ตอนที่ 149 มื้ออาหารในวันสิ้นปี

ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ

เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นเธอยังไม่ขยับตัว ความคิดไม่ดีก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง “โจวโจว คุณไม่สบายหรือเปล่า ผมช่วยอาบให้ก็แล้วกันนะ!” แล้วเขาก็ถือวิสาสะเอาเปรียบเล็กน้อย 

 

 

มือของลั่วเซ่าเชินถูกปัดออกทันทีที่แตะลงบนเสื้อผ้าของถังโจวโจว “คุณจะทำอะไรน่ะ!” 

 

 

           ถังโจวโจวจ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง ผู้ชายคนนี้นี่จริงๆ เลย… ถังโจวโจวไม่รู้ว่าจะต่อว่าเขายังไงดี เผลอนิดเดียวก็ออกลายอีกแล้ว 

 

 

“โจวโจว ผมแค่จะช่วยคุณอาบน้ำเอง! ถ้าคุณไม่โอเคก็ไม่เป็นไร อย่าให้เท้าโดนน้ำล่ะ ผมจะออกไปก่อน” เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวจับทางเขาได้แล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ได้แต่เดินลูบจมูกออกไปข้างนอก 

 

 

หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินออกไปแล้ว ถังโจวโจวก็ลุกขึ้นสำรวจประตูห้องน้ำอีกครั้ง และเมื่อเห็นว่ามันปิดสนิทดีแล้ว เธอก็สบายใจขึ้น เธอถอดเสื้อผ้าและนั่งลงในอ่างอาบน้ำ โดยที่ไม่ลืมคำเตือนของลั่วเซ่าเชิน เธอยกเท้าข้างที่เจ็บขึ้นสูงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มันโดนน้ำ 

 

 

ในวันที่สามสิบของปี ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ วันนี้พวกเขาต้องกลับไปร่วมมื้ออาหารที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว เธอเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ลั่วอิงเคยเล่าให้ถังโจวโจวฟังว่าคุณแม่ลั่วมีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เธอไม่อยู่ เป็นที่แน่ชัดว่าถ้าคุณแม่ลั่วเจอเธอในวันนี้ ก็จะอารมณ์เสียมากๆ ก็เป็นได้ 

 

 

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอสามารถควบคุมได้ ที่ผ่านมาผลลัพธ์ที่ถังโจวโจวได้จากการนั่งเงียบๆ ก็คือ เธอสามารถเคารพและให้เกียรติคุณแม่ลั่วได้ แต่เธอไม่อาจทนฟังคำพูดเหน็บแนมของคุณแม่ลั่วได้อีก ถึงอย่างไรตุ๊กตาดินเผาก็มีหัวจิตหัวใจเหมือนกัน 

 

 

เมื่อก่อนเป็นเพราะเธอเห็นแก่หน้าของลั่วเซ่าเชิน ถ้าจะพูดให้ละเอียดกว่านี้อีกก็คือ แม้ว่าที่ผ่านมาคุณแม่ลั่วจะปากร้ายไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไรกับเธอ ดังนั้นถังโจวโจวจึงพยายามเข้าใจมาตลอดว่าแม่ทุกคนย่อมไม่อยากให้ลูกชายของเธอจากไปไหน 

 

 

แต่นี่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่คุณแม่ลั่วจะยกมาต่อว่าเธอได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถังโจวโจวตัดสินใจแล้วว่า ถ้าคุณแม่ลั่วพูดอะไรไม่เข้าหูอีก เธอจะทำเป็นหูทวนลมก่อน ให้เป็นเพียงคำพูดที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปเท่านั้น แต่ถ้าเธอทนไม่ไหวจริงๆ ถังโจวโจวก็จะตอกกลับไปอย่างไม่เคารพ 

 

 

พวกเขาทั้งสามคนขึ้นมานั่งบนรถที่บรรทุกของไว้เต็มด้านหลังเรียบร้อยแล้ว จากนั้นพวกเขาก็รีบตรงไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว ทางด้านของคฤหาสน์ตระกูลลั่ว แม่นมจ้าวกำลังง่วนอยู่ในครัว ส่วนคุณแม่และคุณพ่อลั่วก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น คุณแม่ลั่วเกิดอาการหมั่นไส้ เมื่อเห็นคุณพ่อลั่วนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยท่าทางสบายๆ 

 

 

เธอใช้มือปัดหนังสือพิมพ์และเอ่ยปากบ่นว่า “คุณยังมีอารมณ์มานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่อีก นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมพวกอาเชินถึงยังไม่มา” เธอพูดพลางหันหน้าไปมองที่ประตูบ้าน และเมื่อเธอยังไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ เธอก็หันหน้ากลับมาด้วยความเศร้าใจ 

 

 

คุณพ่อลั่วไม่เข้าใจความใจร้อนของเธอเลย “คุณทำอะไรของคุณ ถ้าคุณร้อนใจมากนัก คุณก็โทรไปถามพวกเขาสิ จะมารบกวนผมตอนผมอ่านหนังสือพิมพ์ทำไม” ผู้หญิงนี่ช่างไร้ซึ่งเหตุผลเสียจริง 

 

 

คุณพ่อลั่วย้ายไปนั่งอีกฝั่งหนึ่ง เหลือเพียงคุณแม่ลั่วคนเดียวที่ยังนั่งกังวลใจอยู่ตรงนั้น เธอแค่คิดถึงลั่วเซ่าเชินและลั่วอิง นี่มันใกล้จะถึงเวลาอาหารแล้ว แต่จนป่านนี้เธอยังไม่เห็นพวกเขาเลย เธอจึงเป็นกังวล ตาแก่นั่นก็จริงๆ เลย ไม่เป็นห่วงลูกเลยสักนิด! 

 

 

แต่เมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าเธอจะต้องเจอหน้าถังโจวโจวด้วย คุณแม่ลั่วก็รู้สึกขัดใจ คุณแม่ลั่วยังรู้สึกโกรธเคืองที่ถังโจวโจวไม่สามารถรักษาหลานชายของตระกูลลั่วเอาไว้ได้ คุณแม่ลั่วยังโทษถังโจวโจวอยู่จนถึงทุกวันนี้ และพอเธอได้ข่าวว่าถังโจวโจวหนีออกจากบ้านไปเมื่อไม่นานมานี้ คุณแม่ลั่วก็อยากจะปรบมือดีใจให้ดังก้องไปทั่วบ้าน 

 

 

แต่น่าเสียดายที่เธอดีใจอยู่ได้ไม่นาน ถังโจวโจวก็กลับมา แล้วถังโจวโจวก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมเธอด้วย เธอคิดว่าตั้งแต่ถังโจวโจวกลับมา ความเคยชินที่ว่าพวกเขาจะแวะกลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลลั่วทุกวันหยุดสุดสัปดาห์มันก็เปลี่ยนไป คุณแม่ลั่วรู้สึกโกรธเคืองมากขึ้นและตำหนิว่ามันเป็นความผิดของถังโจวโจวทั้งหมด 

 

 

ด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองใจเช่นนี้ คุณแม่ลั่วก็ยังคงรอคอยการมาถึงของพวกเขาอยู่ ภายใต้ความเงียบที่ยาวนาน ในที่สุดคุณแม่ลั่วก็ได้ยินเสียงรถยนต์ดังมาจากด้านนอก เธอหายตัวไปจากสายตาของคุณพ่อลั่วทันที แล้วเมื่อเธอออกไปดู เธอก็พบว่าพวกเขามาแล้ว! 

 

 

“คุณย่าคิดถึงลั่วอิงจังเลย” คุณแม่ลั่วคว้าตัวลั่วอิงมากอดเป็นอันดับแรก หลังจากนั้น เธอก็จับตัวลั่วอิงหมุนซ้ายหมุนขวาและกวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอกุมใบหน้าของหลานสาวและพูดว่า “ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน หลานรักของย่าผอมลงไปอีกแล้ว!” 

 

 

ในขณะที่พูดประโยคนั้น คุณแม่ลั่วก็ปรายตามองไปที่ถังโจวโจว แน่นอนว่าถังโจวโจวก็เข้าใจในสิ่งที่แววตาคู่นั้นกำลังจะสื่อ คุณแม่ลั่วกำลังตำหนิเธอว่าเธอดูแลลั่วอิงได้ไม่ดี! ในเมื่อคุณแม่ลั่วไม่พูด ถังโจวโจวก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เมื่อเธอเห็นว่าคุณแม่ลั่วมองมา เธอก็เพียงยิ้มให้เล็กน้อย 

 

 

“คุณแม่คะ ช่วงนี้เซ่าเชินค่อนข้างยุ่ง เราก็เลยไม่ได้มาเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่ ต้องขอโทษด้วยนะคะ” ถังโจวโจวก้าวออกมาด้านหน้าและเอ่ยเรียกคุณแม่ลั่วตามปกติ 

 

 

คุณแม่ลั่วเห็นว่า ทันทีที่พวกเขามาถึง ถังโจวโจวก็เอ่ยปัดความรับผิดชอบเกี่ยวกับที่ไม่ได้มาคฤหาสน์ตระกูลลั่วไปให้ลั่วเซ่าเชิน น่าเสียดายที่ถังโจวโจวไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรกับเธอ ซ้ำยังพูดเรื่องนี้กับเธอก่อนด้วย คุณแม่ลั่วจึงไม่สามารถกล่าวโทษอะไรได้อีก 

 

 

“แม่ครับ ข้างนอกมันหนาว เราเข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ” ลั่วเซ่าเชินรู้ว่าคุณแม่ลั่วกับถังโจวโจวไม่ลงรอยกัน เขาจึงทำได้แค่เพียงตัดบทของพวกเธอสองคน มีอะไรค่อยเข้าไปคุยกันต่อข้างใน มิเช่นนั้น ลั่วเซ่าเชินกลัวว่าคุณแม่ลั่วจะโกรธจะไม่ให้ถังโจวโจวเข้าบ้าน 

 

 

“คุณย่าขา เราเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ หนูหนาวมากเลย!” ลั่วอิงเองก็เขย่ามือของคุณแม่ลั่ว พลางพูดอย่างออดอ้อน 

 

 

คุณแม่ลั่วที่มีสีหน้าตึงเครียดได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “จ้ะ ในเมื่อหนูหนาว เราก็รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ” 

 

 

ภายในบ้าน เมื่อคุณพ่อลั่วเห็นว่าพวกเขามากันแล้วก็วางหนังสือพิมพ์ลง 

 

 

“คุณพ่อคะ พวกเรามาแล้ว” ถังโจวโจวพูดด้วยความเคารพและนอบน้อม 

 

 

“คุณปู่ขา คุณปู่คิดถึงหนูไหมคะ ลั่วอิงคิดถึงคุณปู่มากๆ เลยค่ะ!” ลั่วอิงโถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของคุณพ่อลั่วและส่งเสียงออดอ้อนอย่างน่ารัก 

 

 

“พ่อครับ” ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ลั่วเซ่าเชินกับคุณพ่อลั่วขัดแย้งกันอยู่หลายอย่าง โดยปกติแล้วเขามักจะทักคุณพ่อลั่วแค่คำเดียว นอกเหนือจากนี้เขาก็ไม่เคยคุยอะไรอย่างอื่นกับคุณพ่อลั่วอีก ซึ่งคุณพ่อลั่วเองก็เป็นคนที่เคร่งขรึมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาไม่มีทางเป็นฝ่ายเริ่มคุยกับลั่วเซ่าเชินก่อนแน่นอน ยกเว้นเรื่องในครอบครัวและในบริษัท 

 

 

แม่นมจ้าวเห็นว่าพวกเขามากันแล้ว เธอก็รีบยกผลไม้ออกมาเสิร์ฟให้ทันที เธอลูบศีรษะเล็กๆ ของลั่วอิง และบ่นกับลั่วเซ่าเชินเล็กน้อยว่า “คุณชายหายหน้าไปนานเลยนะคะ พวกคุณไม่ได้กลับมาเยี่ยมคุณท่านกับคุณนายเลย คุณนายคิดถึงพวกคุณมากนะคะ” 

 

 

เมื่อคุณแม่ลั่วได้ยินแม่นมจ้าวช่วยเธอพูด ความน้อยใจของเธอก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้น พอเธอคิดว่าที่ลั่วเซ่าเชินไม่ได้กลับบ้านเลยเป็นเพราะถังโจวโจว เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าลูกชายของเธอนั้นได้เมียแล้วลืมแม่ 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเองก็รู้ว่าคุณแม่ลั่วคิดอย่างไร ตั้งแต่พี่ใหญ่ของเขาจากไป คุณแม่ก็ทุ่มความสนใจทั้งหมดมาที่เขา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ยอมทำในสิ่งที่คุณแม่อยากให้ทำ เมื่อก่อนเขายังพอเกลี้ยกล่อมคุณแม่ได้บ้าง โดยให้คุณแม่ไม่ต้องบังคับเขามาก 

 

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป สภาพจิตใจของคุณแม่ในตอนนี้กับช่วงที่ผ่านมากลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คุณแม่ลั่วในตอนนี้เกือบจะเป็นคนละคนกับในอดีต และท่าทีที่เธอมีต่อเขา มันก็เปลี่ยนไปมาก 

 

 

เขาพูดได้เลยว่า ในช่วงนี้คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดก็คือคุณแม่ลั่ว 

 

 

หลังจากที่เขาแต่งงานกับถังโจวโจว คุณแม่ลั่วก็ไม่รู้ว่าไปรับแรงกระตุ้นอะไรมา ถึงได้พยายามจับคู่เขากับเมิ่งชิงซีอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วไหนจะพยายามก่อปัญหาให้เขากับถังโจวโจวต้องหนักใจอีก 

 

 

ลั่วเซ่าเชินไม่อยากตั้งตัวเป็นอริกับคุณแม่ลั่ว ขณะเดียวกันก็ไม่อยากทำให้ถังโจวโจวรู้สึกลำบากใจ เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือให้พวกเธออยู่ห่างจากกัน อย่างน้อยแยกกันได้หนึ่งวันก็ยังดี 

 

 

“ช่วงนี้แม่เป็นยังไงบ้างครับ ได้ไปตรวจตามที่หมอนัดหรือเปล่า” ลั่วเซ่าเชินได้แต่เป็นห่วงคุณแม่ลั่วจากทางอื่น เขาไม่สามารถรับปากได้ว่าต่อไปเขาจะกลับมาเยี่ยมเธอบ่อยๆ แต่เขาสามารถส่งลั่วอิงมาอยู่เป็นเพื่อนกับคุณแม่ลั่วได้ 

 

 

ที่ลั่วเซ่าเชินทำแบบนี้เพราะมีเหตุผล หนึ่งคือเขางานยุ่ง แต่ก่อนเขาก็เป็นแบบนี้ โดยปกติแล้วภายในหนึ่งสัปดาห์ก็มีแค่ไม่กี่ครั้งที่เขาสามารถอยู่ร่วมมื้ออาหารกับคุณพ่อลั่ว คุณแม่ลั่ว และลั่วอิงได้ แต่หลังจากที่ถังโจวโจวเข้ามา สถานการณ์นี้มันก็ดีขึ้นเล็กน้อย 

 

 

เพียงแต่น่าเสียดายที่คุณพ่อและคุณแม่ลั่วไม่ยอมรับถังโจวโจว ส่วนลั่วเซ่าเชินก็ไม่อยากทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องลำบากใจ เขาจึงได้แต่ทำตัวเป็นกาวเชื่อมความสัมพันธ์อยู่ตรงกลาง 

 

 

“ก็ปกติดี หมอบอกว่าให้พักผ่อนอยู่บ้าน นี่มันเป็นโรคประจำตัวของแม่ แม่ก็ได้แต่ต้องดูแลมันไป” เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเป็นห่วงเป็นใยเธอ เธอก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที ประหนึ่งว่าที่ลั่วเซ่าเชินถามเธอแบบนี้ ก็สามารถแสดงให้เธอเห็นได้ว่าในใจของลั่วเซ่าเชินนั้น เธอสำคัญกว่าถังโจวโจว 

 

 

ทางด้านของตระกูลเมิ่งเองก็มีนัดกินข้าวกันที่เมือง Z ครอบครัวของเมิ่งไหวเซินรีบบินมาถึงเมือง Z ตั้งแต่เช้าตรู่ เมิ่งซงอวินหรือผู้เฒ่าเมิ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเขตทหารเมือง Z ซึ่งเมิ่งซงอวินนั้นมีลูกชายสองคนคือ เมิ่งไหวเซิน ลูกชายคนโต และเมิ่งไหวหมิน ลูกชายคนเล็ก 

 

 

เป็นเพราะตอนนั้นเมิ่งไหวเซินยืนกรานที่จะแต่งงานกับฉินอวิ๋นให้ได้ ในขณะที่เมิ่งซงอวินไม่เห็นด้วย ดังนั้นเขาจึงพาฉินอวิ๋นย้ายไปอยู่ที่เมือง S ซึ่งเป็นเมืองที่มีตระกูลลั่วอยู่ หลังจากนั้นเมิ่งไหวเซินก็ยุ่งอยู่กับกิจการของบริษัท และไม่ค่อยได้กลับมาที่เมือง Z สักเท่าไร 

 

 

ฉินอวิ๋นเองก็ได้ใช้ชีวิตคุณนายอย่างสงบสุขที่เมือง S และในเมื่อไม่มีใครทำให้เธออับอายขายขี้หน้า เธอก็ค่อยๆ ลืมเมือง Z ไปอย่างช้าๆ กระทั่งลืมไปว่าผู้เฒ่าเมิ่งคนนี้ไม่ลงรอยกับเธอ 

 

 

ส่วนเมิ่งไหวหมินก็เข้ามารับช่วงต่อจากผู้เฒ่าเมิ่ง ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษของเขตทหารเมือง Z ส่วนลูกชายของเขา เมิ่งจวินจิ่น ก็จบมาจากโรงเรียนเตรียมทหารเช่นกัน และอีกไม่นานเขาก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นพันเอกแล้ว 

 

 

เมื่อครอบครัวของเมิ่งไหวเซินลงจากเครื่อง เมิ่งจวินจิ่นก็รออยู่ที่ด้านนอกของสนามบินแล้ว และเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสามคน เขาก็รีบเดินเข้าไปหา “คุณลุง คุณป้า ชิงซี ในที่สุดก็มาถึงแล้ว คุณปู่กำลังรออยู่ที่บ้านครับ” 

 

 

ฉินอวิ๋นมีภาพจำที่ดีเกี่ยวกับเมิ่งจวินจิ่น เด็กคนนี้สุภาพอ่อนโยน มีสัมมาคารวะ หากยกเว้นเรื่องที่เขาพูดน้อยแล้ว เขาก็เป็นเลิศในทุกๆ ด้าน และที่สำคัญที่สุด เขาเป็นหลานชายคนเดียวของตระกูลเมิ่ง 

 

 

“รบกวนแย่เลยจวินจิ่น” เมิ่งไหวเซินรู้ดีว่าคุณพ่อของเขาหวังกับเมิ่งจวินจิ่นไว้มาก และเมิ่งไหวเซินเองก็ยอมรับว่าเมิ่งจวินจิ่นนั่นดีพร้อมไปหมดทุกอย่าง เช่นนี้เขาก็รู้สึกโล่งใจแล้วกับอนาคตของตระกูลเมิ่ง 

 

 

หลังจากนั้นฉินอวิ๋นและเมิ่งชิงซีก็เอ่ยทักทายเมิ่งจวินจิ่น เมิ่งชิงซีไม่ได้เจอญาติผู้พี่คนนี้มาเป็นเวลานานแล้ว และเธอเองก็ไม่ได้สนิทกับเขามากนัก ก็เธอเป็นคุณหนูใหญ่ที่แสนบอบบางอ่อนแอ เธอจะทนรับสีหน้าที่เคร่งขรึมและจริงจังของเมิ่งจวินจิ่นได้อย่างไร 

 

 

เธอไม่ได้ดูผิดไปหรอก อาจจะเป็นเพราะว่าเมิ่งจวินจิ่นใช้ชีวิตอยู่กับคนในกองทัพมานาน บนใบหน้าของเขาจึงไม่ค่อยมีรอยยิ้ม แต่เขาก็ยังเคารพเมิ่งไหวเซิน และแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยได้คลุกคลีกับฉินอวิ๋นและเมิ่งชิงซี แต่เขาก็ยังปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาทตามสมควร 

 

 

เมิ่งจวินจิ่นขับรถมารับครอบครัวของเมิ่งไหวเซินกลับไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเมิ่ง เมื่อเข้ามาในเขตคฤหาสน์ เมิ่งไหวเซินก็กวาดตามองคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เคยคุ้น พลางคิดว่าเขาไม่ได้กลับมาเจอคุณพ่อนานแล้ว จู่ๆ ความทรงจำครั้งเก่าก็หวนกลับมา 

 

 

เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาในบ้าน ผู้เฒ่าเมิ่งก็นั่งอยู่ในห้องโถง และเมื่อเขาเห็นว่าเมิ่งจวินจิ่นกลับมาแล้ว เขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “กลับมาแล้วเหรอจวินจิ่น แกก็ด้วย มาแล้วเหรอ” 

 

 

ท่าทีของผู้เฒ่าเมิ่งเปลี่ยนไปไวมาก ที่เมิ่งไหวเซินออกไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกเป็นเวลาหลายปี นั่นก็เป็นเพราะว่าเขารักและเคารพคุณพ่อ และที่เขาไม่อยากกลับมาที่เมือง Z อีก นั่นก็เป็นเพราะว่าผู้เป็นบิดามักจะเย็นชาใส่เขา 

 

 

เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าบรรยากาศมันค่อนข้างจะประดักประเดิด เธอก็รีบแทรกตัวขึ้นมาอยู่ด้านหน้า “คุณปู่ขา หลานรักของคุณปู่มาแล้ว หนูคิดถึงคุณปู่จังเลยค่ะ” และเมื่อผู้เฒ่าเมิ่งเห็นหน้าเมิ่งชิงซี สีหน้าที่เหยียดตึงของเขาก็ดีขึ้นหลายเท่าตัว 

 

 

ฉินอวิ๋นยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณพ่อคะ หนูกับไหวเซินกลับมาเยี่ยมคุณพ่อค่ะ หนูได้ยินมาว่าช่วงนี้คุณพ่อกระดูกไม่ค่อยดี หนูก็เลยวานให้เพื่อนหาของบำรุงมาให้จากต่างประเทศ คุณพ่อจะได้เอาไว้บำรุงร่างกายนะคะ” 

 

 

เธอถือกล่องของขวัญด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะคลี่รอยยิ้มออกมาช้าๆ ดวงตากลมโตคู่นั้นทำให้ภาพลักษณ์ของเธอดูอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น มีน้อยคนนักที่จะปฏิเสธความอ่อนโยนนี้ได้ลง 

 

 

แต่ความสวยงามและความอ่อนโยนของเธอ ดูเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้ผลกับผู้เฒ่าเมิ่ง