มิเอลที่เป็นลมและถูกพากลับมาไม่ได้กลับเข้ามาในคฤหาสน์ บางทีอาจไปพักที่โรงพยาบาล หรือไม่ก็อาจไม่กล้ากลับมายังคฤหาสน์ที่อาเรียอยู่กระมัง

นอกจากนั้นเคนก็ยังไม่กลับมาเช่นกัน ดังนั้นหลังจากทำให้เคาน์ติสวางใจแล้วอาเรียจึงมีเวลาให้ได้พักผ่อนอย่างสบายใจเพื่อไปศาลต่อในวันรุ่งขึ้น และได้ขึ้นมาบนรถม้าของอาซที่โผล่มารับเธออย่างไม่คาดคิด

“…คุณอาซ มาอยู่ตรงนี้ได้…”

อาเรียตกใจที่มาเจออาซกำลังละเลียดลิ้มรสชาอย่างช้าๆ อยู่ในสวนจนไม่อาจถามออกไปได้จนจบประโยค อาซตอบคำถามของเธอพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

“ผมมารับเลดี้ครับ”

สาวใช้ข้างตัวเธอตัวสั่นระริกหน้าซีดเผือด

ให้ตายสิ คนอย่างองค์รัชทายาทมาเปิดหน้าค่าตาในเรื่องเล็กน้อยแบบนี้จะไม่เป็นไรหรอกหรือ

แล้วยังมาดื่มชาไม่พูดไม่จาแบบนี้อีก อาซสั่งบรรดาคนรับใช้ไม่ให้บอกเธอว่าเขามาถึงแล้ว อาเรียจึงไม่รู้เลยว่าเขามาจนกระทั่งเตรียมทุกอย่างเสร็จและออกมาจากคฤหาสน์แล้ว

“…แล้วเรื่องงานล่ะคะ”

“ไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรครับ”

อาซลุกขึ้นสลัดที่นั่งทิ้งทันที จากนั้นจึงยื่นมือมาให้อาเรีย

อาเรียหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทีสบายๆ นั้น ท่าทางของอาเรียดูไม่เหมือนคนที่ถูกใส่ความจนต้องไปศาลเพื่อฟังคำพิพากษาเลยสักนิด

เพราะแบบนั้นบรรดาคนรับใช้ที่เป็นห่วงอาเรียจนตาสว่างกันมาทั้งคืนจึงพอจะวางใจลงได้บ้างเมื่อเห็นว่าเธอยิ้มได้

“ไปกันไหมครับ”

เมื่ออาซเอ่ยเร่งอาเรียจึงจับมือเขาไว้ ก่อนจะขึ้นรถม้าคันงามใหญ่โตประทับตราราชวงศ์ราวกับตั้งใจเตรียมมาแล้วมุ่งหน้าไปที่ศาล และคงเป็นเพราะองค์รัชทายาททรงประทับอยู่ข้างเธอ ทหารองครักษ์จึงทิ้งช่วงคล้อยหลังไกลออกไปเล็กน้อย

เธอได้เห็นภาพของผู้คนที่เบิกตาโตเมื่อเห็นรถม้าก่อนจะก้มหัวลงในถนนทุกเส้นที่รถม้าวิ่งผ่าน แม้จะไม่มีคำอธิบายใดๆ แต่พวกเขาน่าจะเดาได้ว่าเป็นรถม้าขององค์รัชทายาทที่พาอาเรียมาด้วยหลังจากมองไปยังที่ที่รถม้ากำลังมุ่งหน้าไป

‘นี่เขาคงไม่ได้ตั้งใจจะโอ้อวดหรอกใช่ไหม…’

ครั้งเมื่อไปเยี่ยมเยียนคฤหาสน์ท่านเคานต์อย่างเป็นทางการก็เช่นเดียวกัน แต่เขาคือผู้ชายที่ชอบโอ้อวดในที่ที่แปลกมากๆ นี่สิ

ดังนั้นเมื่ออาเรียหรี่ตามองอาซ เขาจึงถามกลับหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ว่าเหตุใดเธอจึงมองเขาเช่นนั้น

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”

“ไม่นี่ครับ ก็แค่…”

ที่เธอทำอย่างนั้นก็เพราะเขาน่ารัก ทุกอย่าง ตั้งแต่ใบหน้าสุภาพเรียบร้อยนั่น มือของเขาที่มากุมมือเธอ และสายตาสงสัยใคร่รู้

ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะไม่น่ารักได้อย่างไรในเมื่อสิ่งที่เขาพยายามจะโอ้อวดหาใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็นความสัมพันธ์ของเขากับเธอ

เห็นเขาทำตัวสมกับอายุแบบนั้นพลอยทำให้เธอรู้สึกยุบยิบในใจ มันเป็นความรู้สึกที่อาเรียไม่เคยได้สัมผัสตอนที่อายุเท่าเขา ความรู้สึกที่เพิ่งเคยประสบเพราะได้ย้อนกลับมาในอดีตทำให้อาเรียยกมือมาแตะบริเวณหัวใจของตัวเอง

“เลดี้… ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”

เมื่ออาซเอ่ยถามสีหน้าเป็นกังวล อาเรียก็นิ่งคิดไปว่าเธอควรจะตอบอย่างไรดีแต่ไม่นานก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้า

“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นนะคะ เวลาได้คุยกับคุณอาซบางทีฉันก็คิดว่าหัวใจของฉันรู้สึกแปลกๆ น่ะค่ะ”

รู้สึกว่าหัวใจแปลกๆ อย่างนั้นหรือ…! นั่นมันอะไรกัน…! แต่ขณะที่อาซกำลังจะสั่งให้หันรถม้ากลับนั้นเขาก็เข้าใจสิ่งที่อาเรียพูด

“…!”

อาซเบิกตาโตพลางยกมือขึ้นปิดปาก ดูจากหูแดงๆ นั่นแล้วเขาคงกำลังเขินอยู่สินะ

ถึงอย่างนั้นสายตาของเขาก็ยังจับจ้องมาที่อาเรีย และอาเรียก็สบตาเขาตอบเช่นกัน

แววตาที่มีแต่ความเฉลียวฉลาดต่างจากแววตาของชายอื่นที่มักเลื่อนลอยเพราะเมาเหล้าเมายา ถึงอย่างนั้นแววตาสั่นไหวแม้จะเพียงเล็กน้อยดูคล้ายกำลังบอกความรู้สึกของอาซ

เขามองอาเรียเงียบๆ อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานก่อนจะถอนหายใจยาวพลางส่ายหน้า เรากับเขาเพิ่งหลุดจากอาการเหม่อลอย

“…เลดี้ชอบทำให้ผมสับสนอยู่เรื่อยเลยนะครับ”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งคุณอาซเล่นนะคะ”

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอไม่คาดหวังปฏิกิริยาแบบนั้นจากเขา

เธอคาดหวังว่าเขาจะตกใจจนหูแดงอย่างที่เป็นมาเสมอ เพราะทุกครั้งที่เห็นเขาเป็นแบบนั้นเธอก็จะคิดได้ว่าอาซทำทุกอย่างเพื่อเธอ และนั่นทำให้เธอรู้สึกอิ่มเอมใจ

ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังอยากเห็นอาซใส่ใจและมีปฏิกิริยากับคำพูดทุกคำของเธอ โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าเธอคิดแต่ผลประโยชน์ตัวเองและเห็นแก่ได้ ทั้งยังอยากเห็นแววตาที่มองเพียงแค่คนคนเดียวของเขาด้วย

“…เพราะอย่างนั้นผมถึงลำบากทุกครั้งยังไงล่ะครับ”

อาซลูบหน้าบอกความในใจออกมาโดยไม่ได้รับรู้สิ่งที่อยู่ในใจอาเรียเลย

ดูราวกับก้นบึ้งของหัวใจกำลังบอกว่าเขาไม่อาจทำบางสิ่งที่เขาคิดว่าใจร้ายกับอาเรียซึ่งยังเด็กอยู่ แม้ว่าความจริงแล้วสิ่งที่น่ากลัวกลับกลายเป็นตัวอาเรียเองก็เถอะ

“ฉันไม่เห็นเข้าใจเลยว่าคุณจะลำบากได้ยังไง หรือฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ”

อาซมองเข้าไปในดวงตาสุกใสของอาเรียที่ตอบมาแบบนั้นสักพักก่อนจะหลบตาเธอแล้วกำหมัดแน่น จากนั้นเขาก็เริ่มทำตัวแปลกๆ และขณะที่เธอกำลังกลั้นหัวเราะมองเขาอยู่นั้น รถม้าก็มาถึงศาลพอดี

ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างมารวมตัวกันอยู่เต็มหน้าศาลทั้งที่ไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ราวกับไปได้ยินข่าวลือมาจากที่ไหนสักแห่ง ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีบางใบหน้าที่เธอคุ้นเคย นั่นคือใบหน้าของบรรดานักธุรกิจที่เคยได้รับการลงทุนจากอาเรียและภรรยาของพวกเขา

ในอดีตนั้นคนเหล่านี้มีแต่จะก่นด่าสาปแช่งและหวังให้เธอไปตาย แต่ในตอนนี้พวกเขากลับคอยเป็นห่วงเป็นใยไม่ว่าเธอจะไปยังแห่งหนใด จนเธอรู้สึกราวกับว่ามันคือความฝัน

“เลดี้อาเรีย…!”

“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาทั้งที่ยุ่งอยู่แท้ๆ”

อาเรียเอ่ยตอบพวกเขาที่ส่งเสียงเศร้าสร้อยมาให้เธอว่าไม่ต้องเป็นห่วงก่อนจะเข้าไปในศาลตามที่อาซผายมือเชื้อเชิญ

“…คิดไม่ถึงเลยนะคะว่าจะมาถึงกันก่อน”

เคนและมิเอลอยู่ข้างในกันก่อนแล้ว

ในนั้นมีเพียงสองพี่น้องนั่งอยู่อย่างเงียบเหงาไร้ซึ่งวี่แววของบรรดาเลดี้ทั้งหลายที่เคยนั่งอยู่เต็มหลังมิเอล แน่นอน สีหน้าของเธอย่อมมีแต่ความชั่วร้าย เหล่าเลดี้ผู้ให้การเท็จทั้งหลายต่างอยู่ไกลออกไป

“ทหารองครักษ์คงจะเร่งเธอน่ะครับ ส่วนเลดี้ผมเป็นคนไปรับเอง พวกเขาจึงทำอย่างนั้นไม่ได้”

“อ้อ…”

เคนที่ให้มิเอลผู้กำลังอ่อนแอทั้งกายและใจเอนพิงไหล่ตนเองอยู่มองอาเรียที่เข้ามาพร้อมกับอาซแล้วก็ได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวด

มิเอลเองก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเช่นกัน นี่พวกเขาบังอาจแสดงกิริยาต่ำช้าแบบนั้นต่อหน้าองค์รัชทายาทได้อย่างไร

อาซก็น่าจะอารมณ์ไม่ดีถึงได้หยุดเดินไปสักพัก แม้แต่อาเรียก็ยังเอาตัวไปแนบชิดกับอาซแล้วเอนหัวพิงไหล่เขาจนทำให้เคนรู้สึกอึดอัดใจด้วยรู้สึกว่าการกระทำอันโง่เขลาของเคนนั้นช่างน่าขัน อาซถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความตกใจ

แต่ถึงอย่างนั้นเคนก็หาได้หลบสายตามิหนำซ้ำยังกัดฟันกรอด สมแล้วที่เป็นบุตรชายคนโตแห่งตระกูลเคานต์โรสเซนต์ น้องสาวตัวเองใกล้จะโดนโทษสถานหนักอยู่แล้วแต่เขากลับสนใจแต่เพียงสตรี ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นสินะ

บางทีความสนใจของชายหนุ่มที่กำลังจะได้เป็นผู้นำของตระกูลเคานต์แทนท่านเคานต์ที่ล้มหมอนนอนเสื่อนั้นอาจไม่ได้อยู่ที่มิเอลอีกแล้ว เพราะเขาคิดจะครอบครองตระกูลเคานต์และนำตระกูลไปตามที่ตนต้องการมาตั้งแต่แรกแล้ว ที่จริงเขาอาจคิดว่าจะกดดันอาเรียในอนาคตและจะทำให้เธอจนตรอกได้อย่างไรด้วยก็ได้

‘หรืออาจเตรียมบางอย่างที่จะทำให้น้องสาวตัวเองรอดมา’

แม้แต่ตอนนั่งที่แล้วอาเรียก็ยังแสดงท่าทีสนิทสนมเป็นกันเองกับอาซ ทั้งแตะหลังมือเขาโดยไม่นึกกลัว ทั้งช่วยจัดปกเสื้อให้ กระทั่งช่วยหยิบเศษฝุ่นที่ติดผมออกให้ด้วย จนในที่สุดก่อนที่เคนจะหันสายตาไปทางอื่น อาซก็จับมืออาเรียไว้

“…หยุด”

ตอนนั้นเองอาเรียถึงเพิ่งรู้ว่าอาซกำลังแย่จากเสียงที่ถูกกดเอาไว้อย่างเต็มที่ของเขา เธอรีบจัดท่าทีทันที

‘ให้ตายสิ นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย’

มันคือการกระทำที่เธอเคยทำเหมือนไม่มีอะไรเมื่อครั้งอดีต แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายคืออาซ หน้าเธอก็แทบจะระเบิดเพราะความอาย

เธอกลอกตาไปมาคิดหาทางว่าควรจะจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรดี แต่แล้วเฟรย์ก็เข้ามาในชั้นศาลได้อย่างประจวบเหมาะ

อาเรียปล่อยเวลาที่ควรจะขอโทษให้หลุดลอยไปแล้วหันไปสนใจเฟรย์แทน อาซที่มองอาเรียอยู่ได้แต่เดาะลิ้นเบาๆ พลางถอนหายใจ เขามองอาเรียเป็นหญิงสาวแสนใสซื่อบริสุทธิ์จึงคิดแต่เพียงว่ามันคือการกระทำที่ออกมาเพราะเธอไม่รู้ตัว

ระหว่างนั้น เฟรย์สังเกตเห็นบรรยากาศแปลกประหลาดระหว่างคนทั้งสองจึงยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยอยู่เป็นนานสองนาน ก่อนจะเอ่ยปากทำลายความเงียบ

“ดิฉันคิดว่าทุกท่านคงจะเหนื่อยเพราะมีการเปิดพิจารณาคดีติดต่อกันถึงสองวัน ดังนั้นดิฉันจะกล่าวคำตัดสินเลยแล้วกันนะคะ”

เธอนำเอกสารไม่กี่แผ่นออกมาก่อนจะปล่อยยาวลงด้านล่างแล้วไล่อ่านสิ่งที่อยู่ในนั้นอย่างละเอียดและกลับมามองเบื้องหน้าอีกครั้ง

“ก่อนอื่น ดิฉันขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าเลดี้อาเรียซึ่งถูกแจ้งความผิดจากตระกูลเคานต์โรสเซนต์ …เป็นผู้บริสุทธิ์ค่ะ”

แม้จะเป็นผลที่แน่นอนอยู่แล้วแต่อาเรียก็ยังยกมือลูบหน้าอกด้วยความโล่งใจ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอาซ หากไม่มีเขาก็ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นอย่างไร

เธอพลันลืมความเขินอายไปจนสิ้นแล้วกันไปมองอาซ เขาเองก็หันมามองเธอพร้อมรอยยิ้มบางเบาเช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้แบ่งปันความยินดีร่วมกันเฟรย์ก็พูดต่อเสียก่อน

“ผลจากการตรวจสอบหลักฐานพบว่าหลักฐานทั้งหมดเป็นของจริง และยังมีพยานผู้พบเห็นเลดี้กับองค์รัชทายาทจำนวนมาก ดังนั้นดิฉันขอตัดสินว่าพวกเขาไม่สามารถก่ออาชญากรรมได้ค่ะ ด้วยเหตุนี้เลดี้มิเอล เลดี้มีเดีย และเลดี้เวนดี้จึงกลายเป็นผู้กระทำความผิดข้อหาให้การเท็จไปโดยปริยายค่ะ”

ใครบางคนร้องไห้ออกมาทันทีที่เฟรย์พูดจบ

มีเดียนั่นเอง น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสายราวกับเจ้าตัวไม่อยากเชื่อว่าเธอจะกลายเป็นผู้กระทำความผิด

“ศาลที่เคารพ! ทั้งหมดนั้นเป็นความจริงหรือคะ เธออาจให้สินบนพยานก็ได้นะคะ!”

เสียงของมิเอลที่แกล้งทำเป็นเจ็บป่วยดังก้องไปทั้งชั้นศาล ทั้งที่ความจริงแล้วมันคือตัวเธอเองต่างหากที่เที่ยวดึงคนอื่นมาเป็นพยาน

“ดิฉันได้ดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนไม่ว่าใครก็ต้องเห็นด้วยค่ะ หากเลดี้ต้องการตรวจสอบให้แน่ใจก็สามารถส่งคำร้องทีหลังได้นะคะ โทษของศาลมีแต่เพียงเท่านี้แต่เลดี้ทั้งสามจะต้องเข้ารับการสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องยากดประสาทในภายหลังค่ะ”

ตอนนั้นเองเวนดี้ที่เพิ่งรู้ตัวว่าเธอได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องบ้าบอเพียงใดก็เริ่มปาดน้ำตาบ้าง ตอนนี้เธอคงจะเข้าใจแล้วว่ามันไม่ยุติธรรมเพียงใดที่ต้องมาโดนกล่าวหาความผิด

เธอได้มารู้ว่ามันเป็นโทษสถานหนักก็หลังจากที่ได้รับมันแล้ว… ช่างเป็นผู้หญิงที่โง่เขลาเสียจริง

“หากเป็นโทษเกี่ยวกับยากดประสาทละก็…”

“ผมจะกลายเป็นคนสั่งลงโทษครับ”

อาซตอบคำถามของอาเรียพร้อมยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขาคงไม่คิดไม่ฝันว่าเรื่องที่บรรดาชนชั้นสูงเจตนาจะพึ่งใบบุญขององค์รัชทายาทเพราะเป็นบุคคลที่ยากจะสืบหาและสอบสวนจะกลายเป็นการตรึงข้อเท้าพวกตนให้ดิ้นไม่หลุดแบบนี้ ซึ่งถ้าอาซเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยแล้วเรื่องนี้ย่อมไม่มีทางจบลงอย่างง่ายดาย

“สุดท้ายคือข้อหาของเลดี้มิเอลค่ะ”

และการพิพากษาที่อาเรียรอคอยก็ได้เริ่มต้นขึ้น มิเอลมองตรงไปที่เฟรย์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าของเธอซีดเผือดจนไม่น่าแปลกใจหากเธอจะเป็นลมล้มลงเสียเดี๋ยวนี้

“จากคำให้การของพยานที่ว่าเลดี้เป็นคนเดียวที่อยู่ตรงนั้นในขณะที่ท่านเคานต์โรสเซนต์ตกลงมาจากบันได และได้เห็นเลดี้ผมสีทอง”

สายตาของเฟรย์ที่เว้นช่วงไปดูคมกริบเหลือเกิน นั่นทำให้มิเอลถึงกับต้องกลั้นหายใจ และแม้แต่อาเรียก็ยังจับมืออาซ ขณะที่หวังให้มิเอลโดนโทษสถานหนัก

“ดิฉันขอยืนยันว่าเลดี้คือคนร้ายตัวจริงที่พยายามฆ่าท่านเคานต์โรสเซนต์และขอตัดสินให้ต้องโทษจำคุก 20 ปีค่ะ”

จำคุก 20 ปีอย่างนั้นหรือ

ถ้าเทียบกับโทษที่สตรีชั้นสูงควรได้รับแล้วก็ถือว่าเป็นโทษหนักทีเดียว ดังนั้นมิเอลจึงตัวสั่นระริกทันทีที่เฟรย์พูดจบก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากที่ เธอพยายามจะวิ่งเข้าไปหาเฟรย์แต่บรรดาทหารรักษาการณ์ที่ยืนประจำที่อยู่ก็ทำให้ความพยายามนั้นต้องสูญเปล่า

“ไม่นะ! บอกว่าไม่ใช่ฉันไง! ผู้หญิงคนนั้นต่างหาก! อย่าพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้สิ!”

เหล่าทหารรักษาการณ์เกินกว่าสิบนายต่างก็กรูกันเข้ามาล้อมมิเอลเป็นกำแพงไม่ให้เธอขยับไปไหนได้ราวกับว่าเฟรย์ได้สั่งไว้ล่วงหน้าก่อนทำการตัดสินคดี

“ศาลที่เคารพ! ผมมีเรื่องจะพูดครับ ตระกูลเคานต์ขอถอนแจ้งความ…!”

เคนที่เสียสติไปแล้วเพราะคำตัดสินที่หนักหนากว่าที่เขาคิดไว้ก้าวออกมาทีหลัง แต่เฟรย์กลับส่ายหน้า

“คำตัดสินมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้นะคะ หากลอร์ดมีคำคัดค้านอื่นใดดิฉันอยากให้ลอร์ดมาค้านในภายหลัง การพิจารณาคดีจบลงเพียงเท่านี้ค่ะ”

แผ่นหลังที่หันกลับไปอย่างเย็นชาไร้ซึ่งความเมตตาปรานี

ข่าวเรื่องมิเอลพยายามก่อเหตุปิตุฆาตแพร่สะพัดไปทั่วทั้งจักรวรรดิอย่างรวดเร็ว

……………………….