บทที่ 1670+1671

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1670 พวกเราไม่จำเป็นต้องแยกกันตามหา

ตี้ฝูอีละสายตาจากร่างนาง เอ่ยถามหนึ่งประโยค “ตรวจพบอะไรบ้าง?”

“ที่นี่มีรอยเท้าของคนสองคน เป็นของจิ้งจอกน้อยกับชาวเงือกผู้นั้น ข้าจำรอยเท้าของจิ้งจอกน้อยได้ แต่รอยเท้าของชาวเงือกผู้นั้นไม่ใหญ่และไม่ลึก น่าจะเป็นสตรีนางหนึ่ง สูงร้อยหกสิบสาม น้ำหนัก…”

เธอพูดน้ำหนักและส่วนสูงของชาวเงือกนั้นออกมาอย่างแม่นยำ จากนั้นสายตาก็ร่อนลงบนร่างของตี้ฝูอี “ท่านรู้ว่านางเป็นใครใช่หรือไม่?”

ตี้ฝูอีไม่ปฏิเสธ “รู้ หากไม่มีอันใดผิดพลาด น่าจะเป็นหลานจิ้งอี๋ นางหายตัวไปห้าวันแล้ว”

ทายถูกนั่นเรื่องหนึ่ง ส่วนที่เขายอมรับด้วยตัวเองก็อีกเรื่องหนึ่ง กู้ซีจิ่วแอบทอดถอนใจ “ท่านตามข้ามาก็เพื่อต้องการตามหาหลานจิ้งอี๋กระมัง?”

ตี้ฝูอีจ้องมองนางครู่หนึ่ง ไม่แสดงความคิดเห็นใด “แตกต่างกันอย่างไร? ไม่ว่าจุดมุ่งหมายของข้าคืออะไร อย่างไรเสีย ครั้งนี้พวกเราต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”

ใช่สิ เธอตามหาจิ้งจอกน้อย ส่วนเขาก็ตามหาหลานจิ้งอี๋

ทั้งสองคนยังอยู่ด้วยกัน ลงเรือลำเดียวกันจริงๆ! มิน่าเขาถึงได้ช่วยเหลือเธอตามหาคนอย่างสบายใจเช่นนี้ ที่แท้ก็แค่บังเอิญร่วมทางกันก็เท่านั้น

กู้ซีจิ่วบอกตัวเองว่าไม่จำเป็นต้องโกรธเคือง ทว่าความโศกเศร้าที่ก่อตัวถี่ขึ้นภายในอกทำให้ลำคอเธอรู้สึกบีบเกร็ง

แอปเปิลลูกนั้นที่กัดแทะไปครึ่งหนึ่งก็กลืนไม่ลงอีกต่อไป

เธอโยนแอปเปิลครึ่งซีกนั้นทิ้ง ลุกขึ้นยืนและเดินตระเวนที่จุดเดิมอยู่รอบหนึ่ง เมื่อหาธารน้ำที่แม่นยำได้แล้วก็ดำน้ำลงไปอีกครั้ง

ตี้ฝูอีลุกขึ้นยืน ยกแขนเสื้อขึ้น กลิ้งแอปเปิลที่นางกัดแทะไปครึ่งลูกมาไว้ในมือตัวเองและมองดู แอปเปิลลูกนั้นกลิ้งไปมาบนพื้นดินจนสกปรกแล้ว เนื้อในเปรอะเปื้อนเศษดินเศษหญ้า

ตี้ฝูอีใช้นิ้วมือดีดเศษดินและเศษหญ้าออก กัดกินเข้าไปคำหนึ่ง ทั้งเปรี้ยวและขม เป็นรสชาติที่ปกตินางไม่ชอบกินที่สุด

จู่ๆ ตอนนี้นางกลับชอบกิน เพราะมันเข้ากับสภาพจิตใจนางในตอนนี้หรือ?

เขานำแอปเปิลครึ่งลูกใส่ไว้ในถุงมิติเก็บของของตัวเอง จากนั้นก็ดำน้ำลงไป

ครั้งนี้กู้ซีจิ่วดำน้ำรวดเร็วยิ่งนัก ตี้ฝูอีตามไปด้างหลังอยู่หนึ่งเค่อเต็มๆ ถึงตามนางได้ทัน

เธอสงบจิตใจได้มากแล้ว เมื่อเห็นเขาตามมา จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวอย่างเรียบเฉย “บางทีพวกเราแยกกันตามหาอาจจะเร็วขึ้นอีกสักหน่อย” เธอไม่อยากร่วมทางไปกับเขาแล้ว!

“เส้นทางที่พวกนางไปคือธารน้ำเส้นเดียวกัน พวกเราไม่จำเป็นต้องแยกกันตามหา” ตี้ฝูอียังคงมีเหตุผลยิ่งนัก

วาจานี้เพิ่งกล่าวจบ แตรสังข์ติดตามร่องรอยก็ถูกกู้ซีจิ่วโยนเข้าในอ้อมอกเขา “ในเมื่อท่านก็ตามหาคนอยู่เหมือนกัน เช่นนั้นก็ไม่อาจบอกได้ว่าช่วยเหลือข้า ท่านก็ควรลงแรงบ้าง!”

ตามหาคนของตัวเองทั้งนั้น เหตุใดต้องให้เธอยุ่งง่วนอยู่คนเดียว?

ตี้ฝูอีนึกไม่ถึงว่านางจะคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเช่นนี้ จึงชะงักงันไปชั่วขณะ เขาโยนแตรสังข์นั้นให้นาง แล้วหยิบอันใหม่ออกมา “ข้ายังมีอีกอัน พวกเราเป่ากันคนละครั้งเถิด เช่นนี้ยุติธรรมดี”

กู้ซีจิ่วไร้ซึ่งวาจา เขาคิดเล็กคิดน้อยกับเธออย่างเห็นได้ชัด ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อย!

ช่างเถิด เธอก็ไม่อยากเอาเปรียบเขาเหมือนกัน เอาตามนี้ก็แล้วกัน

ทั้งสองดำน้ำต่อไป ทุกครั้งที่ถึงทางแยก ทั้งสองล้วนแยกกันเป่าแตรสังข์เพื่อดูระลอกน้ำ ไม่มีผู้ใดเอารัดเอาเปรียบผู้ใด

แน่นอนว่าเนื่องจากกู้ซีจิ่วเพิ่งเรียนรู้สิ่งนี้เป็นครั้งแรก ยังคงเกิดความผิดพลาดอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ทำให้เธอไปผิดทาง

เคราะห์ดีที่ตี้ฝูอีมีสัญชาตญาณในเรื่องนี้ดีเยี่ยมจนน่าตกใจ เมื่อใดที่กู้ซีจิ่วเกิดความผิดพลาด เขาก็ดูออกและแก้ไขได้ทันท่วงที ทั้งสองจึงไม่ได้อ้อมไปไกล

ระหว่างทางนอกจากเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องพูดคุยกันแล้ว ทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันเรื่องอื่นๆ แม้แต่ประโยคเดียว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งคู่จึงไม่ทราบเช่นกันว่าเดินทางอยู่ใต้ดินลึกสักกี่ลี้แล้ว

———————————————————————–

บทที่ 1671 สรุปแล้วเป็นอะไรกันแน่?

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนจึงไม่ทราบเช่นกันว่าเดินทางอยู่ใต้ดินลึกสักกี่ลี้แล้ว ออกจากธารน้ำใต้ดินมาหายใจบนผิวดินเป็นครั้งคราวด้วย ถือโอกาสตรวจสอบร่องรอยไปด้วย มองจากร่องรอยแล้ว พวกเขาไม่ได้ไล่ตามผิดทาง

วิชาดำน้ำประเภทนี้สิ้นเปลืองพลังกายยิ่งนัก ถึงแม้พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วจะสูงส่งพอแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง พลังกายย่อมสู้ตี้ฝูอีไม่ได้เป็นธรรมดา

ดังนั้นเมื่อถึงช่วงท้าย ส่วนใหญ่จึงเป็นตี้ฝูอีที่เป่าแตรสังข์นั้นเพื่อแยกแยะรูปแบบวารี กู้ซีจิ่วติดตามอยู่ด้านหลังเขา

คงเป็นเพราะเดินทางอยู่ในธารน้ำใต้ดินที่หนาวเย็นเป็นเวลานาน ท้องของกู้ซีจิ่วจึงปวดแปลบขึ้นมาเป็นพักๆ เริ่มแรกเพียงปวดแปลบๆ ต่อมาก็ลุกลามกลายเป็นอาการปวดเสียด เหมือนอาการปวดประจำเดือนที่เล่าขานกันยิ่งนัก แถมยังเป็นชนิดที่ปวดอย่างรุนแรงที่สุดด้วย

ราวกับมีมีดเล่มหนึ่งค่อยๆ บิดคว้านอยู่ด้านใน ปวดจนหน้าผากเธอมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดพราย

ถึงอย่างไรเธอก็เป็นหมอ ต่อให้เมื่อก่อนไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน ก็ยังทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น ทำเอาสบถด่าอยู่ในใจ!

บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการมีอารมณ์แปรปรวนหลังจากคืนร่างเดิมแล้ว ตลอดครึ่งปีมานี้ประจำเดือนของเธอจึงไม่มาเลย ทำให้เธอเกือบสงสัยแล้วว่าพลังวิญญาณของตนสูงส่งเกินไป ฝึกฝนวรยุทธ์สำเร็จจนในที่สุดประจำเดือนก็หายไปด้วย ไม่มาอีกต่อไปแล้ว

แต่อาการปวดท้องเป็นพักๆ ในยามนี้ ทำให้เธอทราบว่าในที่สุดประจำเดือนของเธอก็มาเยี่ยมแล้ว!

ช่างมาได้ไม่ถูกเวลาโดยแท้!

เธอปรับลมปราณอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ โคจรพลังวิญญาณไปที่หน้าท้อง สะกดความเจ็บปวดเช่นนั้นไว้

ตี้ฝูอีที่อยู่ด้านหน้าเดินทางอย่างรวดเร็ว เธอก็ร้อนใจอยากไปช่วยจิ้งจอกน้อยเหมือนกัน ดังนั้นจึงรีบเร่งพุ่งทะยานไปด้านหน้าเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้เธอจึงไม่สามารถสงบใจปรับลมปราณเพื่อรักษาตัวเองได้ ทำได้เพียงฝืนข่มกลั้นเอาไว้ ยิ่งข่มกลั้นเท่าไหร่ยิ่งปวดขึ้นเรื่อยๆ…

ถ้าเป็นในอดีต เธอคงให้เขาพาเธอเดินทางไป ถือโอกาสให้เขาทำการรักษาให้เธอด้วย

ช่วงเวลาแปดปีนั้นที่อยู่ด้วยกันมา ถ้าระหว่างเดินทางเธอรู้สึกไม่สบายเล็กๆ น้อยๆ ก็จะให้เขาอุ้มเธอหรือไม่ก็โอบประคองเธอไป บางครั้งก็ให้เขาแบกขึ้นหลังไป

ช่วงเวลานั้นเธออ่อนแอบอบบางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยึดเขาเป็นที่พึ่งของตน เป็นปีกคุ้มกันที่แข็งแกร่งที่สุด

ตอนนี้เขาไม่ใช่ที่พึ่งของเธออีก คนที่เธอพึ่งได้มีแต่ตัวเธอเองเท่านั้น ต่อให้ปีกหักไปแล้ว เธอก็ต้องกัดฟันยืนหยัดไว้

ถึงแม้จะปวดจนสองขาอ่อนแรง เบื้องหน้ามืดมัว แต่เธอก็ยังไม่เอ่ยออกมาสักแอะ

ลอบคำนวณอยู่ในใจว่ารอให้เดินทางต่อไปอีกไม่กี่สิบลี้ ก็สามารถขึ้นไปหายใจบนผิวดินสืบหาเบาะแสอีกครั้งได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเธอค่อยรักษาให้ตัวเองก็ยังไม่สาย…

ช่วงที่เธอคิดคำนวณอยู่ใจลอยไปพักหนึ่ง ไม่เห็นว่าตี้ฝูอีที่นำอยู่ด้านหน้าจู่ๆ ก็หยุดลง เธอไม่ทันระวังไปชั่วขณะ ชนถูกร่างเขาเข้าเต็มๆ!

การชนครั้งนี้ทำให้เธอเวียนหัวตาลายยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ยังคงถอยหลังไปสองสามก้าวตามสัญชาตญาณ

อาการวิงเวียนจนเห็นดาวเพราะการชนยังไม่ทันสลายหายไป แขนก็ถูกคนจับไว้แล้ว “เจ้าเป็นอะไร?”

“ไม่เป็นไร อยู่ดีๆ ท่านหยุดทำไม?” เธอขมวดคิ้ว คิดจะชักแขนกลับมาจากการเกาะกุมของเขา

แต่เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีไม่ยอมปล่อย “สีหน้าเจ้าผิดปกติ! สรุปแล้วเป็นอะไรกันแน่?”

เขายื่นมือไปหมายจะจับข้อมือนาง อยากตรวจชีพจรของนางดูสักหน่อย

กู้ซีจิ่วดิ้นซ้ายดิ้นขวาก็ดิ้นไม่หลุด โทสะโหมขึ้นมาอย่างน่าประหลาด “ปล่อยนะ! ตี้ฝูอี พวกเราหญิงชายมิพึงใกล้ชิดกัน!”

การดิ้นนี้ของเธอทำให้ปวดท้องหนักขึ้นกว่าเดิม สีหน้าซีดเซียวยิ่งขึ้น หยาดเหงื่อเย็นเฉียบก็ผุดขึ้นมากกว่าเดิม

อาการปวดพุ่งสูงขึ้นมาอย่างฉับพลันในคราวเดียว เธอแทบจะงอตัวแล้ว และลืมไปว่ากำลังใช้วิชาดำน้ำอยู่ เกือบจะสำลักน้ำแล้ว

ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรอีก พลันออกแรงคราหนึ่ง ดึงเธอเข้าสู่อ้อมแขน จากนั้นพุ่งทะยานขึ้นสู่ด้านบน…

เมื่ออาการปวดของกู้ซีจิ่วเบาบางลง ตัวคนก็ลงมาบนพื้นดินแล้ว

หิมะขาวพิสุทธิ์ เหมยแดงเย้ายวน

พวกเขาร่อนลงกลางดงต้นเหมยผืนหนึ่ง

เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศหนาวเหน็บ หิมะช่วงวสันต์ปลิวว่อนอยู่ด้านนอก

————————————————————————–