ตอนที่ 142 ทั้งคืนบนเกาะ

พ่ายรักวิวาห์ลวง

ฮั่วฉินเยี่ยนดึงมือเวินหลานฉีก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เพราะอยากดูสักหน่อยว่าบนเกาะนี้มีสถานที่ให้พักผ่อนตลอดทั้งคืนบ้างไหม

 

 

จริงๆ แล้วเกาะนี้ก็รกร้างว่างเปล่าอยู่บ้าง เพราะการบุกเบิกของหมู่เกาะรอบๆ ช่วงหลายปีมานี้ ทำให้เกาะนี้กลายเป็นจุดถ่ายเรือระหว่างทาง และจุดพักผ่อนแทน

 

 

จนกระทั่งเดินวนรอบเกาะแล้ว พวกเขาก็ไม่พบสถานที่อะไรจะสามารถพักค้างคืนได้เลย จนสุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ประมาณกลางเกาะ

 

 

อุณหภูมิทะเลตอนกลางคืนค่อยๆ ลดต่ำลงทีละนิด อุณหภูมิรอบตัวพวกเขาเองก็ใกล้จะติดลบด้วย เวินหลานฉีกอดไหล่แน่น เธอหนาวจนเกือบจะหดตัวเป็นก้อนกลมๆ ฮั่วฉินเยี่ยนจึงทำได้เพียงกอดเธอไว้ แล้วก้มหน้าคิดไตร่ตรอง

 

 

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ ว่าตอนเขาออกมานั้นในกระเป๋ายังมีไฟแช็กอยู่ ไม่รู้ว่าถูกแช่น้ำทะเลไปช่วงหนึ่งแล้วยังจะใช้การได้อยู่ไหม

 

 

ขืนๆ จุดไฟแช็กหน่อย ก็ทำได้แค่เกิดประกายไฟเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ฮั่วฉินเยี่ยนก็ยังรู้สึกเกินความคาดหมายอยู่บ้าง เขาว่าจะไปหาฟืนมาก่อไฟสักหน่อย จะได้พอช่วยให้ดีขึ้นบ้างสักเล็กน้อย

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนให้เวินหลานฉีรอเขาอยู่ที่เดิม ส่วนเขาก็เดินไปรอบๆ เพื่อหากิ่งไม้มาก่อไฟ

 

 

ทันใดนั้นเท้าเขาก็เกิดลื่นขึ้นมา ทำเอาทั้งคนทั้งกิ่งไม้ลื่นไถลลงไปบนเนินลาด และบนเนินลาดนั้นมีพุ่มไม้เตี้ยๆ ขึ้นเต็มไปหมด

 

 

กึก!

 

 

อาการเจ็บปวดเข้ากระดูกแล่นจี๊ดมายังขา ทำให้ฮั่วฉินเยี่ยนอดส่งเสียงร้องออกมาไม่ได้ เขาขมวดคิ้วคิดในใจ ทำไมต้องมาหกล้มเอาตอนนี้ด้วยนะ เขายังไม่ทันได้ตรวจดูสภาพขาตัวเอง ก็นึกถึงเวินหลานฉีว่ายังรอเขาอยู่ที่เดิมคนเดียว แล้วกลัวว่าเธอจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จึงรีบพาเศษกิ่งไม้ที่เพิ่งหามาได้กลับไปด้วยอย่างโซซัดโซเซ

 

 

หลังจากเวินหลานฉีเห็นเงาดำปรากฏขึ้นหลังต้นไม้ ก็ตื่นตระหนกอย่างควบคุมไม่ได้ แต่เมื่อมองอย่างละเอียดถึงได้พบว่าเป็นฮั่วฉินเยี่ยนนั่นเอง

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนกันลมอย่างระมัดระวัง แล้วพยายามจุดไฟหลายครั้ง จนในที่สุดก็ก่อไฟด้วยกิ่งไม้กองนั้นได้ แสงไฟสาดส่องใบหน้าของทั้งสองคน และทำให้อุณหภูมิของอากาศโดยรอบอบอุ่นมากขึ้น

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนเดินโซเซไปพลางกุมขาตัวเองไปล้มลงบนพื้น และในตอนนี้เองเวินหลานฉีถึงเพิ่งพบอาการบาดเจ็บตรงขาของฮั่วฉินเยี่ยน

 

 

ภายใต้แสงไฟ กางเกงสีดำถูกกรีดออกจนเห็นบาดแผลเป็นทางยาว รอยเลือดสีแดงเข้มเป็นวงใหญ่ แถมช่วงขากางเกงของฮั่วฉินเยี่ยนยังมีเลือดไหลลงมาตามขากางเกงอีกไม่น้อย

 

 

เวินหลานฉีตกใจแทบแย่ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของฮั่วฉินเยี่ยน น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้าด้วยความปวดใจ

 

 

พอเห็นท่าทางเช่นนั้นของเวินหลานฉี ฮั่วฉินเยี่ยนอดลูบๆ ผมสีดำขลับของเธอไม่ได้ ทั้งยังขยี้หัวเธอ พลางเอ่ยพูด “ฉีฉีผมไม่เป็นไร แค่ถูกกิ่งไม้บาดแค่นั้นเอง” พอพูดจบ ก็ยื่นมือไปห้ามเวินหลานฉี

 

 

เวินหลานฉีไม่สนใจคำแก้ตัวนี้ของเขา เธอถลกขากางเกงของเขาขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วร่นกางเกงขึ้นไปช้าๆ

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนทนไม่ไหว หลุดเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา

 

 

“อาเยี่ยน คุณทนเจ็บหน่อยนะ ให้ฉันดูหน่อยว่าคุณเจ็บตรงไหน” เวินหลานฉีพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างถึงที่สุด แล้วเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและนุ่มนวล

 

 

ดึงขึ้นไปข้างบนอีกนิด ก็รู้สึกได้ถึงบริเวณรอยเลือดเหนียวติดกางเกง เวินหลานฉีกางขากางเกงออกอีกเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง จนเห็นบาดแผลอันน่าสยดสยองตรงน่องของฮั่วฉินเยี่ยน

 

 

ดูจากสายตารอยแผลน่าจะลึกประมาณเซนฯ กว่าๆ รอยเลือดสีแดงสดบนผิวหนังของฮั่วฉินเยี่ยนปรากฏเด่นชัดเป็นพิเศษ เลือดสีแดงสดยังคงทะลักออกมาข้างนอกเรื่อยๆ

 

 

เวินหลานฉีตกใจแทบแย่ เธอฝืนกลั้นน้ำตา พับขากางเกงขึ้นไปถึงขาอ่อน

 

 

เธอใช้กิ่งไม้กรีดเสื้อของตัวเอง แล้วออกแรงฉีกเป็นเศษผ้า จากนั้นก็วิ่งไปชายทะเล เพื่อแช่ผ้าในน้ำ และวิ่งกลับมาอีกครั้งอย่างรีบร้อน เธอเช็ดเลือดรอยเลือดแห้งกรังที่ไหลลงมาตรงน่องของฮั่วฉินเยี่ยนอย่างระมัดระวัง

 

 

เธอไม่กล้าแตะต้องบาดแผลเขามากเกินไป ด้วยกลัวว่าโดนแผลแล้วเขาจะเจ็บ แต่เธอยังคงห้ามตัวเองอย่างยากลำบาก เพื่อช่วยเช็ดเลือดบริเวณรอบบาดแผลฮั่วฉินเยี่ยนออก

 

 

เธอฉีกผ้าอีกครั้ง ตอนแรกฮั่วฉินเยี่ยนอยากจะห้ามปรามเธอ แต่ก็จนปัญญาเพราะเจ็บจนไม่มีแรงตั้งนานแล้ว จึงไม่มีแรงจะห้ามปรามเธอได้

 

 

“อาเยี่ยน คุณอย่าขยับมาก เดี๋ยวฉันช่วยคุณพันแผลห้ามเลือดก่อน ค่อยว่ากัน” เวินหลานฉีกดแขนที่หมายจะยกขึ้นของฮั่วฉินเยี่ยน

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนมองเงาอันวุ่นวายกับการวิ่งไปมาของเวินหลานฉีด้วยสีหน้าปวดใจ ในใจมีความรักทะลักล้นออกมา

 

 

หลังจากรอเวินหลานฉีพันแผลให้ฮั่วฉินเยี่ยนเรียบร้อยดีแล้ว ก็ผ่านไปประมาณครึ่งค่อนคืนแล้ว เวินหลานฉีพิงอ้อมกอดของฮั่วฉินเยี่ยนหลับไปอย่างมั่นคง

 

 

หน่วยกู้ภัยเข้ามาช่วยเหลือในเช้าวันรุ่งขึ้น และพาพวกเขากลับไปบนบก เวินหลานฉีพยุงฮั่วฉินเยี่ยนไปทำแผลในโรงพยาบาลท้องถิ่นอย่างระมัดระวัง

 

 

เดิมทีฮั่วฉินเยี่ยนไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ แต่ขัดเวินหลานฉีผู้เอาแต่ยืนกรานไม่ได้ จึงตามเธอไปอย่างเชื่อฟัง

 

 

หลังจากกลับโรงแรม ทั้งสองต่างก็รู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง จึงเอนกายคุยกันบนเตียง

 

 

“อาเยี่ยน เรื่องของบริษัทคุณจัดการเรียบร้อยดีไหม ช่วงนี้ฉันเห็นข่าวด้านลบเกี่ยวกับตงหยวนเยอะแยะมากมายเลยอะ”

 

 

เวินหลานฉียังคงรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง อย่างไรเสียสำหรับพวกหุ้นส่วนมากมายขนาดนั้นแล้ว บริษัทจะทำกำไรได้ไหมถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะข่าวด้านลบของฮั่วฉินเยี่ยนถูกปล่อยออกมาทุกวันนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของเขารวมไปถึงตงหยวนนั้นลดลงอย่างมาก

 

 

“รอผมกลับไปก่อน ผมจะเปิดประชุมผู้ถือหุ้นและงานแถลงข่าว ซั่งกวนเชียนเพิ่งบอกผม ว่าหาหลักฐานรูปภาพประกอบเหล่านั้นได้แล้ว กำลังเตรียมหลักฐานมากพอจะยื่นฟ้องสำนักพิมพ์เมืองหลวงรายวัน แค่คลิปนั้นก็ไม่รู้จะอธิบายเฉพาะหน้าอย่างไรแล้ว จึงทำได้เพียงรอให้พายุระลอกนี้ผ่านพ้นไปละมั้ง…” ฮั่วฉินเยี่ยนคิดแล้วคิดอีก ถึงเอ่ยพูดขึ้นมา

 

 

คลิปวิดีโออะนะ…เรื่องนี้ยากจะสะสางแน่นอนอยู่แล้ว

 

 

เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของเวินหลานฉี ฮั่วฉินเยี่ยนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

 

 

“ฉีฉี เรื่องแค่นี้ผมจัดการได้สบายอยู่แล้ว คุณไม่ต้องทำท่าทางเหมือนตงหยวนต้องปิดกิจการลงก็ได้…” ฮั่วฉินเยี่ยนลูบหัวเวินหลานฉี พลางเอ่ยพูด

 

 

“ฉันเปล่านะ…” เวินหลานฉีทำปากจู๋ แล้วจ้องฮั่วฉินเยี่ยนอย่างโหดเหี้ยม

 

 

“เมื่อวาน…อาเยี่ยน…ขอโทษนะ เป็นเพราะฉันวู่วามเกินไป…ฉันน่าจะถามความจริงให้แน่ชัดก่อน แต่พอฉันเห็นข่าวเมื่อวาน แล้วบังเอิญได้ยินเสียงคุณคุยโทรศัพท์พอดี ก็เลยคิดว่า…ดังนั้น…” เวินหลานฉีหยุดน้ำเสียงแล้วกัดปาก ด้วยไม่รู้ต้องอธิบายอย่างไรถึงจะดี

 

 

“ยัยบื้อ คุณจะคิดอย่างนั้นก็ไม่แปลก ผมไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก”

 

 

“ว่าแต่คุณเถอะ คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นต่อจงเทียนก็ไม่น้อยเหมือนกันไม่ใช่เหรอ คุณว่ายังไงบ้างล่ะ” ฮั่วฉินเยี่ยนยิ้มพลางเอ่ยพูด

 

 

เขาจะไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้กับเธอแน่นอนอยู่แล้ว แค่เธอยอมอยู่ข้างกายเขา ฮั่วฉินเยี่ยนก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว การทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อเธอตอนนั้นสร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้เขาคิดเพียงอยากจะชดใช้เธอเท่านั้น

 

 

“เรื่องคำวิพากษ์วิจารณ์พวกนั้นไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากมาย แค่ไม่สนใจพวกเขาก็พอแล้ว” เวินหลานฉีพูดไป ก็พลอยลืมว่าตนกำลังถูไถอยู่ในอ้อมกอดของฮั่วฉินเยี่ยนอีกครั้ง

 

 

“ฉีฉี…ต่อไปนี้อย่าหนีไปจากผม…อีกได้ไหม…” ฮั่วฉินเยี่ยนเงียบอยู่นานกว่าจะพูดประโยคนี้ออกมา เขากลัวเธอจะจากไปจริงๆ

 

 

เวินหลานฉีกอดฮั่วฉินเยี่ยน ฝังพวงแก้มลึกลงบนแผงอกกว้างของเขา แล้วร้องไห้กระซิกเบาๆ …

 

 

“ฉันไม่ไป…ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น…”

 

 

“อาเยี่ยนฉันสัญญา ว่าฉันจะไม่ห่างคุณไปไหนอีกตลอดชีวิตนี้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะแก่เฒ่า เจ็บป่วย หรือตาย ไม่ว่าคุณจะทำกับฉันยังไง ฉันก็จะไม่ห่างจากคุณไปไหนทั้งนั้น!”

 

 

เวินหลานฉีเงยหน้า หางตายังคงมีหยาดน้ำตาเป็นประกายประดับอยู่ หากแต่สายตาคู่นั้นกลับแน่วแน่อย่างยิ่ง เธอจะไม่ตัดสินใจอะไรวู่วามง่ายๆ อีกแล้ว เพราะเธอไม่อยากทำร้ายเขาอีก หรือทำร้ายให้น้อยที่สุด

 

 

เวินหลานฉีไม่รู้ว่าประโยคนี้ของเธอจะกลายเป็นศรัทธาเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งจะประคับประคองฮั่วฉินเยี่ยนไปอีกหลายปีในอนาคต

 

 

ใช่ เพียงเพราะคำสัญญาของเธอ เพียงเพราะเธอบอกว่าไม่ว่าอย่างไรเธอจะไม่ไปจากเขาแค่เท่านั้น

 

 

ทว่ากลับกลายเป็นหลักค้ำจุนอันยิ่งใหญ่ของฮั่วฉินเยี่ยน แน่นอนว่านั่นเป็นคำพูดในภายหลัง

 

 

หลังจากหลายวันผ่านไป ทั้งสองก็กลับมาถึงเมืองหลวง

 

 

ทั้งซั่งกวนเชียนและเฉิงหมิงต่างมารวมตัวกันอยู่ในห้องทำงานของฮั่วฉินเยี่ยน

 

 

“บอส เรายื่นอุทธรณ์สำนักพิมพ์เมืองหลวงรายวันสำเร็จแล้ว อีกไม่นานศาลจะพิจารณาคดี ส่วนเรื่องคลิปนั้นพวกเขาบอกแค่ว่ามีคนโทรศัพท์มาบอก แต่เบอร์โทรศัพท์ของผู้ปล่อยข่าวนั้นไม่สามารถติดต่อได้…” ซั่งกวนเชียนพูด

 

 

“ไม่เป็นไร ผมมีในใจอยู่แล้วว่าคนนั้นเป็นใคร หลายวันมานี้ลำบากคุณแล้ว” ฮั่วฉินเยี่ยนยิ้มเย็น นัยน์ตาคล้ายจะอ่านใจคนได้ทะลุปรุโปร่ง ทำให้ซั่งกวนเชียนรู้สึกกลัวจนตัวสั่นงันงกอยู่บ้าง หากแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย

 

 

“บอส…คุณ…คุณรู้?” ซั่งกวนเชียนทนไม่ไหว จนหลุดปากถามออกไป

 

 

“อืม ผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร” เมื่อเห็นว่าฮั่วฉินเยี่ยนไม่อยากบอกเขา ซั่งกวนเชียนก็หุบปากไปอย่างรู้จักวางตัว

 

 

หึ เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าคนนั้นเป็นใคร

 

 

คนอื่นมองไม่ออก เขายังคิดจริงๆ เหรอว่าเขาฮั่วฉินเยี่ยนจะไม่รู้จักตัวเขา ตัวเขามีขนอ่อนกี่เส้น ฮั่วฉินเยี่ยนล้วนรู้ชัดดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรอยปานนั้นเลย

 

 

แค่ฮั่วฉินเยี่ยนคิดไม่ถึงอยู่หน่อย ว่าเหยียนน่าจะตอบรับคำขอของฮั่วจวินง่ายดายขนาดนี้ แต่…ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายสักเท่าไร อย่างไรเสียเธอก็แค่ผู้หญิงสะเพร่าเองละนะ

 

 

ดูท่าแล้วที่ปล่อยเธอหนีไปครั้งก่อน จะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเขาจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้เขาต้องจัดการเธอให้ได้ ฮั่วฉินเยี่ยนคิดอย่างใจเย็น

 

 

ในบาร์เหล้าแถบชานเมือง หญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดเดรสสั้นเกาะอก แต่งหน้าแบบสโมกกี้อายนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งในบาร์ รองเท้าส้นสูงจิกพื้น ซึ่งไม่รู้ว่ากำลังรอใครอยู่

 

 

ทันทีหลังจากนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อแจ็คเก็ต และกางเกงสีดำ พร้อมหมวกแก๊ป แว่นตากันแดด และผ้าปิดปากก็เดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามเธอ หันมองรอบๆ เล็กน้อย จากนั้นก็ถอดแว่นกันแดดกับผ้าปิดปากโยนลงบนโต๊ะอย่างโหดเหี้ยม

 

 

“ฮั่วจวิน? คุณขี้ขลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้กลัวโดนพี่ชายที่แสนดีของคุณจับได้น่ะ”

 

 

ไม่ผิดหรอก ผู้หญิงคนนั้นคือเหยียนน่า เธอกำลังรอดูด้วยสีหน้าหัวเราะเยาะ ว่าฮั่วจวินจะจัดการอย่างไรกับแผนที่เขาเคยพูดเสียดิบดี ว่าจะ ‘ไม่มีทางพลาด’

 

 

“เหยียนน่า นี่คุณหมายความว่าไง คุณคิดว่าฮั่วฉินเยี่ยนรับมือง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง! ผมเสี่ยงอันตรายช่วยคุณทำลายเขาเลยนะ แล้วนี่คือท่าทีที่ควรมีต่อพันธมิตรของคุณเหรอ!” ฮั่วจวินลนลานอยู่บ้าง ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความเย็นชาและบึ้งตึง

 

 

แน่นอนว่าท่าทีของเหยียนน่าต่อฮั่วจวินนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร พอนึกถึงตอนเขาบอกตนว่าแค่ขึ้นเตียงกับเขา โดยอาศัยว่าใบหน้าของเขาละม้ายคล้ายคลึงกับฮั่วฉินเยี่ยนอยู่บ้าง เขาถึงจะทำให้ฮั่วฉินเยี่ยนชื่อเสียงป่นปี้ได้

 

 

แล้วตอนนี้ล่ะ? แน่นอนว่าเธอไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว ถ้าแผนล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะพอคิดถึงใบหน้าของฮั่วจวิน เหยียนน่าก็ไม่ได้รู้สึกขยะแขยงเท่าไรนัก

 

 

“ใช่ ฮั่วฉินเยี่ยนน่ะรับมือยาก แต่ตอนแรกคุณรับประกันกับฉันที่นี่ด้วยคำสาบานที่น่าเชื่อถือ ว่าจะต้องทำให้เขาชื่อเสียงป่นปี้ให้ได้ไม่ใช่เหรอ แล้วเป็นไง แผนล้มเหลวไม่เป็นท่า แล้วยังจะไม่ให้ฉันพูดได้ไง” เหยียนน่ายิ้มเหยียดหยามยิ่งกว่าเดิม

 

 

“คุณ…” ฮั่วจวินรู้สึกน้ำท่วมปากไปชั่วขณะ