บทที่ 113 การประชุมลับ

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 113

การประชุมลับ

“ช้าก่อน! ฆ่าพวกเขาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”

เย่เย่ห้ามเหอเฉินและคนอื่นๆไม่ให้ฆ่าเชลยศึกเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่จะให้ซูฉีเจี่ยมัดข้อมือข้อเท้าของนักโทษและพาพวกเขากลับไปยังหอการค้าหยูเย่เพื่อทำการสอบสวน

“เจ้าพวกนี้มันเป็นแค่ทหารเลว ต่อให้ไต่สวนยังไงพวกมันคงไม่ยอมปริปากเป็นแน่” เหอเฉินและคนอื่นๆไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเย่เย่ และต้องการให้นักโทษเหล่านี้ชดใช้ในสิ่งที่พวกเขาได้ทำเอาไว้

“พวกท่านวางใจเถอะ ต่อให้ร่างกายของพวกเขาทำด้วยเหล็กกล้า ข้าก็มีวิธีใช้งานพวกเขาอยู่ดี” เย่เย่แสยะยิ้มออกมาราวกับมีแผนชั่วอยู่ในใจ เขาเดินทางกลับไปยังหอการค้าพร้อมกับ ซูฉีเจี่ยและเหล่าตัวประกัน

หากเป็นคนทั่วไปคงยากที่จะทำให้นักรบเดนตายเหล่านี้คายความลับออกมา แต่ไม่ใช่กับเย่เย่ ครั้งหนึ่งเขาเคยไล่ดูไอเทมเกือบทั้งหมดในระบบ และเขาก็พบยันต์ชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า ‘ยันต์สัจวาจา’ โดยยันต์ชิ้นนี้มีคุณสมบัติคือเมื่อแปะมันลงบนหน้าผากของผู้ใดแล้วผู้นั้นจะเชื่อฟังคำสั่ง นอกจากเย่เย่จะวางแผนรีดข้อมูลจากพวกเขาแล้ว เขายังจะส่งนักโทษเหล่านี้กลับไปยังตระกูลของพวกเขาในฐานะสายลับสองหน้าอีกด้วย ดังนั้นเย่เย่จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไว้ชีวิตพวกเขา

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของยันต์ชนิดนี้คือผู้แปะยันต์ไม่สามารถถ่ายทอดพลังของตนให้ผู้ที่ถูกควบคุมได้ เขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะใช้นักโทษทั้งสองเพื่อลอบสังหารมู่หรงตู่เฟิง สิ่งเดียวที่เขาจะหวังพึ่งได้คือพลังของตนเท่านั้น

จากการโจมตีอย่างฉับพลันของตระกูลมู่หรง ทำให้เย่เย่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นอีกระดับ เขาตระหนักขึ้นได้ว่าหากสายสืบส่งข่าวกลับมาช้าอีกสักนิดละก็ หลิงเฉิงคงไม่ต่างอะไรกับหมูในอวยของพวกเขาเป็นแน่แท้

‘บางทีอาจจะมีสายสืบของพวกมันหลงเหลือในหอการค้าอยู่ก็เป็นได้ เห็นทีข้าต้องเพิ่มระดับการป้องกันขึ้นอีก’ เย่เย่ครุ่นคิดในใจ เมื่อเขาตัดสินใจได้เขาจึงสั่งให้เสวี่ยหยูและลูกจ้างคนอื่นๆตรวจสอบหาความผิดปกติ และเขายังติดตั้งค่ายกลเพื่อสังเกตการณ์ทุกซอกทุกมุมของหอการค้าอีกด้วย

ทางด้านตระกูลมู่หรงเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย หลังจากที่พวกเขาเปิดฉากการโจมตีขั้วอำนาจของหลิงเฉิง ไม่นานข่าวคราวของพวกเขาก็มาถึงหูของตู่เฟิง

“รายงานท่านตู่เฟิง เป็นอย่างที่ท่านคาดเอาไว้ไม่มีผิดเลยขอรับ! พวกตระกูลที่ไม่ติดตั้งค่ายกล ถูกพวกเราตีแตกได้อย่างง่ายดายขอรับ”

เบื้องหน้าของมู่หรงตู่เฟิงปรากฏให้เห็นชายวัยกลางคนที่เข้ามารายงานผลลัพธ์จากการทำศึกในครั้งแรก ชายผู้นี้มีชื่อว่า มู่หรงจิ้นหัว เขาเป็นแม่ทัพที่นำทัพโจมตีหลิงเฉิงในครั้งนี้และเป็นอีกหนึ่งคนที่ตระกูลมู่หรงให้ความไว้วางใจ

อย่างไรก็ตามเมื่อตู่เฟิงได้ยินที่จิ้นหัวรายงานเขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าพึงพอใจแต่อย่างใด นอกจากนี้เขายังพูดเตือนสติชายผู้รายงานอีกว่า “เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไป เป้าหมายของพวกเราคือทั้งเมืองหลิงเฉิง มิใช่เพียงตระกูลเล็กๆบางตระกูลอย่างที่เจ้าว่ามา”

“ได้โปรดยกโทษให้กับความโง่เขลาของข้าน้อยด้วย”

จิ้นหัวนั้นคิดว่าตู่เฟิงจะพึงพอใจกับความสำเร็จของเขา แต่ทว่านอกจากที่จ้าวตระกูลจะไม่ชื่นชมในตัวเขาแล้ว ยังตำหนิติเตียนเขาอีกด้วย จิ้นหัวจึงได้แต่คุกเข่าและก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

“ลุกขึ้น! ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าสักหน่อย เดิมทีการโจมตีครั้งนี้ก็เป็นแค่การหยั่งเชิงเท่านั้น สงครามของจริงน่ะมันหลังจากนี้ต่างหาก แต่จากแหล่งข่าวข้าได้ยินมาว่าคนของเราถูกเจ้าเย่มันจับไป เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง?”

“ได้โปรดวางใจ พวกทหารเดนตายข้าฝึกมาเป็นอย่างดี ต่อให้พวกเขาถูกสับเป็นชิ้นๆพวกเขาก็ไม่มีวันทรยศท่านอย่างแน่นอน” จิ้นหัวโล่งอกเมื่อจ้าวตระกูลไม่ถือโทษเขา และลุกขึ้นพูดด้วยความมั่นใจ

มู่หรงตู่เฟิงพยักหน้าตอบรับจิ้นหัว แต่เขาก็อดนึกถึงกรณีของมู่หรงเจิ้งที่นำสาส์นข่มขู่ของเขาไปยังหอการค้าหยูเย่เสียไม่ได้ เขาคาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เห็นหน้าลูกชายของเขาอีกเป็นครั้งที่สอง หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ความแค้นของพวกเขาที่มีต่อหอการค้าหยูเย่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งตระกูลมีเพียงตัวเขาที่ยังคงตั้งสติได้และวางแผนในการโจมตีหลิงเฉิงอย่างรอบคอบ

มู่หรงตู่เฟิงผู้นี้เป็นถึง 1 ใน 3 ยักษาแห่งภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ด้วยประสบการณ์อันโชกโชนทำให้เขารับมือกับสถานการณ์อันเลวร้ายได้ดีกว่าคนอื่นๆ เขายังคงใจเย็นและดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“สายสืบของพวกเราได้แจ้งความคืบหน้าอะไรมาบ้างหรือไม่?”

ชายทรงอำนาจเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้คิดถึงอดีตอันเลวร้าย และสอบถามความคืบหน้าจากจิ้นหัว

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด สายของเราได้ติดต่อทำข้อตกลงกับคนของหอการค้าแล้ว” เขายืดอกตอบตู่เฟิงด้วยสีหน้าที่ภูมิใจ

ตู่เฟิงที่มีสีหน้าเคร่งเครียดก็เริ่มเผยให้เห็นรอยยิ้มของความพึงพอใจ “ถ้าจริงอย่างที่เจ้าว่ามาละก็ข้าจะตกรางวัลให้กับเจ้าอย่างงาม แต่เจ้าต้องระวังอย่าให้ข่าวรั่วไหลล่ะ”

“ข้าเข้าใจดีขอรับ”

พวกเขาทั้งสองดำเนินการอย่างรอบคอบ แม้แต่การสนทนาเล็กๆก็ยังต้องเก็บเป็นความลับ และน้อยคนนักที่จะล่วงรู้แผนการที่แท้จริงของพวกเขา

ในอีกด้านหนึ่งเหล่าขั้วอำนาจแห่งหลิงเฉิงกำลังปรึกษาหารือกันอยู่อย่างเคร่งเครียด การโจมตีระลอกแรกไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขาเสียหายอย่างหนัก แต่ยังฝากรอยแผลไว้ในจิตใจของพวกเขาด้วยเช่นกัน แม้แต่หอการค้าตันเซียงหรือสำนักเพลิงสวรรค์ก็พลอยได้รับผลกระทบเหล่านี้ไปด้วย

“ท่านเหอ ข้าขอแสดงความเสียใจกับความสูญเสียของสำนักรุ่งอรุณและข้าหวังว่าพวกท่านจะฟื้นตัวกลับมาได้โดยเร็ว”

หลังจากที่พวกเขาได้เห็นโศกนาฏกรรมที่สำนักรุ่งอรุณต้องพบเจอ เฉินอี้ตันก็แสดงความเห็นอกเห็นใจแก่เหอเฉิน แต่ในใจลึกๆของเขากลับรู้สึกดีใจที่เขาตัดสินใจได้ถูกต้อง แต่เมื่อเขามองไปรอบๆและตระหนักถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น เขาก็กลืนน้ำลายลงไปเอื้อกใหญ่ และสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของศัตรู ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งหอการค้าตันเซียงของเขาอาจพบจุดจบเฉกเช่นเดียวกันก็เป็นได้

“พวกเราประมาทตระกูลมู่หรงเกินไป เพียงแค่การ หยั่งเชิงก็ทำให้หลิงเฉิงเสียหายไปกว่าครึ่ง!” แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการปกป้องจากค่ายกลของเย่เย่ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาหายวิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าพวกท่านทั้งสองตั้งใจมาเยาะเย้ยข้าละก็ เชิญกลับไปเถอะ!” เหอเฉินเริ่มไม่พอใจเมื่อเห็น

เฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่ป้วนเปี้ยนอยู่ในบริเวณสำนักที่พังทลายของเขา

“มิได้ มิได้ พวกข้าแค่ต้องการความเห็นจากท่านเหอ ท่านเหอคิดว่าหลิงเฉิงของพวกเราจะต้านตระกูลมู่หรงไว้ได้อีกนานแค่ไหน? ข้าพูดตามตรงเลยนะส่วนตัวข้าคิดว่าเราควรยอมจำนนต่อ

ตระกูลมู่หรงให้เร็วที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้” จางเสี่ยวยู่ที่นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ก็ได้พูดแสดงเจตนารมณ์ของเขาออกมา…