บทที่ 117 พังทลาย

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 117

พังทลาย

เหยียนลี่หยางยิ้มให้เย่เย่อย่างพึงพอใจ และเดินจากไปอย่างเงียบๆ หลังจากชายผู้มีคุณลับตาเขาไปได้ไม่นาน เฉินเจียนโปและพรรคพวกที่รอดูผลลัพธ์การต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อก็เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมอย่างทะเล่อทะล่า

“เหวอออ” เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นสภาพของ หยางเฟิงเฟิงที่ถูกแช่แข็งทั้งเป็นก็อุทานออกมาด้วยความตกอกตกใจ พวกเขาเดินเข้ามาโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการต่อสู้จบลงไปตอนไหน แต่เมื่อเสียงเงียบลงพวกเขาจึงตัดสินใจเดินเข้ามา

พวกเขาพบว่าสายตาที่เย่เย่มองพวกเขาเปลี่ยนไป เหงื่อเม็ดใหญ่ก็ไหลลงมาจากหน้าผากของพวกเขาด้วยความกังวล

“ยินดีด้วยขอรับนายท่าน ที่ท่านเอาชนะศัตรูได้”

“สมกับเป็นท่านเย่ผู้ไร้เทียมทาน!”

เฉินเจียนโปและพรรคพวกของเขาคุกเข่าพูดสรรเสริญ เย่เย่อย่างพร้อมเพรียงกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สายตาของเย่เย่ที่มองพวกเขาเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

“พวกเจ้าดูผิดหวังนะที่ข้ายังไม่ตายน่ะ?” เย่เย่จ้องตาเฉินเจียนโปและเหล่าลูกน้องของเขาด้วยความเยือกเย็น

“ทะ..ท่านเย่หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ? ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ” ใบหน้าของชายร่างใหญ่เริ่มถอดสี แต่น้ำเสียงและนัยน์ตาของเขายังคงทำไขสืออยู่

เย่เย่หัวเราะหึออกมาจากลำคออย่างประชดประชัน ก่อนที่เขาจะเผยไต๋ของเฉินเจียนโปและพรรคพวกออกมาอย่างไม่ไว้หน้า “หึ! พวกนักโทษบอกข้าถึงแผนการของพวกเจ้าไว้หมดแล้ว!”

แม้ว่าชายร่างใหญ่เฉินเจียนโปเพิ่งเข้าร่วมกับหอการค้า หยูเย่ได้ไม่นานนัก แต่ด้วยความสามารถไหวพริบปฏิภาณของพวกเขา ทำให้เย่เย่มักตกรางวัลให้พวกเขาอย่างเป็นกอบเป็นกำ หาก

เสวี่ยหยูไม่รับช่วงต่อจากเสี่ยวหยูตามที่เขาต้องการละก็ เขาคงให้เฉินเจียนโปมาคุมบังเหียนกิจการภายในแทนไปแล้ว

ก่อนที่เขาจะรู้ความจริงจากปากนักโทษว่าเฉินเจียนโปแอบติดต่อกับตระกูลมู่หรงอย่างลับๆ แม้ว่าเขาจะรู้อยู่เต็มอกว่ามีสายสืบแฝงตัวในคนของเขา เขาไม่เคยสงสัยชายท้วมคนนี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเย่เย่นึกย้อนไปเขาจึงรู้สึกดีที่วันนั้นเสวี่ยหยูตอบรับคำเชิญของเขา

“นายท่าน ท่านคิดมากเกินไปแล้ว! ข้า เฉินเจียนโปติดหนี้บุญคุณท่านตั้งมากมาย เรื่องอะไรที่ข้าจะกล้าแปรพักตร์ท่านกันเล่า?” แม้ว่าสีข้างของเขาจะเริ่มถลอก แต่ชายร่างท้วมก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะโน้มน้าวผู้เป็นนาย

เย่เย่เอามือจับคางของตน และก้มตัวลงมาจ้องตาพวกเขาในระดับเดียวกัน ก่อนพูดขึ้นด้วยความเบื่อหน่าย “นี่พวกเจ้าคิดว่าข้ากุเรื่องขึ้นรึไง? เช่นนั้นข้าจะบอกให้ว่าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่ายันต์สัจวาจาอยู่ เพียงแปะบนหน้าผากผู้นั้นนอกจากจะพูดความจริงออกมา เขายังจะเชื่อฟังคำสั่งของผู้ถือยันต์อีกด้วย”

เฉินเจียนโปได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ ก่อนหันไปมองบรรดาลูกน้องของตน พวกเขาต่างพากันส่ายหน้าเพียงเพราะไม่เคยได้ยินของวิเศษเช่นนั้นมาก่อน ชายร่างท้วมที่ได้รับการยืนยันดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเงยหน้าพูดกับเย่เย่ด้วยสีหน้าราวกับเป็นผู้ถูกกระทำ

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าอะไรดลใจท่านให้สงสัยพวกข้าถึงเพียงนี้ หากท่านจะหาเรื่องไล่พวกข้าออกละก็พูดตรงๆมาเลยดีกว่าขอรับ!”

เดิมทีเฉินเจียนโปเป็นถึงเจ้าของหอการค้าขนาดใหญ่ ได้สัมผัสกับสินค้าที่มีคุณสมบัติแปลกประหลาดมามากมายนับไม่ถ้วน แต่เขากับลูกน้องที่ทำงานด้วยกันมานานไม่เคยได้ยินชื่อของยันต์สัจวาจาเลยแม้แต่น้อย พวกเขาจึงมั่นใจว่าเย่เย่อุปโลกน์ขึ้นมาเอง

เย่เย่ทนเสวนากับพวกลวงโลกไม่ไหว เขาจึงหยิบยันต์ออกมาจากแขนเสื้อข้างขวาของเขาและแปะมันเข้าที่หัวของชายท้วมด้วยความเร็วขั้นเทพอสูร

เพี๊ยะ!

“นายท่าน มีอะไรให้ข้ารับใช้ขอรับ?” ทันทีที่ยันต์ถูกแปะบนหน้าผาก เฉินเจียนโปก็โค้งคำนับด้วยความนอบน้อมอย่างกับเป็นคนละคนกับเมื่อสักครู่

“เจ้าจะยังปฏิเสธข้อกล่าวหาหรือไม่?”

เย่เย่ยืนกอดอกหลังพิงกำแพง ก่อนเริ่มการไต่สวนอย่างเรียบง่าย ในใจลึกๆเขาเสียดายความรู้ความสามารถของชายผู้นี้เป็นอย่างมาก

“ไม่ขอรับ ข้าได้สมรู้ร่วมคิดกับตระกูลมู่หรงเพื่อหวังสังหารท่าน รวมไปถึงสร้างความวุ่นวายที่เฟิงเจิ้นเพื่อให้ท่านเข้าต่อสู้กับหยางเฟิงก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนเช่นเดียวกัน ได้โปรดลงโทษข้าสถานหนักด้วยเถิด!” เฉินเจียนโปสำรอกความชั่วร้ายของตนและพรรคพวกออกมาอย่างหมดไส้หมดพุง เขายอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บรรดาลูกน้องของเขาที่เห็นหัวหน้าคายความลับทั้งหมดออกมา ต่างพากันหวาดผวาในพลังอำนาจลึกลับของยันต์ปริศนา พวกเขาที่โดนเปิดโปงจนหมดสิ้นก็ไม่มีอะไรจะพูดไปมากกว่านี้นอกไปเสียจากอ้อนวอนของชีวิตจากผู้เป็นนาย

“ได้โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย ข้าน้อยผิดไปแล้ว นับจากนี้ข้าจะซื่อสัตย์ต่อท่านและไม่มีวันหักหลังท่านอีกเป็นครั้งที่สอง ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ” พวกเขาขอความเมตตาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว

เฉินเจียนโปที่ถูกอำนาจของยันต์ครอบเงาก็เดินขึ้นมาพร้อมกล่าวกับเย่เย่ “นายท่านได้โปรดให้ข้าสังหารพวกเขาด้วยมือของข้าเพื่อชดใช้บาปด้วยเถอะ!”

“เหวออออออ” เมื่อเหล่าลูกน้องของชายท้วมเห็นหัวหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปก็ยิ่งตกใจกลัว พวกเขาเอาแต่คุกเข่าอ้อนวอนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเย่เย่ด้วยซ้ำ

“เลิกคร่ำครวญได้แล้ว เดิมทีพวกเจ้าก็เป็นแค่ลิ่วล้อของเฉินเจียนโป ข้าไม่อยากได้ชีวิตของพวกเจ้าหรอก!” ทันทีที่พูดจบ เย่เย่ก็ได้ร่อนยันต์จำนวนมากไปแปะบนหน้าผากของพวกตัวประกอบ ในชั่วอึดใจพวกเขาทั้งหมดก็ได้กลายเป็นสุนัขของเย่เย่เช่นเดียวกับเฉินเจียนโปไปโดยปริยาย

“ขอบคุณนายท่านที่ไว้ชีวิตพวกข้า บุญคุณครั้งนี้ข้าจะจดจำไปจนวันตาย”

“ยึดตามแผนเดิมของพวกเจ้า รีบกลับไปรายงาน มู่หรงตู่เฟิงว่าข้าตายแล้ว อย่าให้ผิดสังเกตล่ะ”

เย่เย่ถ่ายทอดคำสั่งให้ชายร่างท้วมและพรรคพวก ทั้งหมดคุกเข่ารับฟังคำสั่งแต่โดยดีราวกับว่าเป็นโองการจากสวรรค์ ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกไปปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

“มู่หรงตู่เฟิง ความตายใกล้มาเยือนเจ้าแล้ว” เย่เย่ปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างเยือกเย็นพลางพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา

ทันทีที่เขาออกคำสั่งให้ชายท้วมและลูกน้องกลับไปส่งข่าวปลอมที่จิ้นเฉิง ข่าวจริงของเขาก็มาถึงหูของผู้คนตระกูลเย่ในที่สุด แม้ว่าคฤหาสน์ของพวกเขายังถูกโอบล้อมด้วยศัตรูจำนวนมากแต่พวกเขาก็อดดีใจไม่ได้

“ยอดเยี่ยม! ลูกเย่ของข้าเก่งที่สุด!” เย่เทียนที่ได้รับข่าวก็ลุกพรวดขึ้นมาด้วยความยินดีปรีดาอย่างลืมแก่ เหล่าผู้คนในโถงกลางตระกูลเย่ รวมไปถึงคนใช้ต่างแสดงความดีใจออกมาออกนอกหน้า

“สวรรค์ทรงโปรด! สมกับเป็นเย่เย่ผู้พิชิตหลิงเฉิงจริงๆ! เอ้าชน!” เย่เฉิงไม่รอช้ารินเหล้าลงแก้วก่อนชนแก้วกับเย่เทียน พวกเขาเริ่มกอดคอกันคุยโม้โอ้อวดเกี่ยวกับเย่เย่ไปทั่วภายในตระกูล แม้ว่าคนอื่นๆจะรำคาญตาแก่ขี้เมาสองคนนี้อยู่บ้างแต่พวกเขาก็รู้สึกยินดีกับเย่เย่มากกว่า

นอกจากพวกเขาแล้วยังมี เหล่ยเชิง และเหล่ยถิงจากสำนักจ้าววายุที่ช่วยเหลือพวกเขามาโดยตลอด ทั้งสองเมื่อได้ทราบข่าวพวกเขาต่างถอนหายใจและเอามือทาบอกด้วยความโล่งใจ

‘ท่านเย่ ท่านสร้างปาฏิหาริย์ได้อีกแล้วสินะ!’ เหล่ยถิงคิดในใจพลางนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของเย่เย่ นัยน์ตาของนางเปี่ยมไปด้วยความสุข เย่เย่เป็นเพียงไม่กี่คนที่สร้างความประทับใจให้แม่นางเหล่ยถิงผู้สูงศักดิ์ได้ แม้ว่าจะไม่ได้พบกันแต่การสนับสนุนช่วยเหลืออยู่ห่างๆของนางก็เติมเต็มจิตใจอันว่างเปล่าของนางได้เป็นอย่างดี

สถานการณ์ของฝั่งพันธมิตรดูท่าจะตรงกันข้ามกับฝั่งของอู๋เทียนอยู่พอสมควร เมื่อพวกเขาทั้งสามทราบข่าว สีหน้าของพวกเขาก็ตกตะลึงอย่างเก็บไม่อยู่ เฉินเทียนตงถึงกับหันไปถามสายสืบของเขาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ แต่ข้อมูลก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

“จบเห่ พังหมดทุกอย่าง!”

“เจ้าหยางเฟิงเฟิงเจ้าเด็กโง่ ถ้าใช้กระจกเงาแปดทิศไม่เป็นก็เอามาให้ข้าใช้ซะสิ!”

“แล้วพวกเราจะทำยังไงกันต่อไปดี!?”

ทั้งสามต่างคิดไม่ตกว่าจะรับมือกับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้อย่างไร พวกเขาเอาแต่โทษกันไปโทษกันมา และจมดิ่งไปกับความสิ้นหวัง…