ภาคที่ 4 ตอนที่ 110 ข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ความลับของตระกูลฟาง หรือก็คือความลับที่มาของราชโองการ หรือก็คือความลับการก่อตั้งตระกูลของตระกูลฟาง

 

 

แม้โลกภายนอกเล่าลือกันมากมายหลายแบบ แต่ละคนก็มั่นใจอย่างยิ่ง แต่ความจริงของเรื่องราวกระทั่งคนของตระกูลฟางล้วนไม่รู้ คนที่รู้มีเพียงนายหญิงผู้เฒ่าฟางคนเดียว

 

 

“ตอนนั้นที่ต้องมีสัญญาเกี่ยวกับความลับนี่ ย่อมต้องเพราะความลับนี้ไม่อาจเผยแก่ผู้คนได้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “ท่านย่า ความลับที่ไม่อาจเผยแก่ผู้คนได้ ย่อมไม่ใช่ความลับที่ดีอะไร สำหรับคนบางคนแล้ว มีเพียงคนตายถึงไม่อาจพูด ถึงเก็บความลับได้ที่สุด”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเคร่งขรึม หลุบตาลง

 

 

“ท่านย่า ท่านถึงเป็นคนสำคัญที่สุดของตระกูลเรา” ฟางเฉิงอวี่คุกเข่าข้างหนึ่งหน้าร่างนาง กุมมือนางเอ่ยขึ้น “คนที่สำคัญที่สุดของตระกูลเราแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่ข้าทายาทชายคนนี้ ไม่มีข้า ยังมีท่านกับท่านแม่ ยังมีพวกพี่สาว การสืบทอดที่พูดกันไม่ใช่ข้าบุรุษคนนี้ แต่เป็นสายเลือดตระกูลฟางของพวกเรา เป็นการไม่ยอมแพ้ของพวกเรา”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงยหน้ามองเขา สีหน้าสับสน มีปวดใจมีปลื้มปิติ

 

 

“แต่ข้าเป็นบุรุษมีข้อดีอยู่นิดหน่อย ระหว่างทางทนความโคลงเคลงได้” ฟางเฉิงอวี่สีหน้าเริงร่าเอ่ยอีกครั้ง

 

 

ฟางอวี้ซิ่วกระแอมทีหนึ่งจากด้านข้าง

 

 

“พี่รอง ตอนนี้ข้าสบายดีแล้ว ท่านไม่ต้องกระแอมแล้ว” ฟางเฉิงอวี่หันกลับมาเอ่ยฮึดฮัด

 

 

คนในห้องกลั้นไม่ไหวหัวเราะขึ้นมา

 

 

บรรยากาศกลายเป็นผ่อนคลายรื่นเริงอยู่บ้าง

 

 

“อีกอย่าง ผู้อื่นไม่รู้จักความร้ายกาจของสตรีตระกูลฟางของพวกเรา เห็นข้าเป็นบุรุษคนเดียว คิดว่าข้าเป็นคนสำคัญที่สุดของตระกกูลฟาง เช่นนี้ข้าเข้าเมืองหลวงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ย่อมเป็นการเคารพต่อฮ่องเต้ แสดงความจริงใจและซาบซึ้งใจของตระกูลฟางเรา” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางถอนหายใจแผ่วเบา พยุงฟางเฉิงอวี่ขึ้นมา

 

 

“เจ้าเติบใหญ่แล้ว” นางเอ่ย “เจ้าไปเมืองหลวงพวกเราก็วางใจ”

 

 

นี่ก็คือตกลงแล้ว

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางส่ายศีรษะ แต่ไม่เอ่ยอะไรอีก

 

 

ฟางเฉิงอวี่คำนับนายหญิงผู้เฒ่าฟางด้วยความดีใจ

 

 

“ท่านย่าโปรดวางใจ” เขาเอ่ยแล้วคำนับนายหญิงใหญ่ฟางอีกหน “ท่านแม่โปรดวางใจ”

 

 

ต่อจากนั้นก็คำนับฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วอีก

 

 

“พี่สาวทั้งหลายโปรดวางใจ”

 

 

คนในห้องหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

 

 

“เอาล่ะ ราชโองการก็คาดว่าใกล้จะส่งมาแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางลุกขึ้นเอ่ย “พวกเราไปรอรับราชโองการ”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางขานรับประคองนายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินออกไป นางหยวนที่ยืนอยู่ในลานเข้าใจทันที สั่งหญิงรับใช้

 

 

ด้านนอกเสียงประทัดสะเทือนแก้วหูแทบดับฉับพลันดังขึ้น ตามติดด้วยเสียงกลองโหมประโคม ทั้งหยางเฉิงครึกครื้นขึ้นมา

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางพาคนเดินออกไป ฟางเฉิงอวี่กลับยังยืนอยู่ในเรือนไม่ขยับ

 

 

“พูดมากปานนนี้” ฟางอวี้ซิ่วที่อยู่ด้านข้างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น “หากไม่ใช่เพื่อเจินเจิน เจ้าก็คร้านจะไปเมืองหลวงสินะ”

 

 

“ใช่สิ” ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักเอ่ย “แต่นี่ไม่ขัดแย้งกับการไม่ให้ท่านย่าไปนี่”

 

 

ฟางอวี้ซิ่วเบะปาก

 

 

“นายน้อยฟาง เอกบุรุษแห่งตระกูลฟาง รับราชโองการแล้ว รีบไปเถอะ อย่าหลบอยู่ในบ้านเหมือนพวกเราสาวน้อยเหล่านี้เลย” นางเอ่ยบอก

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยื่นมือจับศีรษะ

 

 

“ไม่ไหวแล้ว ข้าเวียนหัวนิดๆ ร่างกายข้าไม่ดี ข้าต้องไปนอนสักหน่อย” เขาเอ่ยขึ้น

 

 

สาวใช้หลายคนด้านข้างหัวเราะคิกคักมาพยุงเขาจริงๆ

 

 

ฟางเฉิงอวี่ก็โอนเอนโงนเงนถูกพยุงเดิน

 

 

“รถม้าเตรียมพร้อมแล้วหรือ?”

 

 

“ของขวัญใส่แยกต่างหากหนึ่งคัน”

 

 

“พาแม่ครัวหวงไปด้วย จิ่วหลิงชอบอาหารที่นางทำที่สุด”

 

 

เขาเดินไปพลาง สั่งอย่างกระตือรือร้นไปพลาง

 

 

สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายขานรับซ้ำๆ

 

 

ฟางเฉิงอวี่พลันส่ายศีรษะอีกหน

 

 

“นั่นลำบากเกินไปแล้ว ช้าเกินไปแล้ว สิ่งใดก็ไม่เอาไปทั้งสิ้น ออกเดินทางเข้าเมืองหลวงเดี๋ยวนี้เลยเถอะ”

 

 

พูดจบก็สะบัดบ่าวหญิงที่พยุงอยู่ สองสามก้าววิ่งไปข้างหน้า

 

 

“ข้าจะไปเมืองหลวงแล้ว”

 

 

ทำให้บ่าวหญิงทั้งหลายไล่ตามหลังประหนึ่งผีเสื้อบุปผา เสียงหวานร้องโวยวายไม่หยุด

 

 

ฟางอวี้ซิ่วกับฟางอวิ๋นซิ่วล้วนหัวเราะแล้ว

 

 

“ยามที่รู้ชัดว่าหนทางเบื้องหน้าลำบากไม่ง่าย ยังเบิกบานใจเช่นนี้ได้อีก” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “น่าสนใจ”

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้ม

 

 

“เพราะท่ามกลางหมื่นภัยพันอันตราย มักมีสักเรื่องสักคนทำให้คนคิดถึงมองเห็นก็เบิกบานใจ มีจุดเดียวก็เพียงพอให้ชีวิตปิติยินดี” นางเอ่ยขึ้น “ดังนั้นนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมคนล้วนยินดีเป็นคน ตายอย่างมีความสุขไม่สู้ทนทุกข์มีชีวิตอยู่”

 

 

……………………………………….

 

 

พร้อมกับที่ฟางเฉิงอวี่ออกจากหยางเฉิงมายังเมืองหลวง คนในเมืองหลวงก็ล้วนงานยุ่งเช่นกัน

 

 

“ที่พักของเฉิงอวี่อยู่ที่นี่หรือคฤหาสน์ที่เต๋อเซิ่งชางซื้อมาใหม่ด้านนั้น?” เฉินชีวิ่งมาเอ่ยถาม

 

 

“ที่นี่สิ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นกระทั่งศีรษะก็ไม่เงยขึ้น

 

 

เฉินชีขานรับแล้วรีบวิ่งออกไปแล้ว

 

 

คุณหนูจวินพลิกจดหมายในมือต่อ

 

 

มีจดหมายว่าฟางเฉิงอวี่เดินทางถึงไหนแล้ว มีจดหมายของน้าเซียว หลายวันนี้ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้มาเยือนรังควานอีก ชีวิตดูแล้วสงบยิ่งนัก

 

 

แน่นอนความสงบนี้แค่เมื่อเปรียบเทียบเท่านั้น เรื่องที่ต้องเตรียมพร้อมเมื่อฟางเฉิงอวี่มาเมืองหลวง แล้วยังมีร่องรอยของขันทีหยวนเป่าตลอดมาก็ไม่ได้ละเลย เมื่อวานนี้เองก็มีข่าวคราวอีกแล้ว

 

 

ในวังมีขันทีมาแลกตั๋วเงิน เอ่ยถึงชื่อขันทีหยวน

 

 

“ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนต่อไม่ได้ถึงวิ่งมาเกาะฝ่าบาท”

 

 

“ฝ่าบาทเมตตาที่สุดทั้งคิดถึงไมตรีเก่าถึงเก็บเขาไว้”

 

 

“ดูที่เขากระหยิ่มยิ้มย่องตอนนี้สิ กระทั่งใต้เท้าลู่ยังอยู่ข้างหลังแล้ว”

 

 

ตอนขันทีหลายคนนั่งรอ พนักงานที่ยกน้ำชามาก็ได้ยินพวกเขาคุยบ่นกัน

 

 

“จากเรื่องนี้จึงทราบได้ว่าคนผู้นี้รั้งอยู่ในพระราชวัง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย

 

 

มือที่พลิกจดหมายอยู่ของคุณหนูจวินหยุด ใช่แล้ว ฮ่องเต้ต้องการลงมือกับเต๋อเซิ่งชางแล้ว ดังนั้นหยวนเป่าจึงไม่ต้องอยู่ข้างนอกสอดแนมลอบลงมือเองแล้ว

 

 

ดูจากถ้อยคำเล็กน้อยนี่ ความลับนี้ของเต๋อเซิ่งชางย่อมต้องเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ นอกจากนี้ยังเป็นตอนที่อยู่ในตำหนักเดิม กระทั่งลู่อวิ๋นฉีก็ไม่รู้ ดังนั้นหยวนเป่าอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ ลู่อวิ๋นฉียังต้องถอยหลัง

 

 

ฉีอ๋องเวลานั้นทำเรื่องอันใดที่ไม่อาจให้ผู้คนรู้ได้?

 

 

ก็พูดยาก ตอนนี้คิดดู แผนการของพระมารดาฉีอ๋องย่อมต้องไม่ใช่หนึ่งวันสองวัน

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจ ก้มศีรษะอ่านจดหมายต่อ

 

 

ฟางเฉิงอวี่มาเร็วมาก ระหว่างทางปลอยภัยไม่มีเรื่อง สิบวันให้หลังคนก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว

 

 

เสียนอ๋องยืนอยู่บนเหลาสุราริมทางนอกเมืองหลวง มองคณะของคุณหนูจวินที่รอไม่ไหวออกไปรับด้วยตนเองแล้วหันกลับไปมองจูจั้นที่ยังคงนั่งดื่มสุราอยู่หน้าโต๊ะอาหาร

 

 

“เจ้าผู้เป็นพี่เขยคนนี้ก็ควรไปรับน้องภรรยาด้วยสิ” เขาเอ่ยขึ้น พลางกินแล้วก็ยิ้ม “จะได้ไม่ให้น้องสามีเห็นเจ้าขัดตาใส่ไฟเจ้า อย่างไรผู้อื่นก็เคยบอกว่านี่เป็นคนสำคัญมากของนางเชียวนะ”

 

 

จูจั้นแค่นเสียงขึ้นจมูก

 

 

“เขาใส่มากหน่อยจะขอบคุณ” เขาเอ่ย

 

 

“เจ้าเคยพบน้องภรรยาคนนี้ของเจ้าแล้ว…” เสียนอ๋องเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “เป็นอย่างไร?”

 

 

เป็นอย่างไร? รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ผ่านไปเนิ่นนานนักแล้ว เขาล้วนจำได้ไม่ชัดแล้ว

 

 

จูจั้นคิดถึงเด็กน้อยที่ผอมแห้งป่วยออดแอดทั้งยังทำตัวลึกลับคนนั้น

 

 

“ไม่ใช่คนจริงจัง” เขาเอ่ย โยนจอกสุราลงบนโต๊ะ

 

 

เสียนอ๋องร้องเอ๋

 

 

“ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวานัก” เขาเอ่ย ในเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แล้วรีบกวักมืออีกครั้ง “จูเอ้อร์จูเอ้อร์ รีบมาดู คือคนนี้ใช่หรือไม่?”

 

 

มีชีวิตชีวา?

 

 

บนโลกนี้ยังมีเด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวายิ่งกว่าเขาอีกรึ?

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะสองที ไม่ใคร่จะยินดีลุกขึ้นเดินมาที่หน้าต่าง มองปราดเดียวก็เห็นบนถนนใหญ่ใต้เหลาสุราคนกลุ่มหนึ่งรุมล้อมคนผู้หนึ่งอยู่

 

 

ใต้แสงตะวันเขาเพียงรู้สึกว่าดวงตาถูกแสงวิบวับส่องลายไปวูบหนึ่ง

 

 

เฮ้ย นี่ปล้นคลังสมบัติหรือปล้นร้านอัญมณีมา?

 

 

รัดเกล้าทองอาภรณ์หรูหรา ห่มเงินประดับหยก

 

 

จูจั้นเบิกตาถึงมองหน้าคนผู้นี้ชัด

 

 

แม้อ้วนขึ้นหน่อย สูงขึ้นนิด ดวงหน้านั้นกลับไม่เปลี่ยน กำลังแย้มรอยยิ้ม รอยยิ้มนี้มีความยินดีแล้วยังมีความน้อยใจ

 

 

“พี่สาว” เขาร้องเรียก กระโดดลงมาโถมเข้าใส่สตรีที่มารับ

 

 

จูจั้นจิ๊ปากสองที

 

 

“เจ้าดูท่าทางออดอ้อนนี่” เขาเอ่ย “ทนดูไม่ได้จริงๆ”

 

 

คิกคิก

 

 

สนุกหรือไม่? สาแก่ใจหรือไม่? แม่นางหนุ่มน้อยทั้งหลาย คุณอาคุณน้าทั้งหลาย ให้รางวัลคนช่างอ้อนไหม?

 

 

…………………