บทที่ 222 ไม่จำเป็นต้องพูดแรงแบบน

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ทันใดนั้น เธอก็ลุกขึ้น วางตะเกียบในมือลง แล้วลุกจากโต๊ะไป

“หยาดฝน เราจะไปไหน?”สุนันท์มองการกระทำที่หุนหันของเธออย่างสับสน

“หนูมีธุระ จะออกไปข้างนอกสักหน่อย ไม่มีกินอาหารเช้าด้วยแล้วนะคะ”วิ่งขึ้นไปชั้นบน เสียงของเธอก็ดังแว่วมา

ที่สนามบิน

ออกัสอุ้มซาราง เดินไปในห้องโถง ผู้ช่วยเตโชไปรับตั๋วเครื่องบิน และเขาก็กำลังรอ

เมื่อหันมองไป ก็บังเอิญเห็นหัสดินกับยู่ยี่จากที่ไกลๆเดินใกล้เข้ามา คิ้วที่เรียวยาวของเขาก็เลิกขึ้น

“คุณชายออกัส”ในมือของหัสดินมีกระเป๋าเดินทาง ดวงตาคู่คมยิ้มอย่างสดใส“ตอนนี้เลื่อนขั้นเป็นพ่อคนแล้ว อุ้มลูกนี่ จะไปไหนกันครับ?”

“เมืองทะเลหทัย พวกคุณล่ะ?” ออกัสคลายมือ ให้ยู่ยี่อุ้มซารางออกไปจากแขน

ซารางกับยู่ยี่ก็ค่อนข้างจะสนิทกันมาก สองมือเล็กๆโอบไปที่ลำคอของยู่ยี่ หอมไปที่แก้มของเธอ แล้วเอ่ยเรียกุณน้ายู่ยี่

“ช่วงนี้ที่บริษัทกำลังจะมีโครงการใหม่ เลยจะไปที่ซานไบล์สักหน่อย ช่วงนี้สุขภาพของเธอไม่ค่อยจะแข็งแรง ก็เลยไม่ได้ไปด้วย วันนี้จึงมาส่ง ”

ทั้งสองก็พูดคุยกันอยู่อีกสักพัก ในตอนนี้ ผู้ช่วยเตโชกลับมาพร้อมตั๋วเครื่องบิน เสียงตามสายก็ประกาศให้เช็กอินได้ กล่าวทักทายกันเสร็จ ออกัสก็อุ้มซารางมา แล้วจากไป

ยู่ยี่ยังคงโบกมือให้กับซาราง ใบหน้ายิ้มแย้ม ละมุน และเปี่ยมล้นไปด้วยความอ่อนโยน

“ที่รัก ส่งแค่นี้ก็พอ จะขึ้นเครื่องแล้ว มา ขอกอดหน่อย ”หัสดินยื่นมือมา ดึงร่างยู่ยี่มาไว้ในอ้อมแขน

“ไปเถอะค่ะ ดูแลตัวเองนะ ” ยู่ยี่ยกยิ้ม ดันร่างเขาออก“ เหมือนจะเริ่มตรวจสัมภาระก่อนขึ้นเครื่องแล้ว ไปเถอะค่ะ”

โน้มตัวลง หัสดินก็หอมไปที่แก้มของยู่ยี่ จากนั้นก็เดินไปยังจุดตรวจสัมภาระ

ยู่ยี่ยืนอยู่ที่เดิม มองดูเขาเดินผ่านจุดตรวจนั้น โบกมือแล้วส่งยิ้มให้ รอจนร่างนั้นหายลับไป เธอก็หันหลัง และออกจากสนามบินไป

ปล่อยวางเรื่องเก่าๆของเขาลง ไม่เก็บมันเอามาคิด และไม่มีท่าทีเย็นชากับเขาอีก ไม่ทำตัวเหมือนเม่นที่พองขนให้ตั้งชันเพื่อกันเขาออก ชีวิตในตอนนี้ ก็ถือว่าไม่เลวเหมือนกัน

แม้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเธอจะยังลืมมันไม่ได้ แต่ก็จะพยายามควบคุมตัวเอง ไม่หยิบยกเอามาเป็นเครื่องมือและต่อว่าอีกฝ่ายทุกครั้งที่มีปากเสียงกัน ทำให้ทั้งสองคนต้องมาเจ็บปวดราวกับมีหนามคอยทิ่มแทงไปทั่วร่างอีก

บนเครื่องบิน

เก็บกระเป๋าเดินทางเข้าที่เรียบร้อย หัสดินก็ล้มตัวลงอย่างเกียจคร้าน ราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดโทรออก โทรไปยังหมายเลขหนึ่ง

“ขึ้นเครื่องหรือยัง”?”

“ขึ้นแล้ว กำลังจะบิน คุณล่ะ”เสียงของเรนนี่ อ่อนโยนและตราตรึงใจมาก

“ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนเครื่อง นีนี่ไหน เรียกพี่ ให้ผมฟังอีกครั้งสิ”เขาเน้นคำพูด น้ำเสียงเบา และคิดถึงคำนี้จริงๆ มีความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ถูก

เรนนี่รู้สึกรำคาญเล็กน้อย แต่ก็ทำเสียงอ่อนเสียงหวาน พอที่จะทำให้ผู้ชายคนหนึ่งระทวยได้ “พี่ค่ะ……”

หัสดินหรี่ตาลงเมื่อได้ยินมัน จากนั้นก็จึงพูดขึ้นว่า“เราไปฮีทนาร์หาที่พักก่อน รอผมจัดการธุระที่ซานไบล์เสร็จ จะบินไปหาเราที่ฮีทนาร์”

“ฉันไปซานไบล์ด้วยไม่ได้เหรอคะ ? ฉันเบื่อที่จะเที่ยวคนเดียวแล้ว มันเหงา”

“เด็กดี ซานไบล์มีนักข่าวเยอะเกินไป ที่นั่นมันไม่เหมาะ แค่ไม่กี่วันเอง รอไม่ไหวแล้วเหรอ?”

เรนนี่เป็นคนว่าง่าย และรู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเบื่อหน่ายและรังเกียจ“ก็ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะรอคุณที่ฮีทนาร์นะคะ”

“ดีมาก ไหน เรียกพี่ให้ฟังอีกทีสิ……”

ในตอนนี้ พนักงานต้อนรับบนเครื่องก็เดินมา ใบหน้ายิ้มแย้มและสุภาพ พูดขึ้นว่า“ คุณผู้ชาย เรากำลังจะนำเครื่องขึ้น รบกวนปิดเครื่องมือสื่อสารด้วยค่ะ”

เลิกคิ้วขึ้น ดวงตาเรียวเล็กกะพริบถี่ เมื่อได้ยินคำเรียกพี่ดังขึ้นมา หัสดินก็กดวางสาย และปิดเครื่องทันที

ทั้งสองคนได้ตกลงกันไว้แล้ว ว่าจะแยกกันไป เรนนี่ไปฮีทนาร์ก่อนเพื่อทำการจองห้องพัก รอหัสดินจัดการกับธุระของบริษัทแล้วเสร็จ ก็จะบินตามไป แล้วนัดเจอกัน

ซานไบล์มีนักข่าวมากเกินไป ด้วยสถานะของหัสดิน ก็ย่อมต้องถูกจับตามอง แต่ถ้าหากเป็นที่ฮีทนาร์ก็จะต่างออกไป

……

ที่เมืองทะเลหทัย

เมื่อมาถึงที่พัก ก็เห็นเพียงประตูถูกล็อกเอาไว้ ราวกับไม่มีคนอยู่

มือที่ขาวนวลของซารางทุบไปที่ประตู และตะโกนเสียงดังหน้าประตู “หม่ามี๊ หนูกลับมาแล้ว เปิดประตูให้หน่อย หม่ามี๊!”

ในห้องไม่มีเสียงตอบกลับ เมื่อเห็นดังนั้น ออกัสก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดโทรออก เสียงที่ดังเป็นเสียงของระบบตอบรับอัตโนมัติ

เขาไม่ได้วางสาย แต่ยังกดเบอร์เดิมนั้นอยู่ซ้ำๆ และเสียงที่ดังก็ยังคงเป็นเสียงของระบบตอบรับอัตโนมัติ

ป้าที่อยู่บ้านข้างๆออกไปขายผัก เมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาดียืนอยู่ที่หน้าประตู แล้วยังมีซารางอีกคน พูดด้วยความหวังดีว่า“ซารางเหรอ หม่ามี๊ไม่อยู่บ้านนะ”

“คุณป้า แล้วหม่ามี๊กับคุณอาองค์ชายเขาไปไหนกันคะ ?”

“หม่ามี๊เรากับคุณอาองค์ชายวันนี้ไปถ่ายรูปแต่งงาน น่าจะอีกสักพักถึงจะกลับ มารอที่บ้านป้ากันไหม?”

วันนี้ตอนที่เธอไปออกกำลังกายในตอนเช้า ก็เห็นคุณครูเชอร์รีนเข็นรถเข็นออกไป และยังคุยโทรศัพท์ไปด้วย เกี่ยวกับเรื่องถ่ายรูปแต่งงานอะไรประมาณนั้น เธอเองก็ได้ยินมันไม่ชัด

เมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าของออกัสก็เปลี่ยนเป็นมืดมนในทันที ราวกับจะแช่คนให้แข็งเป็นน้ำแข็งได้ เส้นเลือดที่หลังมือก็ปูดออก อยากจะกำโทรศัพท์ในมือให้แหลก

ถ่ายรูปแต่งงาน เหอะ เธอช่างกล้าจริงๆ!

ทิ้งลูกเอาไว้ให้เขา แล้วเธอก็กลับเมืองทะเลหทัย มาถ่ายพรีเวดดิ้งกับผู้ชายคนอื่น ไฟร้อนระอุเดือนดาลไปทั่วร่าง ราวกับจะแผดเผาทุกอย่างให้วอด

“ไม่ทราบว่า เขาไปถ่ายรูปแต่งงานกันที่ไหนครับ ? ”น้ำเสียงที่ทุ้มลึกของเขาเจือไปด้วยความเย็นเยือก

เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าความคิดเธอที่อยากจะแต่งงานกับองค์ชายนั้นจะแน่วแน่แบบนี้ ตอนนี้ถึงขั้นไปถ่ายพรีเวดดิ้งกันแล้ว ร่างที่กำยำก็เกร็งตัวแน่น และเก็บกด

“อันนี้ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ดูๆแล้วก็น่าจะใกล้กลับมากันแล้วล่ะ ออกไปกันตั้งแต่เช้ามืด นั้นไง กลับมากันแล้ว”

หันหลังไป แล้วมองไปตามระยะสายตา เชอร์รีนเข็นรถเข็นขององค์ชายเดินเข้ามา ทั้งสองคนยังคงพูดคุยกันอยู่ตลอด

เมื่อเห็นออกัส ท่าทีของเชอร์รีนก็แข็งทื่อและประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าเขาจะพาซารางกลับมาที่เมืองทะเลหทัย ในตอนที่คุยโทรศัพท์กัน เธอก็ได้พูดทุกอย่างออกไปหมดแล้ว

ก้าวเดินไปข้างหน้า ขาที่เรียวยาวของออกัสขยับเคลื่อนไหว เดินเข้าไปหา นัยน์ตาดำขลับจ้องเขม็งมองไปที่เชอร์รีน มุมปากยิ้มเยาะ

“ที่แท้ ที่คุณไม่ไปรับลูก เพราะห่วงแต่จะถ่ายพรีเวดดิ้งกับผู้ชายคนอื่นนี่เอง ก็คงจะยุ่งจริงๆสินะ”

“หากคุณออกัสบอกก่อน เราไปรับได้อยู่แล้ว ดังนั้น คุณออกัสมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้คำพูดแรงๆแบบนี้ด้วย ”

องค์ชายไม่ชอบคำพูดของเขาที่พูดออกมา น้ำเสียงก็จึงเย็นชาด้วยเล็กน้อย

ออกัสเลิกคิ้วขึ้น แล้วหันมองไป ดวงตาดำขลับ น้ำเสียงประชดประชัน “เรางั้นเหรอ ? เหอะ นายตำรวจองค์ชายสวมบทบาทได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ? ผมไม่ได้ถามนายตำรวจองค์ชาย ดังนั้น นายตำรวจองค์ชายไม่จำเป็นต้องตอบ”