“รายชื่อทั้งหมด?” ฟานเจี้ยนทราบดีถึงรายชื่ออันดับของเสาหิน แต่เขาไม่เข้าใจความหมายพิเศษที่ชูฮันพูดนี้?
ชูฮันเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ “การจัดอันดับพลังงานแบ่งออกเป็นหนึ่งถึงสิบด้วยขั้นตอนที่เท่ากัน มีเพียงแค่พรสวรรค์ที่ขึ้นถึงระยะ 5 ที่จะมีคุณสมบัติเข้าประลองในรายชื่ออันดับรวม ถึงแม้ในตอนนี้จะมีมนุษย์สายพันธุ์มากมายที่อยู่ในระยะ 5 ทว่าด้วยเหตุผลหลายประการ ไม่แน่ตอนนี้มันอาจจะมีหลายคนที่กำลังเข้าประลองอยู่ แต่มันมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถจารึกชื่อตัวเองทิ้งไว้ได้ และพวกคนที่เคยเข้าประลองไปนั่นก็รู้ข้อมูลเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น”
ตาของฟานเจี้ยนเป็นประกาย เขารอคอยให้ชูฮันพูดต่ออยู่เงียบๆ ความจริงแล้วฟานเจี้ยนได้เพิ่มความตื่นตัวที่มีต่อชูฮันขึ้นไปถึงอันดับสูงสุดแล้ว ชูฮันที่บอกว่าตัวเองเป็นแค่วิวัฒนาการระยะ 4 เท่านั้น ทว่าชูฮันกลับดูรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับรายชื่ออันดับรวมที่มีเพียงแค่คนที่ระยะ 5 ขึ้นไปและเคยเข้าไปประลองถึงจะมีสิทธิรู้ได้
แน่นอนว่าชูฮันมองเห็นถึงการป้องกันภัยและความระแวงในแววตาของฟานเจี้ยน ที่จริงฟานเจี้ยนไม่ว่าฟานเจี้ยนจะคิดอะไรอยู่ในใจชูฮันก็ไม่สนใจทั้งนั้น เพราะเขามั่นใจและรู้ดีว่ายังไงฟานเจี้ยนก็จะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเขา ในอดีตฟานเจี้ยนไม่เคยเปลี่ยนไปและตอนนี้มันก็จะเป็นแบบนั้นต่อไป
เพราะความเชื่อของฟานเจี้ยนคือ :ถ้าไม่มีใครทำร้ายฉัน ฉันก็จะไม่ทำร้ายใคร และคนที่ไม่ทำร้ายฉันก็คือเพื่อนฉัน
“ไอ้รายชื่ออันดับรวมนี่มันมีอะไรพิเศษหนักหนา” ฟานเจี้ยนถามหลังจากเงียบไปนาน
ชูฮันยิ้มและชูนิ้วขึ้นมา “หนึ่ง มันไม่ใช่แค่การเข้าไปเพื่อทำการประลองคนเดียว มันสามารถรวมทีมได้”
“อะไรน่ะ?” แม้แต่ฟานเจี้ยนที่เป็นคนอารมณ์ดีอยู่เสมอและไม่สนใจอะไร ยังตกใจอย่างมากกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี้
“แต่ข้างในนั้นทุกอย่างมันเป็นโลกเสมือนจริง แม้จะเป็นการทำงานเป็นทีม แต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับขีดจำกัดของแต่ละคนเองด้วย” ชูฮันอธิบาย
ฟานเจี้ยนตกใจ การอนุญาตให้เข้าไปทำการทดสอบแบบทีมได้ ถือเป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่ของเสาหินเลย ฟานเจี้ยนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แต่นี่มันหมายความว่ายังไง? เหมือนอนุโลมให้เราได้ทำการประลองที่ครอบคลุมและง่ายขึ้น?”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน” นัยน์ตาของชูฮันประกายวาวขณะกำลังคำนวนบางอย่างอยู่ “มันมีรางวัลตอบแทน”
อึก!
ฟานเจี้ยนกลืนน้ำลายอึก กัดริมฝีปาก เขายอมรับเลยว่าสิ่งที่ชูฮันพูดในวันนี้ได้พลิกมุมมองของเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลย เขาเคยคิดว่าเสาหินเป็นสถานที่ที่ไม่มีความจำเป็น แต่พอเขาได้ยินสิ่งที่น่าสนใจอย่างนี้ ทุกอย่างมันจึงแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง!
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นสภาแวดล้อมเสมือนจริงจนเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทำไมมันยังมีรางวัลอีก? แล้วรางวัลจะเป็นอะไรกัน? เสาหินประเมิณนั้นเป็นสิ่งที่เกินขีดจำกัดการรับรู้ของมนุษย์ สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากมันจะสามารถสร้างหายนะที่นองเลือดแก่โลกนี้ได้มั้ย?
สำหรับความไม่เข้าใจและความสงสัยของฟานเจี้ยนนั้น แน่นอนว่าชูฮันคาดเดาไว้แล้ว แต่เขาก็ไม่คิดจะบอกฟานเจี้ยนทุกอย่างที่เขารู้หมด จากนั้นก็ก็ยื่นนิ้วที่สองขึ้นมาเงียบๆ “จุดพิเศษที่สองก็คือ รายชื่อพลังความแข็งแกร่งทั้งหมดสามารถปิดบังชื่อที่แท้จริงได้ แต่แค่หลังจากตอนที่เข้าไปในสนามประลองแล้วเท่านั้น เสาหินจะไม่จำชื่อของคนที่เข้าไปประลองไว้ ไม่ว่าอันดับของคนที่ประลองจะเป็นไปยังไง จะไม่มีใครรู้ข้อมูลส่วนตัวของคนคนนั้น”
ฟานเจี้ยนเกิดความสงสัยขึ้นอีกครั้ง มันใช้เวลานานกว่าฟานเจี้ยนจะเข้าใจความหมายของคำพูดชูฮัน “เหตุผลที่แกบอกให้ฉันเข้าร่วมการประเมิณนี้ก็เพราะอย่างนี้? ให้ฉันใช้นามแฝง?”
“ใช่แล้ว” ชูฮันยิ้มกว้าง “โอกาสนี้มันดีแค่ไหนล่ะ ไม่มีใครรู้ถึงตัวตนของแก และพอแกปรากฏตัวขึ้นแกก็สามารถใช้รหัสแฝงแทนชื่อตัวเองได้ ในอนาคตถึงต่อให้มีคนสงสัยเกี่ยวกับผู้ก่อตั้งของสมาคมนักล่า แต่ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเป็นแกที่ซ่อนตัวตนเอาไว้”
ฟานเจี้ยนกำลังคร่ำครวญถึงความคิดนี้อยู่ หากเขาก็ยังสงสัย “แล้วมันจะเป็นประโยชน์ยังไง? แกก็น่าจะรู้ว่ายังไงก็ไม่มีใครรู้จักฉันอยู่ดี”
ชูฮันเหลือบมอง “แกแน่ใจว่าอยากจะใช้ชื่อจริงแทนนามแฝง? แกอยากจะให้ทุกคนในจีนรู้ตัวตนที่แท้จริงของผู้ก่อตั้งเหรอ?”
“อะไรน่ะ?” ฟานเจี้ยนงุนงงและพูดอะไรไม่ออก
ชูฮันยิ้มกว้าง เขารู้ดีว่าตอนนี้ฟานเจี้ยนกำลังโดนเขาเกลี้ยกล่อมอยู่และกำลังสับสน ตอนนี้เขาแค่จะต้องดึงฟานเจี้ยนให้ทำตามแผนที่เขาวางไว้ให้ได้
ที่จริง เรื่องระบบการไม่ต้องใช้ชื่อจริงในการเข้าประลองรายชื่ออันดับรวมนั้นเป็นความลับที่เขาค้นพบได้ก็เพราะฟานเจี้ยนนั่นเอง ตลอดสองปีที่ผ่านมาในโลกาวินาศ ทุกคนไม่มีใครรู้จักตัวตนของฟานเจี้ยนเลย ฟานเจี้ยนจึงเริ่มเกิดความคิดนี้ขึ้นมา และมันก็เป็นสาเหตุที่ฟานเจี้ยนปฏิเสธที่จะบอกชื่อจริงของเขาให้กับใคร
ฟานเจี้ยน
ส่วนสำหรับนามแฝงของฟานเจี้ยนที่โด่งดังไปทั่วโลกในชาติที่แล้ว มันเป็นชื่อของราชานักล่า
หลังจากความเงียบอันยาวนาน ฟานเจี้ยนที่ได้ประมงวลข้อมูลทุกอย่างในหัวเรียบร้อยก็พูดขึ้น “นี่มันเป็นแค่ขั้นตอนแรกใช่มั้ย?”
“ส่วนขั้นตอนที่สองนั้นง่ายมาก แต่มันเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด” ชูฮันบิดปาก “ขโมย”
“ขโมย?” ฟานเจี้ยนตกใจ “เดี๋ยวนะ ขโมย?”
“ใข่ ฉันจำได้ว่ามันมีฐานการซื้อขายออนไลน์ขนาดใหญ่เรียกว่าขุมทรัพย์ในยุคศิวิไลซ์ เพื่อที่จะพัฒนาความเป็นหนึ่งและเปิดเผย มันมีการรวบรวมพฤติกรรมของคนจำนวนมากขนาใหญ่ในอินเตอร์เน็ตที่เราสามารถนำมาใช้ได้” ชูฮันพูด และหยิบปึกกระดาษที่เขาเตรียมมาในกระเป๋าออกมา
ฟานเจี้ยนยืนตะลึง ความคิดในหัวของชูฮันนี้มันเกินคำบรรยาย ไม่ต่างอะไรกับพระเจ้า
และตอนนี้ชูฮันก็วางกระดาษลงในมือของฟานเจี้ยนอย่างรวดเร็วด้วยความมั่นใจ “ฉันได้เขียนรายการไว้ให้แกแล้ว โดยรวมการขยายอาณาเขตของเมืองอันลูแล้ว แกไปที่ค่ายต่างๆแล้วผู้นำของค่ายพวกนี้จะมอบภารกิจให้แกเอง จัดการภารกิจให้เสร็จ ส่วนวิธีจะทำภารกิจให้สำเร็จได้ยังไงฉันเขียนรายการไว้แล้วข้างล่าง…”
จังหวะนี้ ฟานเจี้ยนที่พึ่งได้สติกลับคืนมาก็กระพริบตาและจ้องเขม็งไปที่ลายชื่อมากมายในกระดาษ เขารู้สึกช็อค “นี้มันมีมากขนาดไหนกัน?”
“หนึ่งร้อย ตามการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์ เรียงลำดับจากง่ายไปยาก” ชูฮันพูดเหมือนง่าย ฟานเจี้ยนที่ได้ยินรู้สึกกลัวขึ้นมา “เมืองอันลูเป็นที่แรก แกเร่งความเร็วขึ้นหน่อย หลังจากทำภารกิจสำเร็จ 10 ภารกิจ เวลามันก็น่าจะอยู่ที่หนึ่งเดือนอย่างพอดิบพอดี ตอนนั้นเราจะไปเจอกันที่เมืองหนานตู้ ฉันจะมีภารกิจหลักให้ ซึ่งเราสามารถเพิ่มภารกิจลับเข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มมูลค่าของแกได้ทุกเมื่อ”
“เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน!” ฟานเจี้ยนรีบห้ามชูฮันขึ้นมาก่อน เขามองไปที่ชูฮันราวกับเห็นผี “แกรู้ได้ยังไงว่ามันมีภารกิจอะไรบ้างที่คนพวกนี้ต้องการ? และแกรู้จักคนพวกนี้หมดเลย? ฉันไม่ได้ต้องสนแค่การทำภารกิจ แต่ยังต้องคำนึงถึงวิธีการในการไขภารกิจอีก แล้วรางวัลที่จะได้ล่ะ?”
“เฮ้ เฮ้ แกไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ นอกเหนือจากมีคนจ่ายเงินให้แกพูด” แน่นอนว่าชูฮันไม่มีทางบอกข้อมูลทั้งหมดให้แก่ฟานเจี้ยน เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องอย่างฉลาดๆ “แกต้องจำไว้ว่าอัตราการสำเร็จของภารกิจนั้นคือ 100% ความน่าเชื่อถือที่จะต้องสร้างขึ้นมา และการยกระดับความยากของภารกิจที่ได้รับ เพื่อเป็นการเพิ่มราคาแรกเริ่มให้สูงด้วยชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือที่เราจะต้องสร้างให้ทุกคนเห็น และเมื่อเป็นเช่นนั้นเหล่านักล่าจากทั่วทุกที่ก็จะรู้จักแก”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?” ฟานเจี้ยนเริ่มนึกถึงขั้นตอนที่สามของชูฮัน