ตอนที่ 239 เราเห็นเจ้าเป็นพี่น้องแท้ๆ /ตอนที่ 240 ไปปรนนิบัติที่หอโฮ่วเซียง

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 239 เราเห็นเจ้าเป็นพี่น้องแท้ๆ

 

 

 

 

หงอวี้ตอบรับเขาแล้วถามว่า “เช่นนั้นแล้วพระชายาเล่า จะให้เรียนครึ่งๆ กลางๆ แล้วไม่เรียนก็คงไม่ได้กระมัง รอให้ไทเฮาตื่นแล้วค่อยว่ากัน บ่าวเองก็ตอบไม่ได้!”

 

 

เฉินยางตกใจกลัวไปแล้ว ไม่กล้าอยู่ที่ตำหนักฉือหนิงต่อ พอได้ยินหงอวี้พูดเช่นนี้ก็มีสีหน้าเคร่งเครียด รีบพูดว่า “กูกูก็เห็นแล้ว ไทเฮาไม่ชอบข้า วันนี้ทรงกริ้วมากขนาดนี้ หากตื่นขึ้นมายังเห็นข้ายังอยู่ที่นี่อีก โกรธขึ้นมาอีกครั้งจะทำอย่างไรดี อย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่หากไทเฮาทรงกริ้วขึ้นมาอีกจะไม่ดีเอา”

 

 

ด้วยเหตุผลนี้ หงอวี้ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก ไม่มีไทเฮาคอยหนุนหลังให้นาง นางก็ไม่กล้าทำตัวยโสต่อหน้าเฝิงเยี่ยไป๋ คำพูดคำจาก็ไม่กล้าเสียงดัง อย่างไรเสียรอให้ไทเฮาตื่นแล้ว ทุกอย่างให้พระนางตัดสินใจ หากไม่พอใจที่เว่ยเฉินยางกลับไป เพียงหาข้ออ้างขอนางกลับมาเป็นพอ แต่ตอนนี้นางไม่กล้าไปยุ่งกับเฝิงเยี่ยไป๋ ให้หยุดเสียก่อนดีกว่า

 

 

“เช่นนั้นแล้วบ่าวขอส่งเจ้านายทั้งสอง…” นางทำท่าเชิญคนออกไป เพิ่งมาถึงประตู ข้างนอกก็มีเสียงของขันทีตะโกนว่า “ฝ่าบาทเสด็จ” สิ้นเสียง ก็เห็นฮ่องเต้ถลกชายเสื้อเข้าประตูตำหนัก คนในตำหนักคุกเข่าเป็นกลุ่มใหญ่ เฝิงเยี่ยไป๋คุกเข่าไม่ลง ดึงเฉินยางไว้แล้วเพียงแค่ก้มหน้าโค้งตัว จากนั้นปะปนอยู่กับทุกคนพูดว่าถวายบังคมฝ่าบาท

 

 

ฮ่องเต้สีพระพักตร์เคร่งขรึม ยกพระหัตถ์เรียกให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ไปประคองเฝิงเยี่ยไป๋ด้วยตัวเอง ตรัสด้วยท่าทางราวกับเขาเป็นพี่น้องของพระองค์เช่นนั้น “ไม่ต้องมากพิธี” ตรัสจบก็เผยรอยยิ้มออกมา “เจ้ากับเราก็เหมือนดั่งพี่น้องแท้ๆ หลังจากนี้เจอเราก็ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ พวกเราอยู่ด้วยกันให้เหมือนพี่น้องแท้ๆ เลย”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ฝ่าบาทฐานะสูงส่ง กระหม่อมมิอาจถือตัวเป็นพี่น้องกับฝ่าบาท”

 

 

ฮ่องเต้หัวเราะออกมา สายตาหยุดอยู่ที่เฉินยาง พิจารณานางโดยไม่เผยพิรุธออกมา ก่อนจะตรัสด้วยความประหลาดใจว่า “นี่ก็คือชายาของเจ้ากระมัง ดูจากหน้าตาแล้ว แก้มแดงหน้ารูปไข่ แม้จะไม่ได้งามดั่งนางฟ้า แต่ก็เป็นที่จดจำ เป็นหญิงงามคนหนึ่ง”

 

 

เฉินยางได้ยินว่าฝ่าบาทตรัสชมนาง ก็นึกถึงระเบียบที่หงอวี้สอนนาง นางย่อตัวลงแล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วเพคะ”

 

 

นางรู้ว่าต่อพระพักตร์ฝ่าบาทต้องเรียกตัวเองว่าหม่อมฉัน เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋อยู่ที่นี่ เขามีความแค้นกับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ยังคิดจะฆ่าเขาอยู่หลายครั้ง การแสดงความเคารพให้ศัตรูเป็นความอับอายที่ใหญ่หลวงนัก อย่างไรเสียก็ละชื่อฐานะตัวเองเอาไว้ พูดกลบเกลื่อนไป เช่นนี้แล้วก็ไม่ผิดใจกับใคร

 

 

ฮ่องเต้สายตาวาวโรจน์ แล้วยื่นพระเศียรมองเข้าไปในตำหนักพลางถามหงอวี้ว่า “เราได้ยินว่าไทเฮาป่วย หมอหลวงได้มาดูหรือไม่ ว่าอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือไม่”

 

 

ไทเฮาเพิ่งจะป่วย เขาก็ได้ข่าวแล้ว หูตาของฮ่องเต้นี้ช่างซื่อสัตย์ยิ่งนัก เฝิงเยี่ยไป๋เบ้ปากโดยไม่ให้สังเกต ฝ่ายหงอวี้ทูลว่า “ทูลฝ่าบาท หมอหลวงได้มาดูแล้ว ไทเฮาไม่ได้เป็นอะไร ตอนนี้พักผ่อนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ถึงได้พยักพระพักตร์ด้วยความวางพระทัย “ไม่เป็นไรก็ดี ในเมื่อพักผ่อนแล้ว เช่นนั้นเราค่อยหาวันอื่นมาเยี่ยมไทเฮา”

 

 

หงอวี้อยู่ระหว่างกลางรู้สึกลำบากใจ ปากฮ่องเต้บอกว่าจะไป แต่พระองค์ยืนอยู่ในลานไม่มีทีท่าว่าจะไปเลย จะไล่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ อีกอย่างมองท่าทางที่ฮ่องเต้กับท่านอ๋องตั้งแง่ใส่กันเช่นนี้ ให้พวกเขาอยู่ต่อเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น พอคิดดูแล้วก็จำต้องพูดว่า “ทูลเชิญฝ่าบาทเข้าไปด้านในเถิด ข้างนอกอากาศร้อน อย่าได้ลำบากพระวรกายเลยเพคะ”

 

 

“ไม่ต้อง เราจะไปแล้ว” ฮ่องเต้ยิ้มออกมา “ท่านอ๋องรีบกลับหรือไม่ หากไม่รีบกลับ เราอยากจะพูดคุยกับท่านอ๋องเสียหน่อย”

 

 

 

 

——

 

 

ตอนที่ 240 ไปปรนนิบัติที่หอโฮ่วเซียง

 

 

 

 

สุดท้ายเฝิงเยี่ยไป๋ปั้นหน้ายิ้มออกมา แสร้งทำท่าทางก็ยังต้องทำอยู่ เขาประสานมือยิ้มพูดว่า “ในเมื่อฝ่าบาทก็ตรัสแล้ว กระหม่อมมีหรือจะไม่ตอบรับ กระหม่อมน้อมทำตามรับสั่งฝ่าบาท”

 

 

ทั้งสองคนนี้แกล้งแสดงละครล้วนเก่งทั้งสิ้น ในใจแค้นอีกฝ่ายจนไม่รู้เป็นอย่างไร แต่พอยิ้มขึ้นมากลับเหมือนไม่มีอะไรเช่นนั้น เฉินยางชะงักเล็กน้อย ลังเลว่าควรจะตามไปหรือไม่ ขณะที่ยังลังเลอยู่ ก็ได้ยินฮ่องเต้เรียกหลี่เต๋อจิ่ง “พาพระชายาไปปรนนิบัติที่หอโฮ่วเซียงดีๆ อีกเดี๋ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมา ก็เรียกนางไปที่หอโฮ่วเซียง พูดคุยกับพระชายาเสียหน่อย”

 

 

คำพูดของฮ่องเต้นั้น แม้แต่เฝิงเยี่ยไป๋ก็เครียดขึ้นมา หอโฮ่วเซียงเป็นที่ใด ก็คือที่ที่ให้ฮ่องเต้นอนพักผ่อนในตำหนักหย่างซิน หลิ่วกุ้ยเฟยไปเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ให้เว่ยเฉินยางเป็นเรื่องอะไรหรือ อารมณ์ของเฝิงเยี่ยไป๋ตอนนี้เหมือนได้สมบัติล้ำค่าคืนมาชิ้นหนึ่ง มองใครก็รู้สึกว่าคนอื่นคิดไม่ซื่อ กลัวคนจะมาแย่ง กลัวเขาไม่ทันระวังจะทำสมบัติหายไป ที่กลัวยิ่งกว่าคือ หากนางไปครั้งนี้แล้วถูกฮ่องเต้หาข้ออ้างกักขังนางขึ้นมา ถึงตอนนั้นคิดจะขอคนกลับมา ก็ได้แต่ถูกฮ่องเต้ควบคุม จนตายก็ไม่อาจเอาคืนได้

 

 

 เขามักจะเป็นคนหยิ่งผยอง เพียงแต่คำพูดของฮ่องเต้นั้น จู่ๆ เขากลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ฮ่องเต้อยากให้เขาตาย เขาก็จะสู้กับฮ่องเต้ แม้โอกาสชนะจะน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลย เพียงแต่ตอนนี้เขามีจุดอ่อน คนที่แข็งแกร่งเพียงใดก็มีจุดอ่อน เหมือนเผยจุดตายของตัวเองให้คนอื่นดู เช่นนั้นแล้วจะมีโอกาสชนะได้อย่างไร

 

 

“ฝ่าบาท ภรรยากระหม่อมไม่สบาย บวกกับเป็นชาวบ้านมาก่อนไม่รู้ระเบียบ เพื่อไม่ให้เสียมารยาทกับฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทเรียกคนส่งนางกลับไปที่จวนอ๋องเสียก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถูกงูกัดวันหนึ่งกลัวเชือกไปสิบปี ตอนนั้นพ่อของเขาก็เพราะพาภรรยาเข้าวังมางานเลี้ยง ถึงได้ถูกพระบิดาของพระองค์สนใจเข้า คนที่ฮ่องเต้เล็งเอาไว้แล้วนั้นจะหนีไปได้หรือ สุดท้ายก็ได้แต่เข้าวังอย่างเชื่อฟัง เฝิงเยี่ยไป๋ก็คงจะกลัวพระองค์จะเดินตามรอยพระบิดามาแย่งภรรยาของเขา แม้ว่าหากทำเช่นนี้แล้วจะแทงเฝิงเยี่ยไป๋ได้อย่างหนัก แต่ผลลัพธ์ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ ยังไม่พูดถึงว่าพระองค์ไม่สนใจเว่ยเฉินยาง ต่อให้สนใจนางจริงๆ เขาเพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นท่านอ๋อง เก้าอี้ยังนั่งไม่ทันร้อนเลยด้วยซ้ำ พระองค์ก็คิดจะแย่งภรรยาของขุนนาง จะให้เหล่าขุนนางทั้งหลายคิดอย่างไร ทั้งพ่อทั้งลูกมีนิสัยเดียวกัน วันหลังจะมีใครกล้าพาภรรยาเข้าวังอีก จะเอาอะไรมารักษาความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางกับฮ่องเต้ อีกอย่างหากพูดออกไปก็ดูไม่ดี เสียชื่อเสียงฮ่องเต้ของพระองค์ไปหมดสิ้น เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งแล้วพระบิดาของพระองค์ไม่สนใจแผ่นดินที่ครองอยู่ แต่พระองค์ทำไม่ได้ พระองค์จะต้องสร้างชื่อเสียงที่ดีงามให้กับตัวเอง

 

 

ความจริงแล้วฮ่องเต้ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น เพียงแค่อยากจะให้นางไปอยู่ที่หอโฮ่วเซียง พอหลิ่วกุ้ยเฟยมาแล้วก็จะให้นางหลอกล่อเว่ยเฉินยาง ได้ยินว่าโรคปัญญาทึบของเด็กคนนี้รักษาหายแล้ว เพียงแต่ต่อให้หายแล้ว ก็ไม่น่าจะฉลาดไปถึงไหนได้

 

 

พระองค์เคยถามพั่งไห่ คนที่รักษานางคืออิ๋งโจว เป็นลูกชายเจ้าสำนักหมอหลวงอิ๋งฉางที่ทำให้พระมารดาของพระองค์ต้องตายในตอนนั้น ตอนนั้นพระบิดาของพระองค์สั่งประหารเพียงอิ๋งฉางคนเดียวไม่ได้ประหารเจ็ดชั่วโคตร นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่เช่นนี้ก็ดี พ่อของเขาตอนยังมีชีวิตได้ทำร้ายพระมารดาของพระองค์ ตอนนี้เขายังกลับมาช่วยศัตรูของเขาอีก ตัวเองรนหาที่ตาย ก็อย่าได้โทษเขาที่เป็นฮ่องเต้ใจเ**้ยมแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่ควรให้เขามีชีวิตอยู่ มีชีวิตมานานหลายปีเช่นนี้ได้ก็ถือว่าพอแล้ว

 

 

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งหลี่เต๋อจิ่งว่า “เจ้าอยู่ปรนนิบัติ ให้ซ่งอวี๋เหลียงส่งพระชายากลับจวน”