ภายในห้องรับรองที่ปิดประตูแน่นสนิทมีเพียงอัศวินสองนาย อาซ ขุนนางนิรนาม และมิเอล

บนโต๊ะมีอาหารว่างที่เหล่าคนรับใช้เตรียมไว้ตามคำสั่งของเคนวางอยู่

อาซหยิบมันเข้าปากไปชิ้นหนึ่งก่อนจะตรวจดูเอกสารที่ขุนนางส่งมาให้ด้วยสีหน้ารำคาญใจ

“ไม่ใช่ชายหนุ่มวัยผู้ใหญ่ เป็นเพียงบรรดาเลดี้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแต่กลับใช้ยากดประสาทกัน… ช่างน่าตกใจเสียจริง”

“ดะ ดิฉัน…!”

เมื่อมิเอลพยายามจะแก้ตัวกับสิ่งที่อาซพูด อัศวินที่จับแขนเธอไว้ก็ยิ่งออกแรงมากกว่าเดิม ดูเหมือนเธอจะไม่สามารถแก้ต่างอะไรได้ก่อนที่เจ้าชาย

จะเป็นฝ่ายถามเอง

‘ฉันแค่อยากบอกว่าไม่ใช่แต่แค่นี้ก็ยังพูดไม่ได้อย่างนั้นรึ!’ ขอบตามิเอลร้อนผ่าวด้วยความคับแค้นใจ

“นอกจากเลดี้แล้วยังมีคนใช้ยากดประสาทอีกกี่คน”

เขาไม่แม้แต่จะถามว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่ด้วยซ้ำเพราะมั่นใจเรื่องที่เธอใช้ยากดประสาทไปเรียบร้อยแล้ว และเมื่อถูกถามเช่นนั้นมิเอลก็ส่ายหน้าอย่างแรง

“ไม่มีใครใช้ยาจริงๆ นะคะ…!”

“อย่างนั้นหรือ”

สีหน้าของอาซที่ถามกลับไปเช่นนั้นดูนิ่งเฉย

ท่าทีเหมือนเขากำลังฟังเรื่องไร้สาระอยู่อย่างไรอย่างนั้น กระทั่งขุนนางที่ยืนอยู่ข้างอาซก็ยังดูเหมือนจะคิดว่าคำตอบของมิเอลไม่สำคัญเช่นเดียวกัน

“แต่มันไม่มีหลักฐานว่าเลดี้ไม่ได้ใช้จริงจึงพิสูจน์ไม่ได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ามีหลักฐานว่าใช้อย่างนั้นหรือคะ!”

มิเอลออกอาการอาละวาดเมื่ออาซยังยืนกรานหนักแน่นแต่แล้วอาซกลับตอบรับ

“มีสิ”

“ปะ เป็นไปไม่ได้…!”

อาซช่วยบอกเล่าความผิดของมิเอลซึ่งกำลังอ้ำอึ้งด้วยตนเอง

“เลดี้ยืนกรานหนักแน่นว่าเห็นเลดี้อาเรียซึ่งไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์ ณ เวลานั้น และหากเลดี้ไม่ได้ทานยากดประสาทเลดี้จะยืนยันเช่นนั้นได้อย่างไร ที่จริงแล้วเลดี้ก็เป็นคนผลักท่านเคานต์ตกบันไดเสียด้วย”

ขุนนางตอบรับคำพูดของอาซ

“กระผมว่าบางทีอาจมีส่วนของยากดประสาทอยู่ในตัวเธอก็ได้นะขอรับ และยังอาจซ่อนไว้ในห้องเพื่อเสพอีกด้วยขอรับ”

“มีเหตุผล จดลงไปด้วยแล้วกัน”

“ขอรับ ท่านอัสเทอโรพี”

ขุนนางเริ่มจดอะไรบางอย่างลงไปในเอกสารตามที่อาซสั่ง เขาน่าจะเขียนว่ามิเอลยังเลิกยากดประสาทไม่ได้

เพราะแบบนั้นจึงทำให้เธอเริ่มดีดดิ้นอีกครั้ง

“พะ พอเถอะค่ะ! ดิฉันก็บอกแล้วนี่คะว่าดิฉันไม่ได้ใช้ยาจริงๆ! ดิฉันเพียงมั่นใจเท่านั้นเอง! เหตุใดจึงไม่เชื่อคำพูดของดิฉันบ้างล่ะคะ…! ทำไมไม่มีใครเชื่อดิฉันเลย…!”

ช่างเป็นภาพอันน่าเวทนาที่ต้องมาเห็นเธอยืนกรานจนน้ำตาที่คลออยู่รินไหลลงมา ซึ่งมันไม่ยุติธรรมกับเธออย่างชัดเจน

หากคนที่เป็นผู้สอบสวนเธอคือคนอื่นไม่ใช่อาซ คนคนนั้นคงรู้สึกสะเทือนใจอยู่หน่อยๆ จนอาจพยายามลดความไม่ยุติธรรมกับเธอลงบ้าง

“…เอาล่ะ ผมจะยกโทษให้ก็ได้หากต่อจากนี้เลดี้พูดความจริง เพราะผมเองก็เจ็บปวดใจที่ต้องมาเห็นเลดี้ซึ่งยังเด็กนักแสดงออกอย่างคับแค้นใจเช่นนี้ วันนั้น เลดี้เห็นเลดี้อาเรียจริงๆ ใช่หรือไม่ครับ”

ไม่น่าเชื่อว่าอาซก็รู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน เขาจึงเอ่ยถามมิเอลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ราวกับเขากำลังบอกว่าเขาจะให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้าย

ซึ่งมันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่

ยิ่งไปกว่านั้นคำถามก็ยังฟังดูแปลกพิกล ทำไมเขาถึงเอาแต่ถามเรื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากบรรดาคำถามมากมายหลายข้อ

เธอได้แต่นึกสงสัย

เขาที่เป็นคนรักของอาเรียย่อมไม่มีทางช่วยเธอแน่นอน แต่ไม่ว่าใครเห็นอาซในตอนนี้ก็ดูเหมือนกำลังช่วยมิเอลอยู่จริงๆ มิเอลที่กำลังลังเลจึงกวาดหางตามองไปรอบตัว

เธอยังมีขุนนางที่ไม่รู้จักและอัศวินอีกสองนายอยู่ด้วย ดังนั้นหากหลังจากนี้อาซกลับคำพวกเขาก็อาจมาเป็นพยานให้เธอได้

แน่นอน หากเป็นในยามที่เธอมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเธอคงจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าพวกคนที่อาซพามาไม่มีทางมาอยู่ข้างเดียวกับเธอ แต่ตอนนี้มิเอลกำลังถูกต้อนให้จนตรอกทางจิตใจดังนั้นจึงไม่อาจคิดหรือตัดสินใจได้อย่างที่ควรจะเป็น

เธอที่อยู่ในสภาพนั้นเชื่อใจอาซและเริ่มพูดออกไปตามความจริง

“ชะ… ใช่แน่นอนค่ะ! ดิฉันเห็นจริงๆ พี่อาเรียอยู่ในห้องและดิฉันก็เรียกเธอออกมาค่ะ ท่านพ่อก็อยู่ที่ระเบียงทางเดินเช่นกันค่ะ”

“งั้นแล้วที่บอกว่าเห็นผมล่ะ”

“เรื่องนั้น…”

มิเอลจำได้ว่าเธอตะโกนแบบนั้นออกไปตอนอยู่ที่ศาลจึงพยักหน้ารับหลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย เพราะเชื่อมั่นในคำพูดของอาซที่บอกว่าจะยกโทษให้หากเธอยอมพูดตามตรง

“…ดิฉันเห็นเจ้าชายปรากฏตัวออกมาแล้วพาพี่อาเรียออกไปค่ะ”

“หายไปเหมือนภาพหลอนอย่างนั้นใช่ไหม”

“คือ… ค่ะ…”

“แล้วก็เหมือนมนตร์วิเศษด้วยใช่หรือไม่ เพราะผมปรากฏตัวมาในช่วงเวลาสำคัญและพาเลดี้อาเรียหายไป”

“…ตายจริง ชะ ใช่แล้วค่ะ! เหมือนเวทมนตร์เลยค่ะ! เพราะเจ้าชายหายวับไปทันทีจริงๆ ค่ะ! จนดิฉันต้องนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ว่าดิฉันตาฝาดไปหรือไม่ค่ะ! แต่พระองค์อยู่ที่นั่นจริงๆ ค่ะ!”

เมื่ออาซบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเธอในตอนนั้นได้อย่างถูกต้องราวภาพวาด มิเอลก็พยักหน้าแรงๆ อย่างเห็นด้วย

มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาปรากฏตัวขึ้นด้วยเวทมนตร์แล้วพาอาเรียหายไป

หรือว่าเขาจะหายตัวไปอีกที่กัน มันอาจดูเหมือนข้อสันนิษฐานไร้สาระแต่หากคิดเช่นนั้นตัวต่อทุกชิ้นก็จะต่อกันได้ลงตัวพอดี เพราะหากจะไปปรากฏตัวยังที่ที่ไม่สามารถไปถึงได้ทันเวลาที่กำหนดก็มีแต่จะต้องหายตัวไปเท่านั้น!

และหากความจริงข้อนี้ถูกเปิดเผยความผิดของเธอก็จะหายไปด้วยเช่นกัน แล้วหลักฐานทั้งหมดก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า

ถ้าเป็นแบบนั้นเธอก็จะได้ชื่อว่าเป็นแม่พระดังเดิม ในขณะที่นางมารชั้นต่ำนั่นจะต้องหวนกลับไปเป็นนางร้ายอีกครั้ง

หลังจากมองดูมิเอลที่กำลังยิ้มอย่างสดใสเพราะมีความคิดเช่นนั้น อาซซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดมาพักใหญ่ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น สีหน้าที่เหมือนกำลังยิ้มเยาะนั้นทำให้มิเอลแข็งทื่อไปทั้งตัว

เมื่อครู่ยังรับฟังอย่างจริงจังอยู่แท้ๆ แล้วนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน

“ดูเหมือนจะเป็นยากดประสาทจริงๆ ด้วยขอรับ”

คำพูดของขุนนางทำเอาสองอัศวินที่จับแขนมิเอลอยู่ถึงกับถอนหายใจ ดูเหมือนพวกเขาจะคิดว่ามันเป็นคำพูดไร้สาระของคนเสียสติ

“นั่นน่ะสิ ผมเองก็คิดเช่นนั้น ครั้งที่แล้วก็คิดแต่ไม่คิดว่ารอบนี้ก็จะเป็นแบบเดิม เธอบอกว่าผมหายตัวไปเหมือนควัน ท่านว่ามันเป็นไปได้หรือ เธอคงจะใช้มันมานานมากทีเดียว เวทมนตร์อย่างนั้นหรือ น่าขันเสียจริง”

“ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าเลดี้ที่ยังเด็กขนาดนี้จะใช้ยาน่ากลัวๆ เสียได้ ดิฉันไม่ทราบว่าต่อไปจะต้องสอบสวนชนชั้นสูงอีกมากมายเพียงใด”

“ก่อนอื่นควรจะเริ่มสอบสวนเหล่าเลดี้ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงเป็นหลัก เรื่องใช้ยากดประสาทนั้นน่าจะเป็นความจริงฉะนั้นต่อไปผมไม่ต้องมาด้วยแล้วล่ะ จงไต่สวนให้ดีเพื่อเปิดเผยต้นตอให้ได้”

“ขอรับ คราวนี้กระผมจะถอนรากถอนโคนมันให้เด็ดขาดขอรับ”

แววตาของมิเอลผู้สับสนเริ่มสั่นไหวเหมือนเรือใบเมื่อเจอไต้ฝุ่นเพราะสถานการณ์ที่ถูกตัดจบอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนทั้งที่เธอเองก็อยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน

ไหนบอกว่าหากพูดความจริงจะยกโทษให้เธอแล้วทำไมจึงสรุปว่าเธอใช้ยากดประสาทเสียได้! เจ้าชายพูดเหมือนมันเป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้วทั้งยังเห็นด้วยกับเธอและบอกว่ามันเป็นเวทมนตร์อีก!

มิเอลละล่ำละลักถามอาซเมื่อเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติไป

“หะ หากดิฉันพูดความจริง เจ้าชายบอกว่าจะทรงยกโทษให้ดิฉันนี่คะ… นี่ดิฉันก็พูดความจริงแล้วแต่เจ้าชายกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่คะ…!”

อาซมองมิเอลด้วยสายตาเย็นชาแล้วเอ่ยตอบ

“ผมบอกว่าจะยกโทษให้แต่ไม่ได้บอกว่าจะเข้าไปยุ่งเรื่องขั้นตอนทางกฎหมาย และผมก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าสิ่งที่เลดี้พูดมาเป็นความจริง ใช่ไหม”

“ใช่ขอรับ สิ่งที่ยืนยันได้ในตอนนี้มีเพียงเรื่องที่เลดี้มิเอลใช้ยากดประสาทจริงขอรับ”

ตอนนั้นเองจึงได้รู้ว่าสิ่งที่อาซพูดแท้จริงแล้วคือกับดัก เธอหน้าซีดเผือดพูดอะไรไม่ออกและได้แต่ทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างเหม่อลอย

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน อย่างที่ท่านเห็นเมื่อครู่ ผมยังมีงานสำคัญอยู่อีก”

“อ้อ จะว่าไปก็หาใช่เรื่องที่พระองค์ต้องมาเสียเวลาในที่ไร้สาระเช่นนี้ กระผมเข้าใจขอรับ”

สุดท้ายอาซก็ลุกขึ้นโดยนับว่าเรื่องสำคัญที่สามารถเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของคนมากมายว่าเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ

ขุนนางที่มาพร้อมอาซกล่าวว่าการสอบสวนได้จบลงอย่างราบรื่นพลางเก็บเอกสารที่เขียนบางอย่างลงไปจนเต็มไว้ในอ้อมแขน และมิเอลที่ถูกอัศวินจับสองแขนไว้ก็ถูกบังคับให้ลุกขึ้น

เป็นเพียงการสอบสวนสั้นๆ เพื่อทำให้ตรงกับคำตัดสินที่ถูกกำหนดไว้ก่อนแล้วเท่านั้น

“ดะ เดี๋ยวสิคะ! ได้โปรด! ดิฉันไม่ได้ใช้จริงๆ นะคะ!”

ไม่มีใครได้ยินเสียงตะโกนของมิเอลเลย

หลังจากเสร็จการสอบสวนลงในระยะเวลาสั้นๆ และเดินออกมานอกห้องรับรอง อาเรียที่เตรียมตัวเสร็จพอดีก็เดินเข้ามาหาอาซสีหน้าตกใจ

รูปลักษณ์ภายนอกดูจะไม่ได้ต่างจากตอนที่เธอบอกว่าจะเตรียมตัวออกไปข้างนอกเท่าไรนัก เธอคงอยากรู้ผลลัพธ์มากทีเดียว

หรือไม่อย่างนั้นสิ่งที่เธออยากเห็นอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ แต่เป็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของมิเอล

“เสร็จแล้วหรือคะ”

“ครับ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอใช้ยากดประสาทจึงไม่จำเป็นต้องสอบสวนเป็นเวลานานครับ”

เหล่าคนรับใช้เองก็อยู่โดยรอบ ดังนั้นเมื่อเขาพูดว่ามิเอลใช้ยากดประสาท พวกเขาจึงไม่มีใครสามารถซ่อนสีหน้าตกใจเอาไว้ได้

ดูจากริมฝีปากที่กำลังขมุบขมิบพวกนั้น พวกเขาคงอยากพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องน่าตกใจนี้กันแย่แล้ว

พยายามฆ่าพ่อตัวเองยังไม่พอนี่ยังใช้ยากดประสาทอีกหรือ ช่างเป็นหัวข้อที่น่าสนใจเสียนี่กระไร แต่ละคนคงอยากปะติดปะต่อตัวต่อที่แยกออกจากกันและพูดคุยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องน่ากลัวที่มิเอลได้ทำลงไปกระมัง

กฎระเบียบทางสังคมที่ห้ามไม่ให้เอาเรื่องที่เกิดขึ้นภายในคฤหาสน์ออกไปพูดข้างนอกไม่สามารถนำมาใช้ได้ในกรณีนี้ เพราะเรื่องนี้ยังมีเจ้าชายและอาเรียผู้ที่จะอภัยให้เธออย่างใจกว้าง

“เข้าใจแล้วล่ะค่ะ… ทั้งที่ฉันแอบหวังอยู่สักนิดว่าจะไม่ใช่ก็เถอะ…”

สายตาของมิเอลที่ใช้มองมิเอลผู้ถูกรวบแขนทั้งสองเอาไว้นั้นมีแต่ความเสียดาย อาซแนะนำให้ลองเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อจะปลอบใจอาเรีย

สีหน้าเหมือนกำลังพูดเรื่องไร้สาระน่ารำคาญด้วยสายตาเย็นชาได้หายไปแล้ว เขากำลังพูดกับอาเรียด้วยสายตารักใคร่เกินจะบรรยาย

อย่างกับเป็นคนละคน

“ผมสอบสวนเสร็จแล้วและเลดี้เองก็เตรียมตัวเสร็จแล้วด้วย ถ้าอย่างนั้นเราไปเดินเล่นกันดีไหมครับ หรือจะดื่มชาก็ดีนะครับ”

“แต่ว่า… ฉันเป็นห่วงมิเอลน่ะค่ะ… จะให้ฉันไปใช้ชีวิตสุขสบายอยู่คนเดียวได้อย่างไร…”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะเธอจะไม่ได้รับโทษในสิ่งที่เธอไม่ได้ทำแน่นอน หากทำแบบนั้นเลดี้คงได้เป็นลมพอดีสิครับ”

อาเรียเหลือบมองมิเอลอย่างลังเลก่อนจะพยักหน้าให้อาซซึ่งเอ่ยโน้มน้าวเธออีกครั้ง นั่นช่างน่ารังเกียจเสียจริง

‘ใครกันที่ผลักให้ฉันตกลงมาในโคลนตมแบบนี้ คนที่ควรได้รับคำปลอบใจมันคือฉันต่างหาก แต่ทำไมพวกคนที่ไม่ต้องชดใช้ความผิดอะไรเลยถึงได้เปลี่ยนอารมณ์กันล่ะ!’

ยิ่งไปกว่านั้นคนคนเดียวที่จะช่วยเธออย่างเคนยังเอาแต่มองอาซอย่างเดียวโดยไม่แสดงออกอะไรอีก ความตั้งใจของเขาที่คิดจะเป็นตัวแทนของท่านเคานต์แล้วจัดการกำคฤหาสน์ไว้ในกำมือและกักขังอาเรียมันหายไปไหนเสียแล้วล่ะ

อย่าว่าแต่อาเรียเลย วันทั้งวันเขาเอาแต่วิ่งวุ่นทำแต่สิ่งที่ท่านเคานต์ต้องทำทั้งนั้น เพราะแบบนั้นอาเรียจึงได้ไปสนิทชิดเชื้อกับเจ้าชายจนตัวเขาเองกลับเป็นฝ่ายไม่อาจพูดอะไรได้อย่างไรล่ะ

ทุกสิ่งช่างน่าสมเพช

ทุกคนก็ล้วนโง่เขลา

นางร้ายตัวจริงที่ควรต้องได้รับโทษกลับกำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ส่วนเธอที่สมควรต้องได้รับแสงสว่างกลับต้องมามืดมนเช่นนี้

แต่ขณะที่เธอกำลังกล้ำกลืนน้ำตาเพราะความรู้สึกสูญเสียและไม่ยุติธรรมอยู่นั้นเอง พลันสายตาก็เห็นใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในคฤหาสน์

“…!”

ช่างเป็นคนที่คุ้นเคยเหลือเกิน พ่อบ้านแห่งตระกูลดยุกที่เธอลืมไม่ลงนั่นเอง เขาถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือ

ที่สำคัญคือเขาไม่ได้สั่งให้คนรับใช้ในบ้านมาแต่กลับนำจดหมายมาให้ด้วยตัวเอง… มันจะต้องเป็นจดหมายที่มีเรื่องสำคัญอบู่อย่างแน่นอน

พ่อบ้านตระหนกตกใจอยู่สักพักเมื่อเห็นมิเอลที่ขยับตัวไม่ได้เพราะถูกสองอัศวินจับแขนไว้ ก่อนจะบอกเคนว่ามีจดหมายมาส่ง เขาบอกเพียงแค่นั้นแล้วก็กลับไปทันที

“จดหมายอะไร”

เพราะทุกคนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ อาซจึงเอ่ยถามเคนถึงเนื้อความในจดหมาย

มิเอลได้แต่กลืนน้ำลายลงคอด้วยความตื่นเต้น แต่เคนกลับส่ายหน้าอย่างเด็ดขาดพลางเอ่ยตอบ

“เป็นเรื่องส่วนตัวขอรับ ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทราบขอรับ”

น้ำเสียงของเคนที่ตอบออกมาเช่นนั้นทั้งที่เขาไม่เคยโต้แย้งคำพูดของอาซมาก่อนฟังดูเหมือนเขากำลังไม่พอใจ

ท่าทีของเคนที่ดูระแวดระวังจนเกินเหตุทั้งที่มันเป็นแค่เรื่องจดหมายทำให้รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอาซอีกครั้ง

“…อ้อ เข้าใจแล้วล่ะ ผมแค่เห็นว่ามีจดหมายมาที่ตระกูลเคานต์เลยคิดว่าผู้รับควรจะเป็นเขาไม่ใช่เลดี้มิเอลถึงได้ถาม แต่ดูเหมือนผมจะเข้าใจผิดไปเอง”

แม้คำพูดจะบอกว่าเข้าใจผิดแต่สีหน้ากลับมีความสงสัยฉายอยู่อย่างชัดเจน ใบหน้าที่กำลังสงสัยว่ามิเอลคือผู้รับจดหมายที่แท้จริง

อาเรียเองก็เช่นกัน สายตาของอาเรียที่เพิ่งจะพูดทั้งขอบตาแดงก่ำว่าเป็นห่วงมิเอลจ้องมองจดหมายฉบับนั้นไม่วางตา

ในที่สุดมิเอลที่กำลังหวาดกลัวว่าจดหมายที่ถูกส่งมาเพื่อช่วยชีวิตเธอจะตกไปอยู่ในกำมือของปีศาจก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“กะ การสอบสวนเสร็จแค่นี้ใช่ไหมคะ… ดิฉันอยากกลับเข้าห้องแล้วน่ะค่ะ…”

ภาพที่มีทั้งความกดดันทางจิตใจและความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่นั้นทั้งน่าสงสารและน่าเวทนา จนทำให้นึกถึงเธอในวันที่ยังถูกเรียกว่าแม่พระขึ้นมา

“สีหน้าเธอดูไม่ดีเลยนะคะ ให้เธอไปพักเถอะค่ะ”

อาเรียผู้มีจิตใจงดงามพูดแบบนั้นเพื่อมิเอลที่นางสงสาร ทำให้อาซต้องกล่าวอนุญาตอย่างไม่ค่อยพอใจนัก มิเอลจึงได้กลับไปห้องของตัวเองและกลับมาโล่งใจได้เสียที

และไม่นานหลังจากนั้นเคนก็ถือจดหมายเข้ามาหลังจากขอเข้าเยี่ยมเธอ ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดราวกับได้อ่านข้อความในนั้นมาก่อนแล้ว

“น้องจะรับยอมรับมันจริงๆ หรือ”

“…แล้วมันมีวิธีอื่นอีกหรือคะ หากมีการปฏิวัติความผิดของน้องก็จะหมดไปด้วย มันก็คงไม่มีทางอื่นแล้วล่ะค่ะ”

เคนกัดริมฝีปากแน่นและรู้สึกเป็นกังวลอย่างมากเมื่อได้ฟังคำตอบจากมิเอล

“มันน่าจะดีกว่าหากน้องแค่รออยู่เฉยๆ แบบนี้แล้วค่อยเข้ารับการตัดสินอีกครั้งหลังปฏิวัติ…”

“ไม่ค่ะ น้องทนจนถึงตอนนั้นไม่ไหวหรอกค่ะ ท่านพี่สามารถช่วยให้น้องหนีไปอย่างสบายๆ ได้ด้วยนะคะ แล้วก็… น้องยังมีเรื่องที่ต้องบอกท่านไอซิสให้ได้ด้วยค่ะ”

เธอมั่นใจได้จากการสอบสวนของอาซ

และต้องบอกไอซิสให้ได้ เกี่ยวกับเรื่องที่ไอซิสเจอเธอในวันนั้นและเธอไม่ได้ใช้ยากดประสาทจริงๆ

สีหน้าของมิเอลจริงจังอย่างที่สุด

……………………….