนื้อหาในจดหมายมีเพียงประโยคสั้นๆ ‘แยกย้ายกันไปรวมตัวที่ทะเลทรายทิศตะวันตก!’
ซูหลีหน้าเปลี่ยนสีทันที ไม่กี่วันก่อน หวั่นซินส่งข่าวมาแจ้งว่าสืบพบฐานทัพหลักของกองทัพหวนคืนตั้งอยู่ในเขตชายแดนของเมืองเหลียวเฉิง ตงฟางเจ๋อนำทัพไปล้อมโจมตีแต่กลับคว้าน้ำเหลว ที่แท้พวกเขาก็นำกำลังทหารหลักแยกย้ายหนีหาย และเตรียมตัวจะมุ่งหน้าไปยังทะเลทรายทิศตะวันตกนี่เอง
ทะเลทรายทิศตะวันตกเต็มไปด้วยฝุ่นทรายสุดลูกหูลูกตา หากเขาหนีไปที่นั่นได้สำเร็จ เกรงว่าจะไม่สามารถจับตัวเขาได้อีกแล้ว! และหากเขายังไม่ล้มเลิกความคิดอันทะเยอทะยาน แล้วไปยุแยงให้แคว้นต่างๆ ทางทิศตะวันตกคิดทำการใหญ่อีกครั้ง อนาคตไม่รู้ว่าต้องเกิดเหตุการณ์นองเลือดอีกเท่าไร
“กู้เซี่ยงเทียน!” ซูหลีขานเรียกทันที “ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไป ให้ทุกด่านชายแดนที่มุ่งหน้าสู่ทะเลทรายทิศตะวันตกเพิ่มการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทันทีที่พบคนน่าสงสัย ให้รีบจับกุมทันที”
ครั้นราชโองการถูกถ่ายทอดลงไป ทั่วทั้งแคว้นติ้งตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ผ่านไปไม่ถึงสามวัน ก็มีคนพบเบาะแสของกองทัพหวนคืน ซูหลีสั่งให้คนออกค้นหาทั่วทุกสารทิศ แต่พวกเขากลับหายตัวอย่างไร้ร่องรอย ไม่พบเบาะแสอะไรอีก
“ฝ่าบาท คุณชายฉินขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีกำลังกลัดกลุ้ม ครั้นเห็นฉินเหิง ก็รีบถามทันที “สืบอะไรได้บ้างหรือไม่?”
ฉินเหิงก้มหน้า แล้วตอบอย่างนอบน้อมว่า “กระหม่อมสะกดรอยตามคนงานในคลังแสงผู้นั้น แล้วค้นพบว่าเขาปลอมตัวเป็นนักพนัน ไปส่งข่าวอย่างลับๆ ในบ่อนพนันใต้ดินแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่นอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจึงจับตัวเขา แล้วก็เจอสิ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เขายื่นลูกเต๋าลูกหนึ่งมาให้นาง แท้จริงมีกลไกซ่อนอยู่ เมื่อเปิดกลไกก็พบกระดาษแผ่นหนึ่งถูกม้วนสอดไว้ข้างใน
ซูหลีกางออกแล้วอ่าน กลับเป็นลายมือของจั้นอู๋จี๋!
……………………