ตอนที่ 355 จงอู๋หยาน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ท่ามกลางแสงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผา ฉินอวี้โม่ ฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นกำลังมุ่งหน้าตรงไปทางตะวันออกด้วยความเร่งรีบ

“พี่อวี้โม่ เราอยู่ในมิติพิเศษนี้มานานเจ็ดวันแล้วทว่าสิ่งแวดล้อมโดยรอบยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ระดับของอสูรที่นี่ก็ต่ำมากและไม่มีเบาะแสร่องรอยของเส้นทางไปชั้นที่สองเลย ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าพี่ซื่อชู่และคนอื่นๆจะอยู่ที่ใด ท่านคิดว่าเราจะได้พบทางไปชั้นที่สองเมื่อไหร่?”

หลังจากเข้ามาในมิติพิเศษสำหรับการแข่งขันในงานชุมนุมวายุเมฆา ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ถูกแยกกระจายกันออกไปในจุดต่างๆระหว่างการเคลื่อนย้ายเข้ามาที่นี่

ทว่าโชคดีที่ซูเสี่ยวจวิ้นและฉีอวิ๋นเหล่ยถูกเคลื่อนย้ายมาในจุดที่ไม่ไกลจากนางมากนัก ในวันที่สาม ทั้งสามจึงได้พบกันโดยบังเอิญ จากนั้นแน่นอนว่าพวกนางก็รวมกลุ่มกันและตัดสินใจที่จะเดินทางไปด้วยกันเพื่อตามหาเส้นทางไปยังชั้นที่สอง

เพราะถึงอย่างไร หากต้องการที่จะบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผู้เข้าแข่งขันจะต้องไปให้ถึงชั้นที่เจ็ดให้ได้ซึ่งก็คือชั้นสุดท้ายและเป็นชั้นที่แข็งแกร่งที่สุด การไปถึงที่นั่นคือเป้าหมายที่ทุกคนต้องการ

เพียงแต่มิติพิเศษนี้ประหลาดอย่างยิ่ง ตลอดระยะเวลาเจ็ดวัน พวกนางยังไม่สามารถผ่านพ้นไปจากที่ราบกว้างขวางแห่งนี้ ส่วนเรื่องเบาะแสใดๆนั้นก็ลืมไปได้เลย

“เสี่ยวจวิ้น ไม่ต้องห่วง ในเมื่อมิติพิเศษนี้เป็นสถานที่แข่งขันสำหรับเรา มันก็ต้องมีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดาอยู่แน่ ถ้าหาทางไปยังชั้นที่สองได้ง่ายๆมันก็คงจะไม่ใช่การแข่งขัน”

ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มและเอ่ยขึ้น เขาเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว มิติพิเศษนี้จะต้องยุ่งยากมาก กฎเกณฑ์ของงานชุมนุมวายุเมฆาก็เปลี่ยนแปลงไปเพราะมิติพิเศษนี้ซึ่งบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ามิตินี้จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษซ่อนไว้อย่างแน่นอน

“และจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดเข้าสู่ชั้นที่สองได้”

หลังจากใช้เวลาท่องอยู่ในมิติพิเศษนานเจ็ดวัน พวกเขาก็พบว่ามีเสียงดังขึ้นเพื่อรายงานคะแนนของผู้เข้าแข่งขันทุกคนในทุกๆวัน หากมีผู้ใดพบวัตถุดิบหายากและจับอสูรมายามาได้ก็จะมีเสียงดังประกาศขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดหาทางและเข้าสู่ชั้นที่สองได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่สิ้นเสียงของฉีอวิ๋นเหล่ย เสียงรายงานก็ดังขึ้น

“เรียนผู้เข้าแข่งขันทุกคน จูตี๋และกลุ่มของเขาค้นพบทางเข้าของชั้นที่สองและเข้าไปได้สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นคะแนนของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นตามระดับชั้น”

หลังจากเสียงประกาศสามรอบดังขึ้นมาติดต่อกัน ทุกคนก็รู้ได้ว่าจูตี๋และคณะได้เข้าสู่ชั้นที่สองของมิติพิเศษแล้ว

“คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะรวดเร็วขนาดนี้!”

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที ตอนที่ได้พบกันก่อนเริ่มการแข่งขัน จูตี๋ทำให้นางรู้สึกแปลกใจไม่น้อย บัดนี้การที่เขาพบทางเข้าชั้นที่สองได้อย่างรวดเร็ว หากไม่ใช่เพราะโชคช่วย เขาก็คงเตรียมการบางอย่างไว้แล้ว

แน่นอนว่าทั้งฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยก็ตั้งข้อสันนิษฐานว่าจูตี๋น่าจะเตรียมพร้อมมาล่วงหน้าแล้ว

“เราต้องเร่งมือแล้วล่ะ เราจะปล่อยให้จูตี๋และพวกคว้าอันดับต้นๆของงานนี้ไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่รู้ว่าสถานการณ์ในชั้นต่อไปจะเป็นอย่างไร หากพวกเขานำไปก่อนแล้วดักรอเพื่อจัดการกับพวกเรา มันจะเป็นปัญหาไม่น้อยเลย”

ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวด้วยความจริงจังก่อนที่ฉินอวี้โม่และซูเสี่ยวจวิ้นจะพยักศีรษะตอบรับเช่นกัน

หลังจากมุ่งหน้าต่อไปอีกพักใหญ่ สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะเปลี่ยนแปลงไป

“เห็นทีเราจะเดินทางต่อไปเช่นนี้ไม่ได้แล้ว เราต้องหยุดและไตร่ตรองให้ดีว่าจะหาทางเข้าชั้นที่สองโดยเร็วที่สุดอย่างไร”

ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวอย่างไม่ต้องการให้กลุ่มของตนเองเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้

หากว่าทั้งสามมุ่งหน้าไปผิดทางและยังคงเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมายที่แน่ชัด เกรงว่าคงอีกนานกว่าพวกเขาจะพบเส้นทางไปสู่ชั้นที่สอง

เมื่อตัดสินใจเช่นนั้น ทั้งสามก็หาที่เหมาะๆสำหรับหยุดพักและนั่งลงเพื่อไตร่ตรองหารือกันอย่างจริงจัง

เมื่อเข้ามาในมิติพิเศษแห่งนี้ มิติเชื่อมอสูรและคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่ก็ถูกปิดกั้นโดยพลังที่ล้ำลึกและอธิบายไม่ได้ ไม่เพียงแต่นางจะไม่สามารถเข้าไปในคฤหาสน์เท่านั้น ทว่านางก็ติดต่ออสูรมายาไม่ได้เช่นกัน

สถานการณ์ของฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นก็เป็นเช่นเดียวกัน มิติพิเศษแห่งนี้น่าจะมีพลังยับยั้งที่แกร่งกล้าบางอย่าง

“เฮ้ ข้านึกออกแล้ว”

ซูเสี่ยวจวิ้นลุกพรวดทันที เด็กสาวกล่าวพร้อมยิ้มกว้างราวกับคิดหาวิธีได้แล้ว

“ถ้างั้นก็ว่ามาเร็วเข้า อย่ามัวแต่ชักช้าอยู่”

เมื่อเห็นอากัปกิริยาของเด็กสาว ฉีอวิ๋นเหล่ยก็อดโยกศีรษะนางและกล่าวเร่งเร้าไม่ได้

“พี่อวี้โม่เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรไม่ใช่รึ? เหตุใดท่านไม่สยบอสูรและถามหาสถานที่ที่พิเศษในชั้นนี้ดูล่ะ? อสูรของที่นี่อาจจะรู้เบาะแสไปสู่ทางเข้าของชั้นที่สอง เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหามันอีก”

ซูเสี่ยวจวิ้นยิ้มและกล่าวความคิดของตนเองอย่างภาคภูมิใจ

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพร้อมกล่าว  “นี่เป็นวิธีที่ดีเลย หลังจากนี้เราจะตามหาอสูรมายาที่อยู่ใกล้ๆและข้าจะลองสยบมันดูสักตัว”

อสูรมายาในมิติชั้นนี้มีระดับต่ำและเดิมทีฉินอวี้โม่ไม่คิดจะสยบพวกมัน ทว่าหลังจากซูเสี่ยวจวิ้นเสนอแนวคิดนี้ขึ้นมา นางก็เห็นด้วยว่ามันเป็นวิธีที่ดีทีเดียว

หากวิธีนี้ได้ผล เมื่อข้ามผ่านไปยังแต่ละชั้น นางก็จะสยบอสูรไปเรื่อยๆเพื่อมุ่งหน้าตรงไปจนถึงชั้นที่เจ็ด

หลังจากพักผ่อนเพียงระยะสั้นๆ ฉินอวี้โม่และคณะก็ลุกขึ้นและเริ่มหาร่องรอยของอสูรมายา

ทว่าโชคชะตามักเล่นตลกอยู่เสมอ เมื่อต้องการหาอสูรมายาสักตัว พวกเขากลับหามันไม่พบแม้แต่ตัวเดียว

หลังจากตามหาในละแวกใกล้เคียงเป็นเวลานาน ทั้งสามก็ยังไม่พบอสูรมายาและอดไม่ได้ที่จะเริ่มรู้สึกหมดหนทาง

“ไปต่อกันเถอะ ดูเหมือนว่าเราจะต้องมุ่งหน้าลึกเข้าไปเรื่อยๆ”

ทั้งสามตัดสินใจว่าจะเดินต่อไปยังพื้นที่ข้างหน้าที่ยังไม่ได้เข้าไป

หลังจากเดินต่อไปอีกพักใหญ่ จู่ๆเสียงการต่อสู้ก็ดังขึ้นในหูของทั้งสาม

ทั้งสามสบตากันทันทีขณะมีความคิดที่ต้องการจะเข้าไปสังเกตการณ์เหมือนๆกัน จากนั้นพวกเขาก็เดินตรงไปในทิศทางของเสียงนั้นอย่างระแวดระวัง

ณ พื้นที่บริเวณหนึ่ง ชายฉกรรจ์เจ็ดถึงแปดคนกำลังรุมล้อมและโจมตีคนๆหนึ่ง

ผู้ที่ถูกล้อมไว้ตรงกลางนั้นดูเหมือนจะเป็นสตรีนางหนึ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางยุ่งเหยิงเลอะเทอะและลมหายใจก็ถี่ไม่เป็นจังหวะ เห็นได้ชัดว่านางคงจะต่อสู้มาพักใหญ่แล้ว

ฉินอวี้โม่และอีกสองคนเดินเข้าไปในบริเวณใกล้เคียงทว่าไม่พบที่สำหรับซ่อนตัว จากนั้นทั้งสามจึงเดินไปในจุดที่ไม่ไกลจากคนเหล่านั้นมากนักซึ่งเพียงพอที่จะมองเห็นเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจนและยืนมองจากตรงนั้น

จากจุดนี้ จอมยุทธ์ทั้งสามก็มองเห็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มชายฉกรรจ์และสตรีคนนั้นได้อย่างชัดเจน

ชายโฉดเหล่านั้นไม่มีลักษณะพิเศษใดๆและพลังของพวกเขาก็อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์โดยมีหนึ่งหรือสองคนอยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพ

อย่างไรก็ตาม ลักษณะรูปลักษณ์ของสตรีนางนั้นทำให้ทั้งสามตะลึงไปชั่วขณะ

อาภรณ์สีน้ำเงินตัดกับผิวขาว รูปโฉมงดงามและตรึงใจ ใบหน้าชวนลุ่มหลงเผยให้เห็นความเหนื่อยล้าอ่อนแรงเล็กน้อยจนผู้พบเห็นต้องรู้สึกกังวล

โฉมงามผู้มีผ้าไหมสีแดงสดในมือกำลังต่อสู้รับมือกับกลุ่มชายฉกรรจ์ได้อย่างไม่เสียเปรียบนัก ใบหน้าของนางฉายแววความทะนงตนและความไม่ยอมแพ้

กลุ่มผู้คนที่ล้อมรอบนางไว้ก็สังเกตเห็นฉินอวี้โม่และสหายทั้งสอง ทว่าเพียงแค่ชำเลืองมองอย่างไม่สนใจนัก เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่ทั้งสามไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาแทรกแซง พวกเขาจึงไม่แยแสและล้อมโจมตีสตรีผู้นี้ต่อไป

“พี่อวี้โม่ ดูเหมือนว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นจงอู๋หยาน—โฉมงามอันดับหนึ่งของดินแดน ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบนางมาหลายครั้งและนางก็มีสิ่งที่ข้าจำได้ดี นางมักวางท่าทียโสและไม่สนใจคนอื่นอยู่เสมอ ไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใดนางจึงถูกกลุ่มคนเหล่านี้ล้อมไว้ได้”

ซูเสี่ยวจวิ้นกระซิบกระซาบข้างหูพี่สาวเพื่ออธิบายตัวตนของสตรีชุดน้ำเงินผู้นั้น

ฉินอวี้โม่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของจงอู๋หยานมาก่อน

สตรีผู้มีรูปโฉมงดงามที่สุดในดินแดนอ้างว้าง พลังความแข็งแกร่งของนางถือว่ายอดเยี่ยมและนางก็อยู่ในทำเนียบรุ่นเยาว์เช่นกัน แม้ว่าพลังของตระกูลนางจะไม่แกร่งกล้ามากนัก มันก็ยังถือว่าเป็นขุมกำลังที่ไม่สามารถประมาทได้

อย่างไรก็ตาม ตระกูลของจงอู๋หยานตั้งอยู่ทางใต้ของดินแดนอ้างว้างและฉินอวี้โม่ไม่เคยเดินทางไปที่บริเวณนั้นมาก่อน นางจึงไม่รู้ข้อมูลใดมากนัก

ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่นึกสงสัยและอยากรู้ว่าสตรีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งของดินแดนอ้างว้างจะยอดเยี่ยมและงดงามเพียงใด

และเมื่อได้เห็นกับตาในวันนี้ ฉินอวี้โม่กลับรู้สึกเฉยๆ

ไม่ต้องกล่าวถึงฉินอวี้โม่เลย เพราะแม้แต่แม่นางฉุ่ยเยว่ก็ยังงดงามกว่าจงอู๋หยานผู้นี้มาก ถึงแม้ซูเสี่ยวจวิ้นและเสี่ยวเหยียนจะยังเยาว์วัย โครงหน้าของพวกนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจงอู๋หยาน หนำซ้ำยังดูน่ารักน่ามองกว่านางเสียด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายที่แผ่มาจากตัวของจงอู๋หยานก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบอารมณ์ได้ง่ายๆ ความยโสนี้มิใช่ความทะนงตนที่เฉยเมยและห่างเหิน หากแต่เป็นความโอหังที่ดูหมิ่นและเหยียดหยามคนอื่น

“เราจะช่วยนางรึไม่?”

เมื่อเห็นจงอู๋หยานที่เริ่มเสียเปรียบ การเคลื่อนไหวของนางก็เชื่องช้าลงและชายโฉดใจชั่วเหล่านั้นคิดจะฉวยโอกาสกินเต้าหู้ ซูเสี่ยวจวิ้นก็อดขมวดคิ้วและเอ่ยถามไม่ได้

*吃(了点)豆腐 กินเต้าหู้ ความหมายแสลงหมายถึงผู้ชายที่ลวนลามผู้หญิง

ถึงอย่างไรแล้วนางก็ยังเยาว์วัยมากและเคยประสบพบเจอกับเรื่องราวไม่มากนัก เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ นางจึงไม่สามารถใจเย็นได้อย่างฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ย

“ฮ่าๆๆ จงอู๋หยาน เจ้ายอมแพ้ซะเถอะ ก่อนหน้านี้ข้าก็แค่เย้าหยอก แต่เจ้าริอาจตบใบหน้าของข้า เจ้าคิดรึว่าที่นี่คือโลกภายนอกที่จะมีคนคอยติดตามและคุ้มครองเจ้า!”

ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยโสโอหังจนคนฟังรู้สึกไม่ดีนัก

จงอู๋หยานขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะชำเลืองมองกลุ่มสามคนของฉินอวี้โม่อย่างวางท่า จากนั้นนางก็หันกลับมาอย่างรวดเร็วโดยไม่มีท่าทีว่าจะขอความช่วยเหลือแต่อย่างใด

ศักดิ์ศรีและความทะนงตนของนางค้ำคอจนพูดไม่ออก

“ฝันไปเถอะ ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะไม่มีทางยอมแปดเปื้อนเพราะพวกเจ้า!”

จงอู๋หยานกล่าวด้วยน้ำเสียงหวานทว่าเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น

“ฮ่าๆๆ ข้าเป็นคนทะเยอทะยานอยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าโฉมงามอันดับหนึ่งของดินแดนจะมีบุคลิกนิสัยเช่นนี้ แต่ยิ่งขัดขืนเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งชอบเท่านั้น!”

เมื่อได้ยินคำพูดของจงอู๋หยาน อีกฝ่ายก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

เดิมทีฉินอวี้โม่ไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของคนเหล่านี้ ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของเขา นางก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมา

ในอดีต คุณหนูสี่เจ้าของร่างเดิมก็ถูกรังแกโดยกลุ่มชายฉกรรจ์ใจชั่วเช่นนี้ แม้ว่านักฆ่าสาวในร่างคุณหนูไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นและกลิ่นอายจากตัวของจงอู๋หยานทำให้นางไม่ชื่นชอบนัก

ทว่านางก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ ถึงอย่างไร บางครั้งบางครา มนุษย์ก็ต้องรู้รับผิดชอบชั่วดี

“กลุ่มชายฉกรรจ์ต้องการจะรังแกสตรีที่บอบบางคนหนึ่งรึ? ต่อให้นางจะไม่ใช่สตรีที่อ่อนแอ พวกเจ้าก็ไร้ยางอายจนเหลือทน!”

ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและลั่นวาจาหยามเกียรติคนเหล่านั้นอย่างไม่เกรงกลัว

ในขณะเดียวกันนั้น ร่างของนางพุ่งตรงไปปรากฏถัดจากจงอู๋หยานและมองกลุ่มคนตรงหน้าที่ชะงักค้างจากคำพูดของนางด้วยแววตาเยือกเย็น

เมื่อฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นเห็นการกระทำและได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย ทว่าทั้งสองก็เดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่และเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วเช่นกัน

.