เยี่ยมบุญกำจัดท่าทีสูงส่งในตอนปกติทิ้งไป เช็ดควันบนใบหน้า แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นระริก “ค……คุณผู้ชายท่านี้ ฉันไม่ได้ชนคุณ คุณเดินมาชนฉันเองนะ”
ชายร่างใหญ่เบิกตากว้าง “ฉันชนแกเหรอ? พูดอะไรเหลวไหล ฉันจะชนแกได้ยังไง ทั้งๆ ที่ไอ้แก่อย่างแกมาชนคนอย่างชั้นไม่ยอมรับผิด ยังมากล่าวหาว่าฉันชนแกอีก หน้าไม่อายจริงๆ ดูสิฉันจะจัดการแกยังไง”
ขณะที่พูด ก็โบกมือขึ้นตบ
เยี่ยมบุญใช้ชีวิตจนแก่ป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่โดนตบ ทั้งร่างอึ้งไปหมด สติไม่กลับมาเป็นเวลานานสักพัก
เมื่อได้สติกลับมา ชายร่างใหญ่คนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว
เขาโกรธจนสั่นไปทั้งร่าง ในใจเกิดความอับอายเอ่อล้นขึ้นมา
เขาจำหน้าชายร่างใหญ่คนนั้นได้ รอจัดการธุระของบริษัทเสร็จก่อน เขาจะไปขอกล้องวงจรปิดจากเปปเปอร์ สาบานว่าจะจับตัวไอ้ชายร่างใหญ่นั่นมาให้ได้ ทรมานมันให้ตาย ถึงจะทำให้ความแค้นในใจเขาหายไป!
เยี่ยมบุญดันปลายลิ้นที่กระพุ้งแก้ม ขึ้นรถจากไปด้วยแววตามืดมน
หลังจากเขาไปไม่นาน ชายร่างใหญ่คนนั้นก็เดินออกมาจากมุม ด้านหลังมีอีกคน
“คุณชายทามทอย นี่ผมที่คุณต้องการ” สองมือชายร่างใหญ่ส่งเส้นผมไม่กี่เส้นที่ห่อด้วยกระดาษไปให้ ด้วยท่าทีที่เคารพอย่างยิ่ง เทียบกับท่าทีหยิ่งผยองต่อหน้าเยี่ยมบุญเมื่อครู่นี้ เหมือนเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
ทามทอยรับเส้นผมมาอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ส่งเช็คให้หนึ่งใบ “ดีมาก ลำบากนายเลย”
“ฮ่าๆ ไม่ลำบากหรอกครับ ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไร คุณชายทามทอยสั่งผมได้อย่างเต็มที่เลย ผมทำทุกงานแน่นอน” ชายร่างใหญ่รับเช็คมาเรียบร้อย ก็ตบหน้าอกแล้วพูดขึ้น
ทามทอยยิ้มพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ไม่ลืมนายหรอก ไปเถอะ”
“ครับ”
ชายร่างใหญ่เดินจากไปแล้ว ทามทอยมองไปที่ที่เยี่ยมบุญโดนทำร้ายเมื่อครู่นี้ ก็ยิ้มเยาะ ก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์
เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะบังเอิญได้ขนาดนี้ เจอรถของเยี่ยมบุญที่ลานจอดรถจริงๆ ก็เลยโทรเรียกนักเลงมาหนึ่งคน ช่วยแสดงละครเมื่อครู่นี้ให้กับเขา และได้เส้นผมเยี่ยมบุญมาอย่างราบรื่น
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ท่าทางกระจอกของเยี่ยมบุญต่อหน้านักเลงเมื่อครู่นี้ มันน่าขำสิ้นดี
“นาย!” เปปเปอร์เห็นทามทอยเข้ามา ทันใดนั้นในหัวสมองก็นึกถึงภาพที่เขาไปส่งมายมิ้นท์กลับคอนโดพราวฟ้าเมื่อคืน สีหน้าก็ไม่ค่อยดีทันที
ทามทอยรู้สึกได้ถึงท่าทีของเขา ก็ลูบจมูก “เป็นอะไรเปปเปอร์ ฉันไม่ได้ขัดใจนายนะ ทำไมทำหน้าบึ้ง ทำท่าทางเหมือนฉันแย่งของของนาย”
เปปเปอร์เม้มริมฝีปากบางแน่น “แกมีธุระอะไร?”
“คราวก่อนตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องเซ็นสัญญาโครงการใหม่ไง” ทามทอยดึงเก้าอี้แล้วนั่งลง
เปปเปอร์ดึงลิ้นชักออกมา หยิบเอกสารฉบับหนึ่งจากด้านในออกมาโยนตรงหน้าเขา “เซ็นแล้วไปซะ”
ทามทอยเลิกคิ้ว “เฮ้ รีบร้อนไล่ฉันไปแบบนี้ คงไม่ได้รีบไปออกเดตกับส้มเปรี้ยวหรอกนะ?”
ได้ยินคำพูดนี้ ความดันอากาศรอบตัวเปปเปอร์ก็ยิ่งต่ำลง มองเขาด้วยความเย็นชา
เขารีบแสดงท่าทางยอมจำนวน “โอเคๆๆ คิดซะว่าฉันไม่ได้พูด”
เขาก้มศีรษะลง รีบเซ็นชื่อ ในใจก็แปลกใจ
ถ้าเมื่อครู่นี้เขามองไม่ผิด เหมือนเปปเปอร์จะไม่ค่อยชอบที่ตัวติดกับส้มเปรี้ยว
มันเพราะอะไร?
ไม่ได้ถามมาก ทามทอยเซ็นชื่อเสร็จก็ส่งเอกสารไป “เรียบร้อยแล้ว”
หลังจากเปปเปอร์รับมา ก็เซ็นชื่อตัวเองเช่นกัน
สัญญามีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
จุดประสงค์ของทามทอยในการมาที่นี่สำเร็จแล้ว แน่นอนว่าไม่อยู่นาน ดื่มกาแฟหนึ่งแก้วแล้วจากไป
เขาเพิ่งเดินออกไปจากห้องทำงานเปปเปอร์ ก็เห็นผู้ช่วยเหมันตร์พาคุณหมอสวมชุดกาวน์เดินมา
ทามทอยไม่แปลกใจว่าทำไมคุณหมอถึงมาที่นี่ อย่างไรแล้วเปปเปอร์ก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาล บาดแผลบนร่างกายยังไม่หายดี มีคุณหมอคอยตรวจสภาพแผลให้เขายี่สิบสี่ชั่วโมงก็เป็นเรื่องปกติ
แต่เมื่อเดินเฉียดไหล่คุณหมอ ทามทอยก็เหลือบมองโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นบัตรพนักงานบนหน้าอกคุณหมอ: ศาสตราจารย์ให้คำปรึกษาทางด้านจิตเวช
เขาแอบผิวปากในใจ
ดูเหมือนเขาจะได้รู้เรื่องที่ร้ายแรงแล้วสิ
ภายในลิฟต์ ทามทอยหยิบโทรศัพท์ออกมา ส่งข้อความหามายมิ้นท์: ถึงหรือยัง?
มายมิ้นท์กำลังอ่านเอกสาร ได้ยินโทรศัพท์ดังขึ้น ก็หยิบมาดู แล้วรีบตอบกลับ: ถึงนานแล้ว
ทามทอยยิ้ม: มีข่าวจะบอกกับเธอ เปปเปอร์อาจจะมีสภาพจิตใจไม่ค่อยปกติ กำลังหาจิตแพทย์อยู่ล่ะ
“จิตแพทย์?” มายมิ้นท์หรี่ดวงตาคู่สวย แล้วพิมพ์ข้อความต่อ: นายแน่ใจได้ยังไงว่าเขาหาหมอเอง ไม่ใช่ส้มเปรี้ยวหา? อย่าลืมนะ ส้มเปรี้ยวเป็น ‘โรคหลายบุคลิก’ น่ะ
เธอจงใจใส่เครื่องหมายคำพูดใน ‘โรคหลายบุคลิก’ สี่คำนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความถากถาง
คราวนี้ทามทอยส่งข้อความเสียงมาโดยตรง “จิตแพทย์ของส้มเปรี้ยวฉันเคยเห็นแล้ว ไม่ใช่คนที่ฉันเห็นคราวนี้ ฉันก็เลยมั่นใจว่าเป็นจิตแพทย์ที่เปปเปอร์อยากหาเอง”
“งั้นเหรอ? หาก็หาไปสิ ไม่จำเป็นต้องบอกฉันเรื่องนี้ ฉันยุ่งอยู่นะ” มายมิ้นท์ส่งข้อความเสียงกลับไปเช่นกัน
จริงๆ เลยนะ เอาแต่เล่าเรื่องเปปเปอร์ให้เธอฟัง เปปเปอร์จะเป็นอะไร มันเกี่ยวอะไรกับเธอ
เธอไม่ใช่มายมิ้นท์คนก่อนแล้ว ที่จะสนใจเรื่องของเขา
ทามทอยหัวเราะ “โอเคๆๆ ต่อไปฉันจะไม่พูดแล้ว ก็ฉันกลัวคุณเป็นห่วงไม่ใช่หรือไง? ก็เลย……”
“หยุด!” มายมิ้นท์ขัดคำพูดเขาด้วยใบหน้าเย็นชา “ฉันเคยบอกแล้วไง ว่าฉันเลิกรักเขาแล้ว ฉันจะเอาอะไรมาเป็นห่วง พอได้แล้ว ฉันจะทำงานต่อ”
เธอปิดวีแชททันที ไม่สนใจเขาอีกต่อไป
แต่เธอไม่ได้ทำงานต่อ แค่มองโทรศัพท์ ด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน
ที่จริงแล้วที่ตัวเองเลิกรักเปปเปอร์เร็วขนาดนี้ หลายคนก็ไม่เชื่อจริงๆ หรอก เช่นเต้ เช่นราเม็ง
เธอรู้ว่าพวกเขาเชื่อว่าเธอเลิกรักเปปเปอร์แค่ฉากหน้าเท่านั้น แต่ในใจยังคิดว่าในใจเธอยังมีเปปเปอร์อยู่ พฤติกรรมของทามทอยเมื่อครู่นี้ เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าสำหรับพวกเขาแล้ว เธอที่รักเปปเปอร์มาตั้งหลายปี จะเป็นไปได้อย่างไรที่พอหย่ากันแล้วจะเลิกรักเลย
แต่มันคือเรื่องจริง เธอเลิกรักแล้วจริงๆ ไม่ใช่ว่าเลิกรักหลังจากหย่าร้าง แต่ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว หลังจากแต่งงานได้ไม่นาน เธอก็เลิกรักเปปเปอร์ไปแล้ว
ถ้าพูดให้ถูกกว่านี้คือ คนที่เธอรักไม่ใช่เปปเปอร์ผู้ที่เย็นชาหลังแต่งงาน แต่เป็นเปปเปอร์คนที่อ่อนโยน สุภาพเรียบร้อยก่อนแต่งงาน
ก่อนแต่งงาน เธอนึกว่าคนที่ตัวเองแต่งด้วย คือเปปเปอร์คนที่เธอรัก แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เปปเปอร์คนที่แต่งงานกับเธอนั้นเย็นชากับเธอสุดขีด แตกต่างกับเปปเปอร์คนที่เธอรักเหมือนเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มายมิ้นท์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง คลิกเปิดอัลบั้มรูป แล้วดึงภาพหนึ่งออกมาจากโฟลเดอร์ที่ใส่รหัสจากในอัลบั้ม และเป็นภาพเดียวที่อยู่ในโฟลเดอร์
ภาพมันค่อนข้างเบลอ เมื่อหลายปีก่อนเธอแอบถ่ายตอนกำลังวุ่นวาย มันก็เลยไม่ชัดนัก
“เฮ้อ……” ขณะที่มองรูปภาพ จู่ๆ มายมิ้นท์ก็ถอนหายใจ
ในรูปคือหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตขาว หนุ่มคนนั้นหันหลังให้เธอ แต่ศีรษะหันมา แต่พบว่าเธอแอบถ่ายเลยตั้งใจหันมา หนุ่มน้อยไม่โกรธ แถมยังเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้เธออีกด้วย
เธอก็เลยใจเต้นกับเปปเปอร์ในตอนนั้นเอง
นั่นคือตอนที่เธออยู่มัธยมห้า ตอนนั้นเปปเปอร์เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะผลการเรียนที่โดดเด่น จึงได้รับเชิญจากโรงเรียนให้มากล่าวสุนทรพจน์แก่เหล่ารุ่นน้องอย่างพวกเขา
ในตอนแรก เธอแค่รู้สึกว่าเขาหน้าตาดีมาก จึงอดไม่ได้ที่จะแอบถ่ายเขา ไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลย แต่ไม่คิดเลยว่า เพราะรอยยิ้มนิดๆ ของเขา มันทำให้เธอใจเต้นสุดๆ หลังจากนั้นก็หลงรักเขาอย่างบ้าคลั่ง รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา และแต่งงานกับเขาหลังเรียนจบมหาลัยทันที