ตอนที่ 67 ค่ำคืน ลับๆ ล่อๆ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูจุนทำเหมือนตอนที่นางยังเป็นเด็กน้อย จะต้องเล่านิทานก่อนนอนให้นางฟังก่อน จึงจะยอมให้นางเข้านอนได้ 

 

 

เพียงแต่นิทานของเขานั้นแสนสยดสยอง อะไรนิดอะไรหน่อยก็ฆ่าคนวางเพลิง ชนิดที่ว่าฟังแล้วตู๋กูซิงหลันปราศจากความง่วงเหงาหาวนอนแม้แต่น้อย ในสมองเต็มไปด้วยภาพซากศพเกลื่อนภูเขาล้นทะเล 

 

 

เมื่อหัวค่ำลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขานำสมุดบัญชีและกุญแจคลังสมบัติในเมืองหลวงทั้งหมดมาส่ง 

 

 

ฟังว่าเพราะเรื่องนี้นางเจียงซื่อถึงขนาดกระอักเป็นเลือด โกรธแทบเป็นแทบตายแล้ว 

 

 

ตู๋กูจุนเอาสิ่งของทั้งหมดนั่นมอบให้ตู๋กูซิงหลัน ค่อยถามนางว่า “น้องเล็ก พี่ใหญ่จำได้ว่า ก่อนเจ้าเข้าวัง บ้านเราจัดเตรียมสินเดิมให้เจ้าไปไม่น้อย ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นยากจนขนาดนี้ไปได้? “ 

 

 

“หืม? ” ตู๋กูซิงหลันงงงันไปเล็กน้อย……..นางไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยว่าตนเองเคยมีสินเดิมอีกกองใหญ่ 

 

 

เชียนเชียนเองก็ไม่เคยพูดถึง 

 

 

“ไม่ใช่ว่า แอบเอาไปให้ไอ้คนไม่ได้เรื่องจีเย่ว์นั่นแล้ว? ” ตู๋กูจุนจ้องมองนางเขม็ง “หรือว่าถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนนั่นยึดเอาไว้? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนวดศีรษะ ในอ้อมอกมีสมุดบัญชีและกุญแจคลังสมบัติที่ได้คืนมาจากนางเจียงซื่ออยู่ “วันหน้าข้าจะลองนึกๆ ดู….” 

 

 

หึ ผู้ที่กล้าริบสินเดิมของข้า ประหารก่อน ค่อยสอบถามทีหลัง!  

 

 

ตู๋กูจุนตาเป็นประกายวูบหนึ่ง เขารู้เรื่องที่น้องเล็กเสียความทรงจำ แต่นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องสินเดิมของตนเองนางก็ลืมไปด้วย 

 

 

หากให้นางได้รู้ว่า สินเดิมของตนเองยังมากมายก่ายกองกว่าสมบัติพัสถานทั้งหมดของบ้านของโหยวหยู…… เกรงว่านางคงโกรธกริ้วจนนอนไม่หลับทั้งคืนแน่ 

 

 

 

 

 

……………………………………………………………. 

 

 

 

 

 

ยามดึกคืนนั้น ตู๋กูซิงหลันที่หลับสนิทอยู่พลันได้กลิ่นคาวโลหิตจนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา 

 

 

สายลมภายนอกพัดโหม ส่งเสียงหวีดหวิว กลางคืนมืดมิด มีเพียงแสงดาวกระพริบเล็กน้อย ต้นไฮ่ถางไหวเอน เงาไม้ทอดลงบนกรอบหน้าต่าง กิ่งไม้ที่เสียดสีกับขอบหน้าต่างส่งเสียงครืดๆ  

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันหน้ามองไปโดยรอบ ก็เห็นแต่เพียงเชียนเชียนที่นอนอยู่บนเตียงด้านข้างหลับสนิทไปแล้ว สาวน้อยนี่หลับลึกยิ่งนัก ต่อให้ฟ้าผ่าลงมายังไม่รู้สึกตัว 

 

 

ผ่านไปอีกครู่กลิ่นคาวโลหิตยิ่งทียิ่งเข้มข้น 

 

 

นางตัดสินใจกลั้นลมหายใจเอาไว้ เท้าข้างหนึ่งก็เขี่ยปลุกเจ้าวิญญาณทมิฬที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา มือข้างหนึ่งก็ล้วงเอายันต์สีเหลืองออกมาแผ่นหนึ่ง 

 

 

เจ้าวิญญาณทมิฬกรอกตาด้วยความง่วงงุน ครั้นรู้สึกได้ถึงธาตุหยินที่เข้มข้นก็ได้สติคึกคักขึ้นมา 

 

 

” ฮัดช่า มีไอ้ตัวแสบที่ไหนมารึ? วะ ฮ่ะ ฮ่า อาหารของอั๊วมาแล้ว! ” มันส่งเสียงไม่ทันขาดคำ ตัวอ้วนกลมก็ทำท่าจะกระโดดดึ๋งออกไปแล้ว 

 

 

ยังไม่ทันจะได้ออกไป ก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดเบาๆ จากปากประตู เงาดำขุมหนึ่งย่างกรายเข้ามาด้วยมือเท้าที่เงียบเฉียบ มุ่งตรงมาที่นาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันแกล้งทำเป็นหลับใหล เพียงครู่เดียวก็รู้สึกถึงกระแสธาตุหยินที่ไหลบ่าเข้ามา 

 

 

และเพราะทั้งธาตุหยินและกลิ่นคาวคละคลุ้งปนกัน ยิ่งทำให้ได้กลิ่นแล้วยิ่งรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวมากขึ้น 

 

 

เงาดำนั่นเดินมาถึงข้างเตียงของนาง ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มแสยะที่โหดเ**้ยม คนผู้นั้นยื่นมือออกมาจากผ้าคลุม ในมือมีกระดิ่งอยู่อันหนึ่ง ยามที่คนผู้นั้นกำลังจะสั่นกระดิ่งตู๋กูซิงหลันพลันลืมตาขึ้นมา 

 

 

เงาดำผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย ปฎิกิริยาตอบกลับแรกยังคงพยายามจะสั่นกระดิ่งอีกครั้ง แต่พลันพบว่าตนถูกตู๋กูซิงหลันคว้ามือเอาไว้ ชิงเอากระดิ่งไป ทั้งยังยิ้มให้บางๆ “น้องสาว เจ้าวิ่งมาหาเราทั้งยามดึกเพราะคิดจะเอาของขวัญมาให้หรือ? “ 

 

 

“ให้ของขวัญก็ให้ของขวัญสิ เจ้าจะต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปเพื่อ? ” ตู๋กูซิงหลันกุมกระดิ่งนั่นไว้ในมือ สายตาก็จดจ้องไปยังตู๋กูเหลียน 

 

 

ตู๋กูเหลียนในยามนี้ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยเส้นเลือด ด้านหลังของนางยังมีเงาผีสีแดงที่ผอมยาวตนหนึ่ง ผีนั่นเกาะอยู่บนหลังของนาง นิ้วมือที่ยาวเฟื้อยเกาะกุมอยู่รอบคอของนาง แสยะยิ้มหัวเราะออกมา ทั้งยังใช้ดวงตาโลหิตคู่นั้นจ้องมองตู๋กูซิงหลัน ในดวงตามีความตะกละตะกลามเล็ดลอดออกมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เมื่อมาถึงโลกมิตินี้ นางอย่างมากก็ได้เจอแต่ผีโดดเดี่ยวในตำหนักเย็น ต่อมาก็เผชิญกับผึ้งพิษของหยวนเฟย สิ่งที่เผชิญอยู่เบื้องหน้านี้กลับเป็นครั้งแรก 

 

 

 

 

 

วิญญาณชุดแดงนั่นเป็นวิญญาณผีตายโหง มีพลังมากกว่าวิญญาณทั่วไป 

 

 

เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณไม่สลายแต่รวมตัวกับความแค้นและธาตุหยินจนเป็นร่างเดียว อาศัยความแค้นเสาะหาและสิงสู่ร่างใหม่ และดูดกลืนพลังชีวิตของร่างสถิตตลอดเวลา กระทั่งร่างสถิตอ่อนล้าจนตาย แม้ตายแล้วจิตก็ยังต้องถูกวิญญาณตายโหงเหล่านี้ดูดกลืนกินลงไป ไม่อาจไปผุดไปเกิดใหม่ได้ตลอดชาติ 

 

 

วิญญาณพวกนี้ยามกลางวันหลบซ่อนในร่างสถิต ยามค่ำคืนจึงค่อยออกมา แต่การเข้ามาสิงสถิตเช่นนี้ปกติย่อมต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่างเดิมจึงจะเกิดขึ้นได้ 

 

 

ตู๋กูเหลียนจะต้องมีความเคียดแค้นถึงเพียงไหนถึงได้ยินยอมขายตนเองทิ้งแบบนี้? “ 

 

 

ไม่น่าละเมื่อกลางวันนี้นางถึงได้รู้สึกว่าตู๋กูเหลียนมีท่าทีไม่ถูกต้อง 

 

 

เจ้าวิญญาณทมิฬกลับน้ำลายไหลขึ้นมาแล้ว หากไม่ใช่ว่าตู๋กูซิงหลันยังรั้งมันไว้ ตอนนี้มันคงปรี่เข้าไปจัดการแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันทำเสมือนว่ามองไม่เห็นวิญญาณตายโหงนั้น นางลุกขึ้นมานั่ง สางผมที่ข้างหู ” ข้าเดาว่าเจ้ามาเพื่อแสดงความขอบคุณสินะใช่ไหม? เพราะว่า ครั้งนี้ที่เจ้าสามารถออกจากลานซักล้างได้ ก็เป็นเพราะผลงานของเราและพี่ใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย”  

 

 

ตู๋กูเหลียน “…..” นังคนชั่วนี่ช่างหน้าหนานัก!  

 

 

“เราเข้าใจแล้ว นิสัยเจ้าหยิ่งทนง อยู่ต่อหน้าผู้คนย่อมไม่อาจยอมลงให้เราได้ ถึงได้ต้องมาขอบคุณเอายามดึกดื่นเช่นนี้” ตู๋กูซิงหลันพูดจบก็ยื่นมือมาลูบศีรษะตู๋กูเหลียนแผ่วเบา ธาตุหยินซึมอยู่เพียงแค่ผิวกาย ผีตายโหงนั่นพึ่งเข้าสิงได้ไม่นาน 

 

 

หากว่าตู๋กูเหลียนยอมกลับใจ ก็ยังสามารถช่วยเหลือได้ 

 

 

สำนักอาจารย์มีกฎบัญญัติอยู่ ร่างสถิตที่ถูกผีเข้า หากช่วยได้ต้องช่วย หากช่วยไม่ได้ยังถือว่าถูกขอร้อง 

 

 

ตู๋กูเหลียนขมวดคิ้วนิ่ง ยามตู๋กูซิงหลันสัมผัสนาง ทำให้นางรู้สึกรังเกียจเกินทน 

 

 

ถือเสียว่าทำเพื่อสำนักอาจารย์ก็แล้วกัน ตู๋กูซิงหลันกล่าวช้าๆ ด้วยความจริงใจ “พวกเราต่างก็เป็นคนตระกูลตู๋กูเหมือนกัน มีบรรพชนเดียวกันสมควรร่วมเป็นร่วมตาย หากอยู่ร่วมรังเดียวกันแต่โจมตีกันเองย่อมมีแต่สองฝ่ายสูญเสีย เจ้าเป็นเด็กฉลาด สมควรรู้ว่า อยู่ฝ่ายเดียวกับเราจึงจะเป็นทางที่ดีที่สุด” 

 

 

” มาๆ บอกเรามาสิเจ้าลำบากขัดข้องตรงไหน เราจะช่วยเจ้าเอง” 

 

 

ตู๋กูเหลียนอยากจะหัวเราะนัก ดูนังตัวร้ายนี่ร้อนรนเข้าสิ ไม่รู้เลยว่ามันเอาความมั่นอกมั่นใจมาจากไหนกัน” 

 

 

นางเกลียดชังมันเข้ากระดูกดำ มีหรือจะยอมศิโรราบต่อมัน?  

 

 

มันคิดหรือว่า แค่มีหน้าตาดีสักหน่อย พูดจาหวานหูสักหน่อยคนอื่นก็จะพากันหลงเชื่อมันแล้ว?  

 

 

ดูท่าทางของของนังตัวร้ายนี่สิ ทึกทักเอาเองว่านางจะต้องยอมอยู่ข้างมัน มอบใจกายทุกอย่างให้มันอย่างซื่อสัตย์ 

 

 

นางยิ้มเย็น ค่อยแสร้งทำสีหน้าหดหู่น่าสงสารออกมา กล่าวกับตู๋กูซิงหลันว่า “พี่สาว ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะเป็นคนดีขนาดนี้ ท่านพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพลันมีสีหน้า ‘ปลาบปลื้มใจ’ ตั้งใจฟังตู๋กูเหลียนพูดต่อ “ข้ามีความลับบางอย่างจะบอกท่านเจ้าค่ะ” 

 

 

“หืม? ” ตู๋กูซิงหลันใช้ดวงตาเปล่งประกายยินดีจ้องมองนาง “ว่ามาเลยสิ” 

 

 

” ครั้งก่อนที่ท่านเกือบจะต้องเสียโฉม เป็นเพราะเต๋อเฟยบงการให้ฉีผินลงมือทำเจ้าค่ะ น่าเสียดายช่างปากแข็งนัก ทั้งที่ผ่านมาก็หลายวันแล้ว แต่กรมราชฑัณฑ์กลับสืบไม่ได้อะไรเลย” 

 

 

ตู๋กูเหลียนพูดไปๆ ก็ก้มหน้าลง ท่าทางสำนึกผิดอย่างที่สุด “ที่จริง วันนั้นเต๋อเฟยมาหาข้า แต่ตัวข้าถูกกักอยู่ในล้างซักล้างอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ปฎิเสธไป และเพราะก่อนหน้านี้ข้าโกรธแค้นท่านอย่างมาก จึงไม่ได้บอกท่านก่อน ท่านไม่โกรธข้าใช่ไหมเจ้าคะ? “