ตอนที่ 567 ยิงธนู
อันหลิงเกอนำธนูคันนั้นมาเล่นอย่างสนุกมือ หลังมองมันได้ครู่หนึ่งก็รู้สึกชอบกว่าเดิม
“จวินฮาน ข้าอยากเรียนตอนนี้เลย…” ตอนนี้อันหลิงเกอไร้อารมณ์ทานอันใดอีกแล้ว นางจ้องเขาอย่างกระตือรือร้น
เมื่อมู่จวินฮานเห็นเยี่ยงนั้น รอยยิ้มในแววตาก็เด่นชัดกว่าเดิม เขาออกแรงดึงแขนเสื้อนางเบา ๆ
“ได้ แต่เจ้าต้องจำไว้อย่าให้เหนื่อยเกินไป”
“ท่านวางใจได้เจ้าค่ะ” ดวงตาทั้งสองข้างของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยความมั่นใจ “จะมีอันใดที่ข้าเรียนมิได้บ้าง ? ”
มู่จวินฮานอดหัวเราะออกมามิได้ ต่อจากนั้นก็มิได้กล่าวอันใดอีกเพียงปล่อยตัวไปตามแรงดึงของอันหลิงเกอเท่านั้น
หลังจากเรียนได้ครู่หนึ่ง ความกระตือรือร้นอยากลองของใหม่ในตอนแรกก็จางหายไปอย่างสิ้นเชิงเพราะตอนนี้อันหลิงเกอรู้สึกปวดแขนทั้งสองข้างมากจนไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนขึ้นมา
ทำให้นางมิอยากขยับร่างกายอีกแล้ว
ในเวลาปกตินางก็มักฝึกศิลปะการต่อสู้อยู่เหมือนกัน แต่มิเคยยิงธนูล่าสัตว์มาก่อน
ตอนนี้ได้ลองแล้งจึงพบว่าศิลปะการต่อสู้ที่ฝึกอยู่ประจำเป็นเพียงทักษะพื้นฐานอันน้อยนิดเท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของนางแล้ว มู่จวินฮานก็ใจอ่อนพอสมควร เขาจึงเข้าไปอุ้มตัวอันหลิงเกอกลับห้อง
การกระทำเยี่ยงนี้ทำให้ใบหน้าของอันหลิงเกอแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นนางก็เอาหน้าซบอกเขาและมิกล่าวอันใดออกมาอีก
หลังจากนั้นมู่จวินฮานก็วางนางบนเตียงอย่างเบามือ การกระทำเยี่ยงนี้ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกประหม่าขึ้นมาจึงรีบเบือนหน้าหนีแล้วหลับตาพลางกล่าวว่า “ท่านช่วยเรียกปี้จูมานวดแขนให้ข้าหน่อยเจ้าค่ะ”
มิได้ปฏิเสธหากทั้งสองจะใกล้ชิดกัน ทว่านางห่างหายจากเรื่องนี้ไปนานจึงทำให้เริ่มรู้สึกอายขึ้นมา
“มิต้องหรอก ข้านวดให้เจ้าเอง” หลังกล่าวจบ มู่จวินฮานก็เลิกแขนเสื้อนางขึ้นและเริ่มนวดเบา ๆ
น้ำหนักมือของเขาพอดีทำให้อันหลิงเกอรู้สึกเพลิดเพลินกับความสบายนี้
กลางดึกของคืนนั้นเอง
อันหลิงเกอตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกว่ามือทั้งเจ็บและอ่อนแรง นางจึงหันไปมองมู่จวินฮานด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “ข้าเจ็บมือเจ้าค่ะ”
หลังได้ยินเยี่ยงนั้นแล้วมู่จวินฮานก็มองมือนางและรู้สึกเอ็นดู จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งแล้วเอื้อมมือไปนวดให้
“ฟู่” อันหลิงเกอสูดหายใจเข้าลึก นางเลิกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นแขนเรียวสวยซึ่งผิวขาวเนียนยิ่งกว่าสิ่งใด ไร้รอยตำหนิแม้แต่น้อย
“ต้องยืดกล้ามเนื้อหน่อย ประเดี๋ยวข้าจะให้หมอในจวนเอาสุราสมุนไพรมาให้เจ้าดื่ม”
หลังจากนั้นมินาน เสียงของเขาก็ดังขึ้นอีก
“เอามือเจ้ามา ข้าจะนวดให้” มู่จวินฮานเปิดขวดสุราสมุนไพร ทันใดนั้นกลิ่นหอมของมันก็กระจายไปทั่วห้อง เมื่ออันหลิงเกอเห็นเยี่ยงนั้นก็เผยสีหน้ามึนเมาพร้อมแก้มสีแดงระเรื่อ
“เป็นเจ้าเองมิใช่หรือที่ขอให้ข้าสอนยิงธนูล่าสัตว์ ตอนนี้รู้แล้วสิว่ามันทรมานเพียงใด” เขาเห็นอันหลิงเกอทำหน้าเจ็บปวดจึงพูดประชดนาง
“ท่านพูดอันใด ? ” อันหลิงเกอมุ่ยปากด้วยความมิพอใจ “ข้าเพิ่งเริ่มเรียน ไร้ประสบการณ์อันใดมาก่อน จะทรมานเยี่ยงนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ! ”
แต่ไหนแต่ไรมาอันหลิงเกอก็ต่างจากสตรีทั่วไปและสามารถทนต่อความยากลำบากได้
“เจ้าเถียงอยู่นี่ต่อไปเถิด ดูเจ้าตอนนี้สิ ท่าทางราวกับจะฆ่าแกงผู้อื่น”
หลังจากนั้นมู่จวินฮานก็เพิ่มแรงนวดบนมือ แต่อึดใจต่อมาก็มีเสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้นข้างหู ต่อจากนั้นแผ่นหลังเขาก็โดนนางทุบไปหนึ่งที
“สิ่งใดเรียกว่าจะฆ่าแกงผู้อื่น ท่านต่างหากที่จะฆ่าผู้อื่น ! ” อันหลิงเกอมองเขาด้วยความมิพอใจ คำพูดยังแฝงไปด้วยความหงุดหงิด
“ดี” มู่จวินฮานถอนมือจากสุราสมุนไพรแล้วกดมือทั้งสองข้างของนางไว้บนหัวเตียง จากนั้นก็ก้มลงจุมพิตนางทันที
ริมฝีปากของมู่จวินฮานนุ่มและหวานมากราวกับน้ำผึ้งมิมีผิด เขาเคลื่อนไหวช้า ๆ ค่อยดูดกลืนความอบอุ่นจากริมฝีปากนาง
อันหลิงเกอตกตะลึงและรีบลืมตาขึ้น ขณะมองคนตรงหน้าก็เห็นแววตาของเขากำลังจมลึกและปกคลุมด้วยแสงมืดมนทำให้นางอดหันหน้าหนีมิได้
“อันหลิงเกอ ให้ข้าเดี๋ยวนี้เถิด” หลังถอนริมฝีปากออกมา ลมหายใจร้อนผ่าวก็พัดผ่านข้างหูนาง
“จวินฮาน ไม่เอาเจ้าค่ะ” ความรู้สึกที่ข้างหูทำให้นางต้องกำมือแน่น เท้าก็บิดไปมา “ข้ายังไม่พร้อม”
น้ำเสียงของอันหลิงเกอแฝงไปด้วยความสั่นสะท้านและความไม่สบายใจพอสมควรจนสามารถได้ยินความต่อต้านเบา ๆ
“เกอเอ๋อ…” ทันใดนั้นเสียงของมู่จวินฮานก็นุ่มลึกอย่างรวดเร็ว ด้านในแฝงไปด้วยความต้องการและความอดกลั้น
แต่พอนางนึกถึงมู่เหล่าหวางเฟย…
อันหลิงเกอตัวสั่นสะท้าน ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ ปล่อยร่างกายตามสบาย หลังรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของนาง มู่จวินฮานก็ยกริมฝีปากขึ้นแล้วลงประกบริมฝีปากนางอีกครั้ง มือใหญ่ก็เคลื่อนไปดึงม่านให้ปิดลง
เช้าวันรุ่งขึ้น
อันหลิงเกอรู้สึกเหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง นางเอื้อมมือไปนวดเอวเพราะตรงนั้นปวดเสียยิ่งกว่ามือที่เรียนธนูอีก
“มู่จวินฮาน ! ” หลังนึกถึงชื่อนี้แล้วนางก็รู้สึกว่ามีลมอัดแน่นอยู่ในหน้าอก พูดมิออกว่านางแค้นเพียงใด
ทว่าอันหลิงเกอก็ได้แต่หลับตาลงอย่างช่วยมิได้ ในขณะที่กำลังจะหลับไปอีกครั้ง ปี้จูก็ผลักประตูเข้ามาและคนที่ตามมาก็คือซูเอ๋อ
“พระชายาเจ้าคะ”
ช่วงหลายวันมานี้ที่โรงละครใหญ่ในเมืองหลวงมีละครน่าสนุกหลายเรื่องออกแสดง ทำให้ซูเอ๋อที่ได้ยินข่าวแล้วจึงรีบเดินทางมาหาอันหลิงเกอด้วยความตื่นเต้น ปี้จูบอกว่าอีกฝ่ายยังอยู่บนเตียง ตอนแรกนางมิเชื่อแต่ตอนนี้…
“ตื่นได้แล้ว ! ” ขณะกล่าวนางก็อยากดึงตัวอันหลิงเกอให้ลุกขึ้น
“ซูเอ๋อ เจ้าอย่าทรมานข้าเลย ตอนนี้ข้ารู้สึกมิสบายไปทั้งตัวจึงอยากพักสักหน่อย”
อย่าเอ่ยถึงละครน่าสนุกอันใดเลย เวลานี้แม้แต่เปลือกตาอันหลิงเกอก็ยังรู้สึกเหมือนจะใช้แรงทั้งหมดมายก
ซูเอ๋อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางเหนื่อยล้าจึงกล่าวด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอันใดไป เมื่อคืนนอนมิค่อยหลับหรือไปรับลมหนาวแล้วป่วย ? ”
ขณะเอ่ยก็ยื่นมือมาแตะหน้าผากสหาย
“มิได้เป็นไร” อันหลิงเกอขยับร่างกายด้วยความเขินอาย ไม่มีทางกล่าวเรื่องเยี่ยงนั้นให้ฟังอยู่แล้ว ดังนั้นจึงได้แต่ฝืนลุกขึ้นนั่ง
“เพราะเมื่อคืนมิค่อยได้นอน แต่ข้ามิได้เป็นอันใดมาก แค่นอนพักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”
อันหลิงเกอพยายามทำให้ตนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย จากนั้นก็ใช้มือประคองเอวไว้อย่างระมัดระวัง
“เจ้าอย่าฝืนไปเลย” หลังกล่าวจบ ซูเอ๋อก็ย่อตัวนั่งลงขอบเตียงพร้อมสีหน้าที่ดูกังวลกว่าเดิม “หลิงเกอ ร่างกายเป็นของตนเอง ถ้าเจ้ารู้สึกมิสบายจริง ๆ ก็ต้องให้หมอมาดูอาการ”
“ข้ามิเป็นไรจริง ๆ อีกอย่างข้าเองก็เป็นหมอมิใช่หรือไร ? ” นางเห็นสีหน้าซูเอ๋อผิดแปลกไปกว่าเดิมจึงกลัวจะวู่วามจนไปเรียกหมอมาให้จริง
“มิต้องพูดแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะไปเรียกหมอมาให้เจ้า” ซูเอ๋อลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป ด้านปี้จูเห็นเจ้านายพยายามห้ามมิให้ซูเอ๋อเรียกหมอเข้ามาตรวจ นางก็อดหัวเราะออกมามิได้ พระชายาน่ารักเสียจริง เหตุใดจึงมิบอกความจริงกับฮูหยินซูเอ๋อไปตามตรง ?