บทที่ 326 สอบต่อหน้าพระที่นั่ง
“เรื่องประหลาด?”
สวี่ชีอันดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง พร้อมสั่งให้ซูซูรินน้ำให้ตนเอง
‘ข้าไม่ใช่นางสนมของเจ้านะ เช่นนี้ก็เรียกใช้คนเสียเถอะ…’
ผีสาวซูซูมองเขาด้วยความโกรธ แต่ก็รินน้ำอย่างเชื่อฟัง อย่างไรก็ตามเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่ตอนนี้ก็คือเรื่องที่ครอบครัวของนางถูกฆาตกรรมสังหารทั้งบ้าน นางต้องพึ่งพาชายผู้นี้เพื่อขอความช่วยเหลือ ถ้าไม่อย่างนั้น เพียงแค่ตัวนางและเจ้านายของนางหลี่เมี่ยวเจิน สำรวจตรวจสอบเองเป็นสิบปีก็คงไม่เจอความจริงใดๆ
รอหลังจากที่สวี่ชีอันจิบชาไปหนึ่งอึก หลี่เมี่ยวเจินจึงพูดขึ้น
“พ่อของซูซูชื่อซูหัง เป็นบัณฑิตขั้นสูงของเจินเต๋อยี่สิบเก้าปี และของจักรพรรดิหยวนจิ่งสิบสี่ปี ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอันใด เขาถูกลดขั้นให้กลับไปรับตำแหน่งข้าหลวงเมืองเจียงโจว เมื่อต้นปี เขาถูกตัดหัวประหารชีวิตในข้อหาทุจริตรับติดสินบน”
สวี่ชีอันถูลูบถ้วยน้ำชา พลางเอ่ยถาม “มีปัญหาอะไรหรือา?”
“มี” หลี่เมี่ยวเจินหันหน้าไปมองทางด้านซูซู “นางจำไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งตนเองนั้นเคยอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง วิญญาณของซูซูนั้นครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อตอนที่ท่านอาจารย์ของข้าพบนาง นางกำลังฝึกบำเพ็ญตนในการซึมซับพลังอินจากหลุมศพนิรนาม อีกเพียงนิด นางก็ใกล้จะฝึกสำเร็จแล้ว ขอเพียงแต่นางไม่ออกห่างจากหลุมศพนิรนามนั้น นางก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกยืนยาว
“การฝึกเช่นนี้จะทำให้ดวงวิญญาณอาฆาตขุ่นเคือง แต่ไม่สามารถตัดความทรงจำของนางได้ เว้นเสียแต่ความทรงจำของนางจะถูกลบตั้งแต่ก่อนที่นางจะตาย”
ซูซูกล่าว “บางที…บางทีข้าอาจจะยังไม่เคยไปเมืองหลวงเลยจริงๆ”
สวี่ชีอันส่ายหน้า “ขุนนางที่เข้าไปทำหน้าที่ในเมืองหลวงทุกคน สมาชิกในครอบครัวของพวกเขาก็จะต้องย้ายถิ่นฐานไปที่เมืองหลวงด้วยทั้งหมด ข้าว่าความทรงจำของซูซูก่อนที่นางจะตายนั้นเริ่มจะมีปัญหา อืม…ช่างน่าสนใจ”
สองคนกับอีกหนึ่งดวงวิญญาณเงียบไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็พูดขึ้น “ในเมื่อเป็นขุนนางเมืองหลวง เช่นนั้นกรมปกครองก็ต้องมีข้อมูลของเขา…กรมปกครองเป็นอาณาบริเวณของสมุหราชเลขาธิการหวาง เขาและเว่ยเยวียนเป็นคู่อริทางการเมืองกัน ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ข้าไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบหนังสือราชการของกรมปกครอง ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อน เพียงแค่รอโอกาส”
หลี่เมี่ยวเจินและซูซูพยักหน้า
สวี่ชีอันจิบชาอุ่นๆ พลางพูด “พี่ชายของเจ้าชื่ออะไร ในปีนั้นที่ตระกูลซูเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาอายุเท่าไหร่”
ซูซูเอียงศีรษะ พลางคิดไปคิดมา “ชื่อของเขาคือซูเฉิงจื้อ ปีนั้นที่ครอบครัวเกิดเหตุร้ายขึ้น เขาน่าจะอายุได้ประมาณสิบเอ็ดถึงสิบสองปี”
เช่นนั้นอายุเขาตอนนี้ก็คงจะประมาณสามสิบเอ็ดสามสิบสองปี ไม่มีวิธีไหนที่จะตามหาน้องเขยคนนี้เลย คงไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร…คงจะดีถ้าต้าฟ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะที่พัฒนาแล้ว สวี่ชีอันพูดเป็นนัย
“ข้าจะพยายามช่วยเจ้าตามหา แต่เจ้าอย่าหอบความหวังไว้มากมายนักล่ะ”
ซูซูตอบ “อืม” รู้ว่าการตามหาญาติมันยากเกินขอบเขต นางเองก็ไม่ได้จะดึงดัน
หลังจากหาทางออกให้กับเรื่องนี้แล้ว สวี่ชีอันก็พูดถึงเรื่องถัดไป พลางมองไปที่หลี่เมี่ยวเจินและพูดว่า “เจ้าจะเริ่มการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์เมื่อไหร่?”
หลี่เมี่ยวเจินไม่ลังเลใจ “อันดับแรกต้องส่งหนังสือรบก่อน จากนั้นค่อยทำการนัดหมายเวลา ภายในเจ็ดวันนี้แหละ”
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ และพูดอย่างตรงไปตรงมาในสิ่งที่เขาคิด “ก่อนที่สงครามระหว่างสวรรค์กับมนุษย์จะจบลง ทางที่ดีเจ้าไม่ควรจะออกจากเมืองหลวง ไม่ว่าเจ้าจะได้รับจดหมายประเภทใดหรือติดต่อกับผู้ใดก็ตาม ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น”
หลี่เมี่ยวเจินเลิกคิ้วขึ้น “เจ้ากำลังจะบอกว่ามีคนจะขัดขวางข้างั้นหรือ?”
“นี่คือเรื่องที่แน่ชัดอย่างไม่ต้องสงสัย” สวี่ชีอันถอนหายใจ “ถ้าหากเจ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นในเมืองหลวง ผู้นำเต๋าแห่งนิกายสวรรค์จะยอมเลิกราเพื่อยุติเรื่องราวหรือ? เหล่าเทพธิดาระดับสูงของลัทธิเต๋า ดูท่าว่าคงจะไม่ได้ต่างจากท่านโหราจารย์เท่าไหร่หรอก”
ซูซูยืดหน้าอกกระดานของเธอขึ้น สีหน้าท่าทางภูมิใจ “รู้ว่าผู้นำเต๋าของพวกเรานั้นเป็นที่หนึ่ง ยังจะมีใครกล้าที่จะขัดขวางอาจารย์อีกหรือ?”
สวี่ชีอันรู้สึกสลดใจกับไอคิวของผีสาวตนนี้เหลือเกิน ‘ไม่ว่าจะอย่างไร พ่อของเจ้าก็เป็นถึงบัณฑิตขั้นสูง แต่เจ้ากลับไม่ได้สืบทอดสติปัญญาความฉลาดของพ่อมาเลยแม้แต่น้อย…’ เป็นเพราะเมี่ยวเจินเป็นนักบวชของนิกายสวรรค์ ดังนั้นจึงยังคงมีผู้คนที่นึกถึงและโหยหาอยู่
ฝ่าบาททรงหลงใหลในการฝึกบำเพ็ญ เพื่อรักษาเสถียรภาพของอำนาจเอาไว้ จึงส่งเสริมที่ตั้งท้องพระโรงและมีส่วนร่วมในสถานการณ์ปัจจุบันของการรบกันของหลายๆ พรรค สำหรับสิ่งนี้ ก็มีบางคนไม่พอใจมาตั้งนานแล้ว ในแง่ของการต่อสู้กันระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะหยิบฉวยโอกาสนี้
“นอกจากนี้ คนที่สร้างปัญหาเรื่องนี้ ทุกคนล้วนรู้ดี ผู้คนจากทั่วยุทธภพล้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง หนึ่งในนั้นต้องมีคนจากประเทศอื่นแฝงตัวปะปนมาเพื่อคอยสอดแนมด้วยแน่นอน ผู้คนเหล่านี้รอให้หลี่เมี่ยวเจินตายในเมืองหลวงแทบจะไม่ไหว”
แค่ครู่เดียวซูซูก็เข้าใจได้ในทันที
“เจ้าคือลัทธิเต๋าระดับสี่ คนธรรมดาทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ระดับสี่ขึ้นไปของยอดฝีมือต่างเผ่าต่างก็ต้องการที่จะเข้ามาเมืองหลวงเพื่อฆ่าเจ้า หวังลมๆ แล้งๆ ไร้สาระ และยอดฝีมือของภายในราชสำนัก ก็ยิ่งไม่สามารถลงมือในเมืองหลวงได้ นอกเสียจากว่าพวกเขามีความคิดอยากจะรนหาที่ตาย”
“ขอบคุณที่เตือนข้า ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่เมี่ยวเจินพูด “ข้าจะจัดการเตือนพวกวิญญาณที่อยู่บริเวณจวนสกุลสวี่ให้ระวังการโจมตีจากพวกข้าศึกไว้ ถ้ามีบุคคลที่น่าสงสัยเข้ามาใกล้ ให้รีบส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันที ถึงเวลานั้นข้าอาจจะลงมือก่อนล่วงหน้า หรือออกจากจวนสกุลสวี่ไป เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติต่อครอบครัวเจ้า แม้ว่าความเป็นไปได้นี้จะมีไม่มากก็ตาม”
จากนั้น นางก็อดที่จะพูดเยาะเย้ยไม่ได้ “จักรพรรดิหยวนจิ่งนี่สมควรตายไปซะ”
“เฮ้ๆ เจ้าระวังคำพูดหน่อยนะ คำพูดเช่นนี้ควรพูดคุยกันผ่านช่องทางลับก็พอแล้ว…” สวี่ชีอันยิ้มพร้อมพยักหน้า ลุกขึ้นยืนพลางพูด “ถ้าเช่นนั้น ข้าในฐานะคนนอก ก็คงจะไม่รบกวนความฝันอันแสนหวานของแม่นางทั้งสองแล้วล่ะ”
เขาออกจากห้องไป ภายใต้สายตาที่แสดงออกถึงความงุนงงอย่างชัดเจนของทั้งหลี่เมี่ยวเจินและซูซู
…
วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสาม สมควรแก่การตัดผม โกนหนวด ตัดเย็บเสื้อผ้า เดินทาง และแต่งงาน
วันนี้เป็นวันสอบต่อหน้าพระที่นั่ง ห่างจากวันสิ้นสุดการสอบระดับเมืองหลวงเป็นเวลาหนึ่งเดือนพอดี
เมื่อท้องฟ้าสีมืดครึ้ม อาสะใภ้ก็ลุกขึ้นมาแล้วสวมกระโปรงยาวที่ถูกปักเย็บอย่างประณีต เส้นผมสวยงามนั้นยุ่งเหยิงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ใช้เพียงแค่กิ๊บติดผมสีทองตัวเดียวติดไว้ที่บนหัว
นัยน์ตางดงามของนางนั้นดูค่อนข้างหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา ท่าทางราวกับว่ายังไม่ตื่น ถุงใต้ตาหรือก็บวมเป่ง
อาสะใภ้จัดแจงให้แม่ครัวทำอาหารเช้าให้สำหรับเอ้อร์หลาง พลางพาสาวใช้ข้างกายอย่างลวี่เอ๋อไปเคาะประตูห้องของเอ้อร์หลาง
สวี่ซินเหนียนสวมเสื้อคลุมสีขาวบาง เอวนั้นแขวนหยกสีม่วงที่ฆราวาสจื่อหยางส่งมาให้ พร้อมกับมาเปิดประตูให้มารดาด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง
“เอ้อร์หลางตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ?” อาสะใภ้หาว และพูดว่า
“ข้าให้ห้องครัวทำอาหารเช้าไว้ให้แล้ว เอ้อร์หลาง เจ้าต้องการจะนอนต่ออีกสักหนึ่งชั่วก้านธูปหรือไม่ ประเดี๋ยวจะได้มาร้องเรียกเจ้า”
“ไม่เป็นไร”
ถึงอย่างไรสวี่เอ้อร์หลางก็เป็นระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นที่แปด กำลังวังชานั้นเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก ดังนั้นเขาจึงพูดปลอบมารดาของเขา “ท่านแม่ไม่ต้องกังวลใจไปหรอก การสอบต่อหน้าพระที่นั่งเป็นการทดสอบลำดับขั้น และข้าในฐานะที่เป็นผู้สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบแข่งขันชิงตำแหน่งบัณฑิต คงจะได้ไม่ต่ำจนเกินไป”
อาสะใภ้สบายใจขึ้นมาในทันที จึงพาลวี่เอ๋อออกจากห้องไป เมื่อตอนก้าวข้ามธรณีประตู จู่ๆ นางก็กรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา
สวี่เอ้อร์หลางสะดุ้งตกใจ พร้อมวิ่งออกมาจากห้องเพื่อตรวจดูสถานการณ์ เห็นว่ามีสตรีสวมชุดขาวนางหนึ่ง ในมือนั้นถือร่มสีแดงคันหนึ่งยืนอยู่อย่างเงียบๆ ในลานบ้าน
ในเวลานี้เพิ่งผ่านเวลาฟ้าสางมาได้ไม่นาน ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ ถ้าเช่นนั้นสตรีคนนั้นที่ถือร่มสีแดงสด สวมชุดสีขาว และร่างกายของนางก็ดูทะลุปรุโปร่งแบบแปลกๆ
“คุณนายสวี่”
ซูซูยิ้มหวาน พร้อมกับคารวะอย่างอ่อนช้อย
อาสะใภ้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดกับตัวเองในใจว่า ณ จุดนี้ นางไม่ได้นอนอยู่ในห้องและวิ่งออกมาทำอะไร อีกนิดเดียวก็เกือบจะคิดว่าเจอผีเข้าเสียแล้ว
สวี่เอ้อร์หลางจ้องมองที่ซูซูอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ละสายตากลับมาพร้อมระงับอารมณ์และคำพูด และหันไปคุยกับอาสะใภ้ “ท่านแม่ ท่านกลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”
หลังจากส่งอาสะใภ้ออกไปแล้ว สวี่เอ้อร์หลางก็มองไปที่ซูซูที่อยู่ในลานบ้าน พร้อมพูด “พี่ใหญ่ของข้ารู้สถานะของเจ้าหรือไม่?”
‘เขาดูออกหรือว่าข้าคือภูตผี? สมกับที่เป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่’…ซูซูยิ้มบางๆ ปรากฏรอยบุ๋มข้างแก้มขึ้นทั้งสองข้าง พร้อมพูดเสียงอ่อนช้อย
“รู้สิ เขาบอกว่าเขาจะสร้างร่างเนื้อใหม่ให้ข้า จากนั้นก็ให้เป็นสนมของเขาเป็นเวลาสามปีน่ะ”
หรือนี่เป็นเรื่องที่พี่ใหญ่จะทำจริงๆ คณิกาของสำนักสังคีตหมดวิธีที่จะตอบสนองรสนิยมของเขาให้พอใจได้แล้วหรือ? คาดไม่ถึงว่าขนาดภูตผีเขาก็ยังจะคิดโหยหาได้ลง
สวี่ซินเหนียนตกตะลึงอ้าปากค้าง พูดไม่ออกอยู่นาน
เมื่อรู้ว่าวันนี้เป็นการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง เพิ่งจะผ่านฟ้าสางไปได้ไม่นาน จวนสกุลสวี่ก็เริ่มจุดเทียนไขแล้ว หลี่เมี่ยวเจินได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ออกมาประสมโรงด้วย ทุกคนทานอาหารเช้าและส่งสวี่ซินเหนียนออกจากจวน
“เอ้อร์หลาง วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่การสอบต่อหน้าพระที่นั่งที่เกี่ยวข้องกับอนาคตข้างหน้าเท่านั้น แต่คือการที่เจ้าจะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง เป็นโอกาสอันดีที่จะล้างความด่างพร้อยที่ถูกเข้าใจผิดได้อย่างถึงที่สุด เจ้าจะต้องตั้งใจสอบให้ดี” สวี่ผิงจื้อสวมชุดเกราะ ถือหมวกเกราะเอาไว้ กำชับเตือนจากใจจริง
สวี่ซินเหนียนพยักหน้าพร้อมเดินออกไป พลางพูด “ทราบแล้ว ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง…ข้า…”
คำพูดประโยคครึ่งหลังจู่ๆ ก็ติดอยู่ในลำคอของเขา เขามองไปยังเส้นทางข้างหน้าด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ทั้งสองท่านนั้น ‘คนคุ้นเคยเก่า’ ยืนอยู่ที่ตรงนั้น ท่านแรกคือพระร่างสูงใหญ่สง่า สวมจีวรที่ถูกซักอย่างขาวสะอาด
อีกท่านหนึ่งคือนักดาบเสื้อคลุมดำ มีปอยปมสีขาวร่วงหล่นลงปรกตรงหน้าผาก อายุไม่ได้นับว่าเยอะมากนัก แต่กลับทำให้คนรู้สึกได้ว่าเขานั้นได้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
‘สองคนนี้อีกแล้ว เป็นสองคนนี้อีกแล้ว!’
สวี่ซินเหนียนร้องคำรามในใจ
“นั่นคือสหายของพี่ใหญ่เอง” สวี่ชีอันตบบ่าเขาเล็กน้อย เพื่อบรรเทาความโกรธภายในของน้องชายเล็ก
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้ติดต่อกับหมายเลขสี่มาก่อน ดังนั้นจึงใช้สวี่ซินเหนียนเป็นแพะรับบาปแทนเขาเพื่อปิดบังความจริง ตอนนี้สถานะของสวี่ชีอันค่อยๆ มั่นคงขึ้น ส่วนฉู่หยวนเจิ่นก็ค่อยๆ ยอมรับตัวตนของญาติผู้พี่ของหมายเลขสามได้แล้ว
เมื่อความคิดเช่นนั้นเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ฉู่จ้วนหยางย่อมไม่ทบทวนกลั่นกรองอย่างละเอียด และไม่คิดตั้งข้อสงสัยว่า ‘ตัวตนของหมายเลขสามช่างแปลกประหลาด’ เพราะเป็นธรรมดาที่ผู้คนมักเลือกที่จะเชื่อใจเพื่อนได้อย่างง่ายดาย หรือเชื่อใจคนที่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และนี่คือสาเหตุ
เหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่นยิ้มเล็กน้อยพร้อมพยักหน้า และหลังจากทักทายกันแล้ว ไม่นานนักสายตาก็ไปหยุดลงที่ร่างของหลี่เมี่ยวเจิน
นักบุญนิกายสวรรค์ท่านนี้มีใบหน้าเรียวทรงเมล็ดแตงโมขาวสะอาดบริสุทธิ์ ใบหน้างดงามอย่างแท้จริง ดวงตากลมนั้นราวกับไข่มุกสีนิล สดใสและสว่างไสว คิ้วเรียวแหลมคมเส้นนั้น ทำให้นางดูเหมือนกับว่ามีนิสัยเฉพาะตัวที่ดุดันปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
แทนที่จะบอกว่านางเป็นนักบวชนิกายสวรรค์ นางกลับเหมือนขุนพลหญิงผู้เชี่ยวชาญแข็งแกร่งเสียมากกว่า ใช่แล้ว…นางสมัครเข้าร่วมกองทัพทหารที่อวิ๋นโจวเป็นเวลาหนึ่งปี…ภิกษุเหิงหย่วนประสานสิบนิ้วมือยกขึ้น พลางยิ้มเล็กๆ ให้หลี่เมี่ยวเจิน เก็บรวบรวมลมปราณไว้ภายในไม่ให้รั่วไหลแม้แต่น้อย ดูไม่ได้เป็นการกระทำที่ประดิษฐ์
‘แต่ในเมื่อนางมาถึงเมืองหลวง นั่นก็หมายความว่านางได้ก้าวเข้าสู่ระดับสี่แล้ว โอ้โฮ…หลังต่อสู้กับจางไคไท่ในปีนั้นและพ่ายแพ้อย่างย่อยยับป่นปี้ ข้าก็ไม่ได้ต่อสู้กับระดับสี่มาหลายปีแล้ว’
ใบหน้าฉู่หยวนเจิ่นยิ้มแย้ม แต่ภายในดวงตานั้นลุกโชนไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้
‘คนหัวโล้นนั้นคือหมายเลขหก ส่วนคนที่มีสะพายดาบอยู่ด้านหลังคือหมายเลขสี่ อืม หมายเลขสี่ก็เหมือนกับหมายเลขหนึ่งอย่างที่คาดไว้จริงๆ การเดินนั้นไม่เหมือนกับวิธีการเดินที่สืบทอดมาของนิกายมนุษย์’…หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า นับเป็นการทักทายกันเรียบร้อยแล้ว
สำหรับหมายเลขห้าลี่น่า นางยังคงนอนหลับสบายพร้อมเสียงกรนอยู่ในห้อง เช่นเดียวกับสวี่หลิงอินผู้ติดตามของนาง
‘กุบกับ กุบกับ…’
ชายสามคนจากบ้านสกุลสวี่ควบม้าขี่ม้าออกไป หลี่เมี่ยวเจินมองตามหลัง ขณะที่พวกเขาจากไป เสียงของเหิงหย่วนก็ลอยมากระทบข้างหู “อมิตตาพุทธ หวังว่าหมายเลขสามจะสามารถสอบติดอันดับหนึ่ง”
ฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะเยาะหึๆ “ได้ลำดับที่สองก็ไม่เลวแล้ว อย่างไรก็ตามเขาเป็นถึงบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่ เพียงแต่ บนตัวของหมายเลขสามนั้นมีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่”
เหิงหย่วนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ความลับหรือ?”
ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าพลางยิ้ม และพูดอย่างลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก “หากข้าคาดเดาไม่ผิด นิมิตบรรยากาศบริสุทธิ์ปกคลุมด้วยเมฆของตำหนักรองปราชญ์เอกสำนักอวิ๋นลู่ ต้องเกี่ยวข้องกับหมายเลขสามแน่ๆ”
“แน่นอนว่านี่เป็นการคาดเดาของข้าโดยไม่มีหลักฐานใดๆ เชื่อหรือไม่หรือขึ้นอยู่กับเจ้า”
เหิงหย่วนนึกขึ้นได้ในทันที
สีหน้าของหลี่เมี่ยวเจินก็เปลี่ยนเป็นรู้สึกแปลกใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน หมายเลขสี่และหมายเลขหกไม่รู้ว่าสวี่ชีอันก็คือหมายเลขสาม พวกเขาเข้าใจมาตลอดว่าสวี่ซินเหนียนคือหมายเลขสาม
‘ในอนาคต หากพวกเขารู้ความจริง และพวกเขาหวนคิดถึงคำพูดในวันนี้ จะเป็นเหมือนข้าหรือไม่ ที่อับอายจนแทบอยากจะทุบตีสวี่ชีอัน แต่กลับจำใจต้องปกปิดเขาเอาไว้’
‘เพราะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกนี่เอง ทุกคนจึงทำเหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น’
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางจึงเหลือบมองที่หมายเลขสี่และหมายเลขหกด้วยความสงสาร
…
ความมืดก่อนรุ่งสางนั้นเข้มข้นที่สุด เหล่าบัณฑิตบรรณาการสี่ร้อยคนมารวมตัวกันที่ด้านนอกประตูทิศใต้เพื่อรอการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง
บริเวณรอบๆ นั้นล้อมรอบด้วยทหารรักษาวังที่ถือคบเพลิงอยู่ ราวกับประติมากรรมแกะสลักที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ แต่กลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารร้อยนายมารวมตัวกัน มองดูเหล่าบัณฑิตบรรณาการที่เข้าร่วมการสอบต่อหน้าพระที่นั่งอย่างละเอียดถี่ถ้วนจากระยะไกล ในบางครั้งก็พูดกระซิบกระซาบกัน มีเพียงขุนนางของกรมพิธีการเท่านั้นที่ทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสถานที่สอบ
เป็นครั้งที่สามที่ทำการตรวจสอบเพื่อยืนยันตัวตนและตรวจนับจำนวนคน
ประตูทิศใต้มีอยู่ทั้งหมดห้าประตู สามประตูใหญ่เป็นประตูหน้า สองประตูเป็นประตูข้าง โดยปกติเวลาเข้าเฝ้า เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารร้อยนายทั้งหมดจะเข้ามาทางประตูข้าง และมีเพียงจักรพรรดิและฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถเสด็จผ่านประตูใหญ่ด้านหน้าได้
แน่นอนว่าผู้ที่สอบไล่ได้อันดับหนึ่ง อันดับสอง และอันดับสาม จะได้รับเกียรติยศอันสูงส่ง มีสิทธิ์ที่จะได้เดินผ่านประตูหน้าใหญ่ได้หนึ่งครั้ง
สวี่ซินเหนียนซึ่งมีฐานะเป็นผู้สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบแข่งขันชิงตำแหน่งบัณฑิต ยืนอยู่ที่หน้าสุดของบัณฑิตบรรณาการ เขายืนหน้าเชิดตรง ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ท่าทางนั้น ราวกับว่าทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่นั้นล้วนเป็นขยะ
แต่ว่า เหล่าปัญญาชนกลับไม่ใส่ใจพฤติกรรมดังกล่าวนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความสามารถพิเศษเช่นเขา ต่อให้ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบแข่งขันชิงตำแหน่งบัณฑิตแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ขุนนางที่อยู่ไกลๆ ต่างก็พากันยกย่องชื่นชมเขาอยู่ในใจ
‘เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา’
เสียงกลองดังขึ้น เมื่อทั้งสามฉบับเสร็จสมบูรณ์ เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารร้อยนายนำหน้าเข้าไปในประตูทิศใต้ จากนั้นก็ตามด้วยเหล่าบัณฑิตบรรณาการที่นำโดยขุนนางกรมพิธีการ เดินผ่านสะพานหินอ่อนจินสุ่ย แล้วหยุดลงที่ลานจัตุรัสด้านนอกของพระราชวังกระดิ่งทอง
สวี่ซินเหนียนหรี่ตามองไปที่พระราชวังกระดิ่งทองจากระยะไกล เขาสามารถมองเห็นได้เพียงเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารร้อยนางที่อยู่ตรงขั้นบันไดสีแดง แต่การบรรเลงภายในพระราชวังกระดิ่งทอง ไม่มีทางที่จะเห็นได้เลย
ผ่านไปนานมากเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารร้อยนายก็ต่างพากันถอนตัวออกจากวัง ขั้นตอนต่อไปคือการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง
เวลานี้แม้แต่สวี่ซินเหนียนเองก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
‘เอื้อก…’
ในเหล่าบัณฑิตบรรณาการมีเสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นมา
ในบรรยากาศที่ตึงเครียดเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงจอแจดังมาจากข้างหลัง มีทั้งเสียงตำหนิและดุด่า
ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะหันมองย้อนกลับไปดู มองผ่านประตูของประตูทิศใต้ก็เห็นโหรในชุดขาวปรากฏตัวขึ้นอย่างเลือนราง คอยปิดกั้นทางเดินของเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารไว้
โหรชุดขาวหันหลังให้กับผู้คน ไม่แยแสต่อเสียงตำหนิดุด่าโดยรอบ
แต่ระดับแปดแห่งลัทธิขงจื๊อสวี่ซินเหนียน กลับได้ยินคำตำหนิดุด่าอยู่รางๆ
“หยางเชียนฮ่วน เจ้าไม่ได้ต้องการจะก่อกบฏใช่หรือไม่ เชิญหลีกไปให้พ้น”
“หยางเชียนฮ่วน เจ้าคิดจะทำอะไร ที่นี่คือประตูทิศใต้ วันนี้เป็นการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง เจ้าต้องการจะก่อความวุ่นวายงั้นหรือ”
ในการดุด่านั้น เสียงถอนหายใจยาวก็ดังขึ้น โหรชุดขาวผู้นั้นค่อยๆ พูด “จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้! ถุย…”
เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง และครู่ต่อมา เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารร้อยนายก็เกิดความโกลาหล เอะอะราวกับโดนน้ำร้อนลวก และเหตุการณ์ก็เริ่มวุ่นวาย
“เกิด…เกิดอะไรขึ้น?” บัณฑิตบรรณาการท่านหนึ่งพูดอย่างงุนงง
“นี่…นี่ไม่ใช่บทกวีเหน็บแนมบุรุษของฆ้องเงินสวี่ชีอันหรอกหรือ เช่นนั้น…โหรชุดขาวท่านนั้นก็เป็นคนของสำนักโหราจารย์หรอกหรือ?”
“เขาไปแล้ว…”
บัณฑิตบรรณาการกว่าสี่ร้อยนาย ยากที่จะพยายามรักษาความเงียบสงบ ก็แอบกระซิบกระซาบกันและไม่หยุดที่จะหันไปมองทางประตูทิศใต้
“เงียบ!” ขุนนางกรมพิธีการตำหนิเสียงดัง พร้อมพูด “ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า ตั้งใจสอบให้สำเร็จอย่างสงบจิตสงบใจเสียเถอะ ถ้าหากใครแอบกระซิบกระซาบกันอีก จะถูกไล่ออกจากประตูทิศใต้ และกลับบ้านไปรออีกสามปี”
ฉับพลันทันที เหล่าบัณฑิตบรรณาการก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เหล่าบุรุษที่กระจัดกระจายไปเมื่อครู่นี้ก็กลับแล้ว บ้างก็เข้ามาด้วยใบหน้าที่มืดมน บ้างก็เข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้น หรือบ้างก็กลับเข้าพระราชวังกระดิ่งทองความขุ่นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม หลังจากนั้นก็มีเสียงทะเลาะวิวาทดังมาจากข้างใน
ผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป เหล่าบุรุษก็ต่างพากันออกมาจากพระราชวังกระดิ่งทอง และไม่ได้กลับมาอีก
‘หยางเชียนฮ่วน…ชื่อนี้เหมือนกับว่าช่างคุ้นเคยเหลือเกิน เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน’ สวี่เอ้อร์หลางพึมพำในใจ
“บัณฑิตบรรณาการสำนักอวิ๋นลู่ที่สอบผ่านระบบการสอบคัดเลือกขุนนางแห่งเมืองหลวง…สวี่ซินเหนียน”
ในเวลานี้ เสียงของขุนนางกรมพิธีการดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของสวี่ซินเหนียน เขากลับมาได้สติอีกครั้ง รับกระดาษข้อสอบที่ปิดผนึกอย่างดีจากขุนนางวัดหงหลูที่เรียงลำดับห้องมา และก้าวเดินอย่างยืดอกอย่างองอาจเข้าสู่พระราชวังกระดิ่งทอง
…
การสอบต่อหน้าพระที่นั่งจะสอบเพียงแค่การเขียนนโยบายและเขียนคำถามคำตอบเรื่องการเมือง สอบเพียงแค่วันเดียว และส่งข้อสอบเมื่อพระอาทิตย์ตก
สวี่ซินเหนียนเหยียบย่ำแสงของอาทิตย์ในยามเย็น ออกจากพระราชวัง ที่ปากประตูเขตพระราชฐาน เขาเห็นพี่ใหญ่ของเขายืนอยู่บนหลังม้า ในมือถือสายบังเหียนของม้าอีกตัวอยู่ในมือ กำลังยืนรอด้วยรอยยิ้ม
“ข้าบอกอารองไว้แล้ว ว่าให้ข้ารับผิดชอบเรื่องมารับเจ้า” สวี่ชีอันเอ่ยถาม “การสอบเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ก็พอได้!”
สวี่ซินเหนียนพูดนิ่งๆ “หากข้าเป็นบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวง เชื่อได้เลยว่าสอบได้ที่หนึ่งแน่”
เจ้าอย่าทำเป็นอวดเบ่งหน่อยเลย! สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว แบบนี้ค่อยสมศักดิ์ศรีของพี่ใหญ่หน่อย หลังจากวันนี้ไปคนอื่นคงไม่สามารถพูดได้แล้วว่าพี่เป็นเสือแต่น้องเป็นสุนัข”
สวี่ซินเหนียนถอนหายใจ ‘แม้ว่าพี่ใหญ่จะมีชื่อเสียงกว้างไกล แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ใช่ปัญญาชน หากจวนสกุลสวี่ต้องการตั้งหลักปักฐานอย่างมั่นคงในเมืองหลวง และเป็นที่เคารพของผู้อื่น และมีปัญญาชนที่มีฐานะสังคมเป็นคนเข้ารับราชการ’
สวี่ชีอันตอบ “อืม” สั้นๆ
“เอ้อร์หลางทำงานอย่างหนัก ข้าก็เพิ่งออกมาจากจวนองค์หญิงหลินอัน”
“…” สวี่ซินเหนียนยอมเชื่อฟัง
เขาแพ้แล้ว แต่ยังแสร้งหลอกพี่ใหญ่ไม่ได้
สวี่ชีอันโยนบังเหียนม้าให้สวี่เอ้อร์หลาง พร้อมพูด “เอ้อร์หลาง เจ้าก้าวออกมาจากหนทางการทดสอบเข้ารับราชการแล้ว คืนนี้พี่ใหญ่จะเลี้ยงเจ้าเอง ไปยังสำนักสังคีตเพื่อเฉลิมฉลองสักรอบกันเถอะ”
“แม่และน้องสาวก็อยู่ที่นั่น” สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว
“ข้าบอกกับอาสะใภ้แล้ว ว่าวันนี้จะตรวจตรากลางคืน ส่วนเจ้าน่ะ หลังจากสอบต่อหน้าพระที่นั่งจบสิ้นแล้ว ก็ไปดื่มและพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นของเจ้าต่อก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่หรือ?” สวี่ชีอันกล่าว
“ที่พี่ใหญ่พูดก็มีเหตุผล” สวี่ซินเหนียนหัวเราะร่าออกมา
…………………………………………..