“…!”

เคนเบิกตากว้าง

เขาได้ยินว่าโอกาสที่ท่านเคานต์จะไม่ตื่นขึ้นมานั้นมีมากกว่า แต่ตอนนี้ท่านเคานต์ที่ดูเหมือนจะไม่ฟื้นขึ้นอีกเลยตลอดชีวิตกลับกำลังลืมตามองจ้องมายังประตูอย่างชัดเจน

เคนสั่นไปทั้งร่างเพราะภาพของท่านเคานต์ที่ดูเหมือนจะวิ่งเข้ามาฉีกทึ้งตนซึ่งได้ทำสิ่งผิดมหันต์ลงไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียเดี๋ยวนี้

แต่ท่านเคานต์ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่จ้องมองเคนอยู่เงียบๆ เท่านั้น

เคนที่ตัวสั่นสะท้านสบตากับท่านเคานต์อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ก่อนจะเดินเข้าไปหาคนเป็นพ่อซึ่งยังคงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนช้าๆ

เคนเอ่ยเรียกท่านเคานต์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“…ทะ ท่านพ่อ”

“…”

แต่ท่านเคานต์ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ไม่แม้แต่จะขยับกาย เขาเพียงแค่จ้องมองเคนเขม็งไม่วางตา และนั่นดูไม่เป็นธรรมชาติเอามากๆ

หรือว่า…

เคนเอ่ยถามราวกับเพิ่งนึกอะไรได้

“นี่ท่านพ่อพูดไม่ได้หรือครับ”

ปริบ ท่านเคานต์กะพริบตาหนึ่งครั้งเพื่อตอบคำถามของเคน เหมือนกำลังแสดงออกว่าเขาตอบรับ

จากนั้นเมื่อเคนถามต่อ “ท่านพ่อขยับตัวไม่ได้ด้วยหรือครับ” คราวนี้ท่านเคานต์ก็กะพริบตาหนึ่งครั้งเหมือนเดิม และช่างโชคร้ายที่แม้แต่การลืมตาก็ยังมีข้อจำกัด

ภาพนั้นทำให้เคนลอบถอนหายใจในใจด้วยความโล่งอก

“…ถะ ถึงอย่างนั้นก็โชคดีมากแล้วนะครับที่ท่านพ่อฟื้นขึ้นมาได้ ท่านพ่อไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่ไหมครับ”

แม้แต่เมื่อเคนถามออกไปอย่างกระอักกระอ่วน ท่านเคานต์ก็ยังหลับตาและลืมขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งครั้งเพื่อส่งสัญญาณว่าเขาไม่เป็นไร

โชคดีที่ท่านเคานต์ไม่ได้ดูโกรธเคืองอะไรเคนเป็นพิเศษ เขาแค่ดูเหมือนไม่ค่อยสบายเวลาที่ต้องลืมตาเพราะเพิ่งฟื้นหลังจากหลับไปเป็นเวลานานจึงต้องถลึงตามองเช่นนี้

เคนเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง

“…ท่านพ่อจำได้ถึงตอนไหนหรือครับ จำตอนที่เกิดเหตุ… ได้ไหมครับ”

เมื่อเคนเลียบๆ เคียงๆ ถามถึงเหตุการณ์นั้น แววตาของท่านเคานต์ก็สั่นไหวไปครู่หนึ่งก่อนจะกะพริบตาครั้งหนึ่งตอบ

คำตอบนั้นทำเอาเคนต้องกลืนน้ำลาย อุตส่าห์หวังให้จำไม่ได้แท้ๆ แล้วท่านเคานต์จำเหตุการณ์ครั้งนี้ได้อย่างไรกัน

“แล้วท่านพ่อจำ… คนร้ายได้ไหมครับ”

ปริบ

ท่านเคานต์กะพริบตาหนึ่งครั้ง

“…คนร้าย คืออาเรียใช่ไหมครับ”

ปริบๆ

ท่านเคานต์กะพริบตาสองทีต่างจากเมื่อครู่เพื่อแสดงออกว่าปฏิเสธ

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า…

“หรือท่านพ่อกำลังจะบอกว่าเป็นมิเอลหรือครับ…”

ท่านเคานต์นิ่งไปสักพักโดยไม่ยอมตอบคำถามของเคนก่อนจะหลับตาลง ดูเหมือนมันจะเป็นความทรงจำที่เขาไม่อยากแม้แต่จะตอบ

โชคยังดีที่ดูเหมือนท่านเคานต์จะไม่รู้ว่าเคนคือผู้สมรู้ร่วมคิดกับมิเอล เพราะเขาไม่ได้แสดงสีหน้าตระหนกตกใจหรือแสดงท่าทีว่าเป็นศัตรูกับเคน

ท่านเคานต์หลับตาไปแล้วแต่เคนก็ยังยกมือขึ้นปิดปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างห้ามไม่ได้

คิดไว้อยู่แล้วว่าพระเจ้าต้องอยู่ข้างเขา

‘โชคดีเสียจริง และยิ่งเขาพูดไม่ได้ ขยับตัวก็ไม่ได้แบบนี้ ก็คงเป็นได้แค่หุ่นไล่กาเท่านั้นล่ะ’

ท่านเคานต์ไม่สามารถทำอะไรด้วยสภาพร่างกายแบบนั้นได้ ดังนั้นคนจะได้สืบทอดตำแหน่งเคานต์ต่อไปโดยปริยาย

เคนคิดว่าการที่ท่านเคานต์ตื่นขึ้นมาแล้วมีสภาพเป็นหุ่นไล่กาที่ทำอะไรไม่ได้นั้น ดีกว่าการที่ตัวเองต้องคอยหวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่าพ่อจะตื่นขึ้นมาเมื่อไรหลายขุมทีเดียว

“…นอนคอยสักพักนะครับ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”

เคาน์ติสตื่นตูมตะโกนกู่ร้องเสียขนาดนั้น คนรับใช้สักคนก็คงไปตามหมอมาอยู่กระมัง

“ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ”

“…”

ท่านเคานต์กะพริบตา เขาจึงเตรียมจะลุกไปเอาน้ำจากนอกห้องมาให้แต่ที่หน้าประตูก็มีคนรับใช้ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว คนรับใช้คนนั้นเห็นเคนเข้าไปในห้องก่อนแล้ว จึงตามเข้าไปไม่ได้และได้แต่ยืนลุกลี้ลุกลนอยู่อย่างนั้น

“น้ำ”

“…เอ๊ะ ครับ!”

คนรับใช้รีบไปเตรียมน้ำตามคำสั่งสั้นๆ ของเคน จากนั้นท่านเคานต์จึงได้ดื่มน้ำเย็นชื่นใจ

ผ่านไปไม่นานนักเคาน์ติสผู้ก่อความวุ่นวายก็เข้ามาในห้อง เธอกันเคนให้ออกไปแล้วเข้ามาจับมือท่านเคานต์ไว้ หมอประจำตระกูลก็กระหืดกระหอบตามเข้ามาเช่นกัน

“อาการของท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง”

เมื่อเคนถาม สายตาเย็นเยียบของเคาน์ติสก็มองไปที่เขาทันที หมอประจำตระกูลตรวจดูอาการของท่านเคานต์อย่างละเอียดก่อนจะทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ

“แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่ตอนนี้ท่านไม่ได้อาการหนักแต่อย่างใดครับ”

“พระเจ้า…!”

เคาน์ติสจูบลงบนมือท่านเคานต์ทั้งน้ำตาคลอ ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วในใจเธอรู้สึกอย่างไร แต่ดูจากภายนอกแล้วเหมือนเธอกำลังรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอยู่

เคนบังคับตัวเองไม่ให้ขมวดคิ้วกับคำพูดที่ฟังดูมีความหวังของหมอประจำตระกูล ก่อนจะเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่เขาสงสัย

“เช่นนั้น ท่านจะขยับตัวได้เมื่อไร”

“ร่างกาย… ตอนนี้ยังไม่มีการตอบสนองผมจึงรับประกันอะไรไม่ได้ครับ”

“แล้วการพูดล่ะ ท่านพ่อหันหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำแล้วเรื่องนี้จะเป็นยังไงบ้าง”

“…เรื่องนั้นผมเองก็ยังรับประกันไม่ได้เช่นกันครับ”

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาอาจจะขยับหรือพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิตก็ได้สินะ

ทั้งที่ฟื้นขึ้นมาได้แต่สภาพกลับแย่ปางตาย เป็นแบบนี้สู้ไม่ฟื้นขึ้นมาเลยคงจะดีเสียกว่า

“ตายจริง ที่รัก…! จะทำเช่นไรดี!”

เมื่อได้ยินสิ่งที่หมอประจำตระกูลพูด เคาน์ติสก็ร้องไห้ออกมาเหมือนโลกจะแตกพร้อมทั้งฝังใบหน้าลงข้างท่านเคานต์ เคนเองก็พลอยทำสีหน้าเคร่งเครียดยกมือขึ้นปิดปากแล้วแสร้งทำเป็นเศร้าไปกับเขาด้วย

ทั้งที่ในความเป็นจริงเขานั่นล่ะที่ยินดีกว่าใคร ดังนั้นห้องของท่านเคานต์จึงมีแต่เสียงอันน่าเศร้าสลดของเคาน์ติสดังอยู่พักใหญ่

และไม่นานหลังจากนั้น

“…ทุกคน เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”

อาเรียที่เพิ่งกลับมาจากการไปพบบรรดานักธุรกิจทีหลังเข้ามาที่ห้องของท่านเคานต์ซึ่งมีหลายคนกระจุกรวมตัวกันอยู่ เพราะเหล่าคนรับใช้ต่างมาออกันอยู่เต็มระเบียงทางเดินหน้าห้องท่านเคานต์เพื่อรอฟังข่าวคราว

หลังจากวันนั้น เหล่าคนรับใช้ก็จะเข้านอกออกในห้องท่านเคานต์เป็นบางครั้งเฉพาะเวลามีธุระเท่านั้น แล้วเหตุใดวันนี้คนจึงเยอะนัก อาเรียนึกสงสัยพลางเดินเข้าไปหาพวกเขา

“เลดี้…! เข้าไปข้างในเร็วค่ะ!”

ทันใดนั้นบรรดาคนรับใช้ที่หันมาเห็นอาเรียก็รีบเอ่ยเร่งเร้าให้เธอรีบเข้าไปในห้องก่อนที่เธอจะทันได้ไปถึงหน้าห้องท่านเคานต์เสียอีก พวกเขาต่างมีสีหน้ารีบร้อน

นั่นทำให้ความคิดบางอย่างผ่านเข้ามาในหัวเธอชั่ววูบหนึ่ง

และทันทีที่อาเรียรีบเข้าไปในห้องของท่านเคานต์ เธอก็ได้สบตากับท่านเคานต์ที่กำลังมองเธออยู่

“…ท่านพ่อ!”

ความคิดบางอย่างที่ว่านั่นก็คือเธอคิดว่าท่านเคานต์ตายแล้วมากกว่าจะคิดว่าฟื้นขึ้นมา ภาพที่ไม่คาดคิดนั้นทำให้อาเรียรีบเข้าไปอยู่ข้างท่านเคานต์ที่เพิ่งฟื้นทันที

“ตายจริง…! ท่านพ่อฟื้นตั้งแต่เมื่อไรคะ!”

เมื่อเธอถามเช่นนั้น หมอประจำตระกูลจึงได้เริ่มอธิบายให้อาเรียฟัง แม้กระทั่งเรื่องที่ร่างกายท่านเคานต์อยู่ในสภาพไม่ค่อยดีนักก็ด้วย

ใบหน้าของอาเรียค่อยๆ หม่นหมองลงขณะที่ฟังคำพูดของหมอ เป็นแค่ซากศพที่ลืมตาได้เท่านั้นสินะ แล้วแบบนี้มันต่างจากไม่ฟื้นตรงไหนกัน

“อย่างไรก็ตามผมคิดว่าการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังจากที่ท่านพลัดตกลงมาน่าจะมีผลอย่างมากครับ…”

นี่เขาจะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าตกใจนั้นอาเรียก็เหลือบมองเคนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เธอ เขากำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขณะเดียวกันก็เอามือปิดปากไว้

อย่าบอกนะว่าที่ถูกซ่อนไว้ใต้มือนั่นกำลังยิ้มอยู่ อาเรียตั้งข้อสงสัยว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นก่อนจะเอ่ยปากถามหมอ

“ต้องทำยังไงร่างกายของท่านพ่อจึงจะดีขึ้นกว่านี้”

“…เอ๊ะ”

“ดิฉันหมายถึงต้องทำยังไงท่านพ่อจึงจะขยับได้บ้าง นิดเดียวก็ยังดี ดิฉันนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรไม่ได้หรอก”

หมอประจำตระกูลมีสีหน้าลำบากใจกับคำถามของอาเรีย แม้จะไม่มีคำตอบกลับมาแต่เธอก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

เคาน์ติสจึงเป็นคนตอบแทนด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น

“มันต้องมีทางสิ! เมื่อครู่ตอนที่ท่านฟื้นนิ้วของท่านขยับได้นิดหนึ่งด้วยซ้ำ!”

คำพูดของเคาน์ติสทำให้หมอตาโตรีบถามกลับว่าเธอพูดจริงหรือไม่

“เรื่องจริงหรือครับ”

“ใช่สิ คิดว่าดิฉันโกหกต่อหน้าสามีที่กำลังป่วยหรือไง”

“มะ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แต่หากเป็นความจริงก็หมายความว่าท่านเคานต์มีโอกาสกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้น่ะสิครับ! ท่านมีโอกาสที่จะฟื้นฟูสภาพร่างกายได้มากเท่ากับความพยายามของท่านเองครับ!”

สีหน้าของหมอดูสดใสขึ้นทันตา

นั่นทำให้ทั้งเคาน์ติสและอาเรียต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดัง แต่ในขณะที่ครอบครัวปลอมๆ กำลังยิ้มให้ท่านเคานต์ ลูกในไส้อย่างเคนกลับเอาแต่ทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่คนเดียว

อาเรียไม่พลาดที่จะจับผิดทันที

“ท่านพี่ไม่ดีใจหรือคะ ท่านพ่อฟื้นแล้ว แล้วหมอยังบอกว่ามีทางกลับมาเป็นปกติได้ด้วยนะคะ”

“…ไม่ดีใจได้ยังไงล่ะ พี่แค่ตกใจเพราะมันไม่น่าเชื่อน่ะ”

อาเรียยิ้มเยาะให้กับคำตอบของเคนที่ช้าไปอึดใจหนึ่ง เขานี่ช่างหน้าไม่อายจริงๆ ทั้งที่ตัวเองร่วมมือกับน้องสาววางแผนฆ่าพ่อแท้ๆ

“ใช่ไหมล่ะคะ ถ้าหากท่านพ่อรักษาตัวจนมีเรี่ยวมีแรงตระกูลเคานต์ก็คงจะกลับสู่สภาพเดิม แล้วหลังจากนั้นเรื่องที่มิเอลยืนกรานว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรมก็… จะได้คลี่คลายด้วยนี่คะ เพราะน้องเองก็ไม่เชื่อว่ามิเอลจะเป็นคนผลักท่านพ่อเหมือนกันค่ะ…”

กระทั่งเคนที่เข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ก็ด้วย

ทันทีที่อาเรียเอ่ยชื่อมิเอลออกมา แววตาของท่านเคานต์ซึ่งนอนนิ่งไม่ไหวติงก็พลันสั่นไหว ก่อนที่นิ้วจะขยับเล็กน้อย

“ขะ ขยับจริงๆ ด้วย!”

หมอประจำตระกูลกำลังทำการตรวจสภาพร่างกายของท่านเคานต์ซ้ำอีกครั้งและเห็นเข้า เขาดีใจจนแทบจะลิงโลดก่อนจะอธิบายแนวทางการรักษาที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายท่านเคานต์ได้

“เริ่มจากการช่วยบีบไปให้ทั่วทั้งตัวเหมือนการนวดก่อนก็ได้ครับ ถ้าทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ ร่างกายจะค่อยๆ ดีขึ้นจนเดินได้ ถึงตอนนั้นก็ให้คนรับใช้…”

ขณะที่เสียงของหมอประจำตระกูลกำลังดังก้องไปทั่วทั้งห้อง เสียงเบาหวิวของเคนก็ยังคงพึมพำแก้ตัวเป็นพื้นหลังว่าเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น

“มะ ไม่ใช่นะ ไม่มีทางหรอก พี่เองก็ดีใจมากแค่ตกใจนิดหน่อยก็เท่านั้น”

“น้องทราบค่ะ ก็ท่านพี่เป็นห่วงท่านพ่อที่สุดเลยนี่คะ น้องเองก็อยากให้ท่านพ่อหายเร็วๆ เหมือนกันค่ะ ท่านจะได้เป็นคนบอกด้วยตัวเองว่าคนร้ายตัวจริงคือใคร”

อาเรียพูดแบบนั้นพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาเคนจำต้องยกยิ้มแหยๆ ตาม

ภาพนั้นดูเหมือนเขากำลังร้องไห้มากกว่าจนอาเรียยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีก

* * *

อาเรียและเคาน์ติสทิ้งเหล่าคนรับใช้ที่กำลังนวดไปตามเนื้อตัวของท่านเคานต์ตามคำแนะนำของหมอไว้เบื้องหลังแล้วออกมาพักผ่อนที่สวนสักพัก สีหน้าของเคาน์ติสที่กำลังดื่มชาอยู่ในตอนนี้ดูสบายใจราวกับเมื่อก่อนหน้านี้เธอไม่เคยร้องไห้ดีใจต่อหน้าท่านเคานต์มาก่อนเลย

“โชคดีจริงๆ นะคะที่ท่านพ่อฟื้นแล้ว”

“นั่นน่ะสิ”

บนใบหน้าของเคาน์ติสซึ่งเอ่ยตอบอาเรียไม่มีความยินดีอยู่แม้เพียงนิด นอกจากนั้นเธอยังดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากการแสดงเกินจริงเมื่อครู่อีกต่างหาก

อาเรียสังเกตเห็นจึงสั่งให้สาวใช้ถอยไปก่อนแล้วค่อยถามความรู้สึกจริงๆ ของแม่

“ท่านแม่ดูไม่ค่อยดีใจเท่าไรเลยนะคะ”

“เรื่องนั้นลูกเองก็เหมือนกัน อยากถามอะไรกันแน่”

ท่านเคานต์คือบุคคลสำคัญที่เปลี่ยนอนาคตของทั้งอาเรียและเคาน์ติส แต่เขามักจะปกป้องสายเลือดแท้ๆ ของตัวเองจนออกนอกหน้า ทั้งยังทำเหมือนอาเรียกับแม่ของเธอเป็นเพียงของประดับประดาแสนสวย ดังนั้นเขาย่อมได้รับการตอบสนองเช่นนี้จากสองแม่ลูก

ว่าแต่ในคฤหาสน์หลังนี้มีใครที่ดูแลเขาด้วยใจจริงด้วยหรือ แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไรที่ถูกสายเลือดของตัวเองหักหลังแล้วต้องได้รับการปลอบโยนจากของประดับแทน

อาเรียยิ้มเยาะก่อนจะพูดกับเคาน์ติส

“ลูกต้องขอโทษท่านแม่ด้วย แต่ถึงท่านพ่อจะฟื้นแล้วลูกก็จะไม่ปล่อยมิเอลให้ลอยนวลไปเฉยๆ อยู่ดีค่ะ ท่านพี่เคนก็เหมือนกัน ถึงแม้ว่าตระกูลเคานต์จะต้องล่มสลายลงก็ตาม”

“มีอะไรต้องขอโทษล่ะ ลูกตัดสินใจได้ดีมากด้วยซ้ำ จะขว้างงูทั้งทีมันก็ต้องขว้างให้พ้นคอปล่อยไว้ไม่ได้หรอก แม่คนนี้ก็จะช่วยลูกด้วยอีกแรง”

เคาน์ติสกัดฟันตอบราวกับกำลังนึกถึงตอนที่อาเรียถูกใส่ความอย่างไม่ยุติธรรมตลอดมา และเพราะเรื่องนี้ทำให้เธอกลัวจนตัวสั่นงันงกและไม่กล้าก้าวเท้าออกจากห้องของตัวเองแม้แต่ก้าวเดียว

นอกจากนั้นหากอาเรียไม่มีใครหนุนหลังอยู่เลยสักคนพวกเธอทั้งสองคงกลัวจนหัวหด แต่อาเรียกลับมีทั้งผู้สนับสนุนและกลุ่มอำนาจทั้งยังมีเจ้าชายคอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง ดังนั้นสองแม่ลูกจึงไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัวอีก

มันคงดีกว่าหากเธอเลือกทางนี้แล้วได้ผลประโยชน์จากลูกสาวที่เติบโตเต็มที่และลูกเขย แทนที่จะประจบประแจงเอาใจผู้ชายที่ปฏิบัติกับเธอเหมือนสิ่งของ

และขณะที่อาเรียและเคาน์ติสกำลังพักผ่อนอยู่ในสวนนั้นเอง เคนก็ได้เข้าไปในห้องนอนของท่านเคานต์เพียงลำพัง

……………………….