ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 60 เกมของคนบ้า

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

จั้นอู๋จี๋หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขาไม่พูดอะไร แต่มือกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ซูหลีหันไปมองเหล่าขุนนางทั้งหลาย ยิ้มแล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “เหล่าขุนนางที่รักไม่ต้องเป็นห่วง ชีวิตข้าเคยผ่านเหตุการณ์อันตรายมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน พบพรากจากตาย ข้าล้วนเคยประสบมาหมดแล้ว ยามนี้ที่ข้ายังยืนหยัดอยู่ เพราะต้องการปกป้องครรภ์นี้ ซึ่งเป็นสายเลือดของราชวงศ์ทั้งสองเอาไว้” นางหอบหายใจเบาๆ ก้มหน้ามองท้องที่โตขึ้น สายตาสะท้อนประกายอ่อนโยน ประกายแสงนั้นทำให้นางดูงดงามไร้ที่เปรียบ ทุกคนต่างตกตะลึงไปทันที

ซูหลีเงยหน้าขึ้น สายตาสุขุม “เหล่าขุนนางที่รักเป็นเสาหลักของบ้านเมืองและราชสำนักของทั้งสองแคว้น ใต้หล้าขาดกษัตริย์องค์หนึ่งนั้นไม่เป็นไร แต่กลับไม่อาจสูญเสียผู้มีความสามารถในการปกครองแผ่นดินให้สงบสุขได้ ข้า โชคร้ายตกอยู่ในกำมือของคนผู้นี้ ไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าตนเองจะมีชีวิตรอดกลับไปได้…”

เสียงสูดหายใจดังมาจากฝูงชน ซูฉุนกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยขอบตารื้น ได้แต่มองหน้านางด้วยความร้อนรน หมายจะเอ่ยปาก แต่ซูหลีกลับส่ายหน้าเบาๆ นางเผยยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นมีแววสิ้นหวังปะปนอยู่รางๆ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยที่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกใจคอไม่ดี

ซูหลีกล่าวเสียงเบาว่า “หากโชคชะตาลิขิตไว้แล้วว่าข้าต้องสิ้นใจอยู่ที่นี่ ข้ามีเพียงความต้องการเดียวเท่านั้น ขอทุกท่านโปรดรักษาเลือดเนื้อเชื้อไขของสองราชวงศ์เพียงหนึ่งเดียวนี้ไว้ เท่านี้ข้าก็ไม่ขอสิ่งใดอีก”

ในที่สุดซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก็ทนไม่ไหว ตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท! ฝ่าบาททรงช่วยเหลือแคว้นติ้งของเราให้ผ่านพ้นวิกฤติมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกหม่อมฉันจะทนดูฝ่าบาทถูกคนชั่วทำร้ายเฉยๆ ได้อย่างไรเล่าเพคะ?! วันนี้หากหม่อมฉันซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยไม่อาจช่วยฝ่าบาทออกไปได้ ก็ขอยอมตายไปพร้อมกับพระองค์!” เอ่ยจบ นางก็ก้าวเท้าออกมา ทำท่าจะเดินตรงไปข้างหน้า

ซูฉุนตกใจดึงมือนางไว้ แล้วก้าวเข้าไปยืนบังด้านหน้านาง พร้อมตวาดเสียงเกรี้ยว “จั้นอู๋จี๋! เจ้าจะใช้วิธีใดก็ใช้ ไม่เห็นต้องเอาสตรีตั้งครรภ์มาข่มขู่พวกข้า!”

หลีเฟิ่งเซียนก้าวเท้าเข้ามา กล่าวเสียงเข้มว่า “ดี! เสนาบดีซูเป็นยอดบุรุษของแคว้นเฉิงเราดังคาด! จั้นอู๋จี๋ คนที่ทำลายแคว้นหวั่นของเจ้าอยู่ตรงนี้แล้ว มีปัญญาเจ้าก็มาตัดสินเป็นตายกับข้า!”

จั้นอู๋จี๋หัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะดังก้องทะลุชั้นเมฆ สั่นสะท้านไปทั่วภูเขาจนหิมะร่วงกราว ทุกคนตกตะลึงไปทันที

จั้นอู๋จี๋จ้องหน้าพวกเขา แล้วกล่าวว่า “ดี พวกเจ้าอยากตายนัก เช่นนั้นข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำให้พวกเจ้าสมปรารถนา!”

สว่านปลายแหลมในมือจั้นอู๋จี๋กรีดผ่านลำคอเนียนขาวและยาวระหงของซูหลี รอยเลือดปรากฏเป็นเส้นยาวๆ เขาหัวเราะอย่างสำราญใจ แล้วบอกว่า “ข้ารอนานจนเบื่อแล้ว มาเล่นเกมกันหน่อยก็แล้วกัน”

ซูหลีมองหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”

สว่านปลายแหลมเลื่อนลงไปที่ท้องของซูหลี เขาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “ในเมื่อพวกเจ้าเห็นเด็กในท้องสำคัญหนักหนา เช่นนั้นเริ่มจากตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน”

ซูหลีตกตะลึง “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เหล่าขุนนางเริ่มแตกฮือ ซูฉุนกับหลีเฟิ่งเซียนพุ่งตัวเข้ามาอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง จั้นอู๋จี๋หันไปถมึงตาจ้องพวกเขา แล้วตะโกนเสียงดังว่า “ไม่อยากให้เด็กคนนี้ลืมตาดูโลก ก็ดาหน้ากันเข้ามาเลย!”

หลีเฟิ่งเซียนชะงักเท้า แล้วตะคอกด้วยความเกรี้ยวกราด “จั้นอู๋จี๋! เจ้าคนต่ำช้าไร้ยางอาย!”

จั้นอู๋จี๋ยิ้มบิดเบี้ยว แล้วกล่าวว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะอยากได้ตัวเด็กคนนี้มาก ข้ากลับอยากรู้ ว่าเด็กคนนี้สำคัญ หรือ…ชีวิตของพวกเจ้าจะสำคัญกว่า? หากพวกเจ้าคนใดกล้าฟันตนเอง ข้าก็จะไม่แทงเด็กคนนี้ หากไม่มีใครกล้า ก็จงยืนมองเด็กในท้องนางถูกเจาะจนพรุนเสีย”

ทุกคนต่างตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว ได้แต่จ้องหน้าปีศาจร้ายตนนั้น พูดอะไรไม่ออก

จั้นอู๋จี๋มองใบหน้าถอดสีของพวกเขา ก็ยิ้มอย่างได้ใจ “ทำไมเล่า? พวกเจ้าไม่กลัวตายไม่ใช่หรือ? ดี ดูซิว่าดาบของพวกเจ้า หรือสว่านของข้าจะเร็วกว่ากัน!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ เงื้อมือขึ้นกลางอากาศ สว่านปลายแหลมพุ่งแทงไปที่ท้องของซูหลีอย่างรวดเร็ว

หลีเฟิ่งเซียนหน้าเปลี่ยนสี โดยไม่ลังเล เขาเงื้อดาบขึ้น แล้วฟันไปที่แขนตนเองโดยตรง เสียงดาบเชือดเฉือนเนื้อดังลั่น เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด แขนของหลีเฟิ่งเซียนกลายเป็นบาดแผลเหวอะหวะน่ากลัว เลือดอาบชุ่มไปทั้งแถบ สว่านปลายแหลมในมือจั้นอู๋จี๋หยุดชะงักขณะอยู่ห่างจากท้องของซูหลีเพียงหนึ่งชุ่น จากนั้นก็หัวเราะอย่างสะใจ

ซูหลีน้ำตาไหลพราก นางอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาเสียงดัง “ไม่!”

สายตาของจั้นอู๋จี๋ไหวระริก เขาเงื้อมือขึ้นอีกครั้ง หลีเฟิ่งเซียนเบิกตากว้าง ผลักซูฉุนที่พุ่งตัวเข้ามาออกไปอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็เงื้อดาบฟันไปที่ขาตนเอง

ครั้นดาบตวัดฟันลงไป โลหิตแดงสดสาดกระเซ็นเต็มพื้น

ซูหลีตกใจจนอ้าปากค้าง กลีบปากสั่นเครือ กลับเปล่งเสียงไม่ออกอีก

หลีเฟิ่งเซียนจ้องหน้าซูหลี ในดวงตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มปลอบโยน เงาร่างชราซวนเซ แทบยืนไม่อยู่ ซูฉุนที่ล้มอยู่ด้านหนึ่งกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตกใจอยากจะเข้าไปประคอง ขานเรียกพร้อมกัน “เซ่อเจิ้งอ๋อง!”

ทุกคนตกตะลึงหน้าเปลี่ยนสี หยวนเซี่ยงกับเสิ่นเจี้ยนอันชิงพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วดุจลูกธนู พวกเขาเข้ามาประคองหลีเฟิ่งเซียนคนละข้าง ทั้งสามยืนเคียงไหล่ ตวัดสายตาไปที่จั้นอู๋จี๋อย่างพร้อมเพรียง ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบฉีกชายกระโปรงเพื่อพันแผลให้หลีเฟิ่งเซียนทันทีโดยไม่รีรอ

ยามนี้ เหล่าขุนนางจากทั้งสองแคว้นต่างพร้อมใจมายืนรวมตัวกันเบื้องหลังคนทั้งสาม ยิ่งนานก็ยิ่งมารวมตัวกันมากขึ้น แม้พวกเขาจะไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ต่างก็ตวัดสายตาโกรธแค้นมาที่จั้นอู๋จี๋อย่างพร้อมเพรียง เห็นได้ชัดว่าความโกรธแค้นได้เข้ามาแทนที่ความหวาดกลัวก่อนหน้าจนสิ้น

เหลียงสือชูก้าวเท้าไปข้างหน้า มองหลีเฟิ่งเซียนแล้วกล่าวว่า “ท่านกับข้าแม้เป็นขุนนางราชสำนักเดียวกัน แต่กลับมีความเห็นทางการเมืองไม่ลงรอยกัน ท่านเป็นเหมือนศัตรูไม่ใช่มิตร ข้าจึงไม่เคยเห็นท่านอยู่ในสายตา แต่วันนี้…”

เขาค้อมกายคำนับหลีเฟิ่งเซียนด้วยใจ แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าเหลียงสือชู ขอคารวะท่านหลีเฟิ่งเซียน ยกย่องท่านในฐานะบุรุษผู้มีจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่!” เอ่ยจบ เขาก็แย่งดาบในมือหลีเฟิ่งเซียนไป แล้วหันไปชี้หน้าจั้นอู๋จี๋ “เจ้าแซ่จั้น เจ้ามันคนเลวทรามต่ำช้า วันนี้หากข้าไม่สังหารเจ้า ข้าคงไม่อาจสู้หน้าเหล่าขุนนางและราษฎรของทั้งสองแคว้นได้!”

เอ่ยจบ เขาก็พุ่งตัวไปข้างหน้า เงื้อดาบตวัดกลางอากาศ กลุ่มคนชุดดำเห็นเช่นนั้นก็รีบพุ่งตัวเข้ามาขวาง ทว่าเหลียงสือชูเองก็เป็นผู้มีวรยุทธ์เช่นกัน ถึงแม้อายุมากแล้ว แต่ก็ยังคงไม่สิ้นลาย ดาบเล่มใหญ่ตวัดแหวกอากาศดุจพยัคฆ์คำราม ชายชุดดำสองคนกลับต้านทานเขาไม่อยู่ ผู้คนที่เหลือเริ่มแตกฮือ หยวนเซี่ยงกับเสิ่นเจี้ยนอันมองหน้ากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็จับด้ามกระบี่ที่เอวพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

ซูฉุนหยิบกริชเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าจะหาวิธีดึงดูดความสนใจของจั้นอู๋จี๋เอง ทั้งสองท่านโปรดช่วยฮ่องเต้แคว้นติ้งด้วย”

หลีเฟิ่งเซียนหอบหายใจ กุมมือซูฉุน แล้วกล่าวเสียงเบา “คุณชายซูเป็นขุนนางพลเรือน เรื่องนี้ ให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด”

ซูฉุนหมายจะเอ่ยปาก แต่เขากลับส่ายหน้าช้าๆ แล้วจ้องตาซูฉุนอย่างแน่วแน่ “ซูซูต้องการท่าน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวมาเถียงกัน”

ซูฉุนน้ำตาคลอเบ้า ทำได้เพียงส่ายหน้า แล้วบอกว่า “ไม่ได้ เซ่อเจิ้งอ๋องบาดเจ็บสาหัสมาก ท่านจะขยับตัวไม่ได้อีก”

หลีเฟิ่งเซียนดึงมือซูฉุนออก ฝืนก้าวไปข้างหน้า สายตาจับจ้องไปที่จั้นอู๋จี๋ ยามนี้ชายชุดดำอีกสองคนพุ่งตัวเข้ามารุมโจมตีเหลียงสือชู เขาเริ่มต้านทานไม่ไหว หยวนเซี่ยงและเสิ่นเจี้ยนอันสบตา รีบชักกระบี่ออกจากฝัก แล้วพุ่งตัวเข้าไปพร้อมกัน

สายตาของจั้นอู๋จี๋พลันขรึมลง สว่านปลายแหลมในมือพลันเงื้อขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง ดุจสัญญาณคร่าชีวิตที่ดึงดูดสายตาของทุกคน

ดาบในมือของหลีเฟิ่งเซียนถูกเหลียงสือชูแย่งไปแล้ว ภายใต้สถานการณ์คับขัน เขาใช้ฝ่ามือแทนดาบ ซัดใส่หน้าอกตนเองเสียงดังสนั่น สิ้นเสียงนั้น ร่างของเซ่อเจิ้งอ๋องล้มลงดุจภูเขาที่พังทลาย

เหล่าขุนนางด้านหลังตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี ซูฉุนไม่สนใจสิ่งใดอีก วิ่งเข้าไปรองรับร่างของหลีเฟิ่งเซียน ซูเซียงหรูรีบวิ่งเข้ามา น้ำตาคลอเบ้า ตะโกนเรียกเสียงดัง “เซ่อเจิ้งอ๋อง!”

ซูหลีเจ็บปวดรวดร้าว นางคลายจุดลมปราณสำเร็จในที่สุด นางกุมท้องแล้วสูดหายใจลึกๆ หลายครั้ง มองเห็นจั้นอู๋จี้กำลังแสยะยิ้มมองดูผู้คนด้านล่าง นางฉวยโอกาสตอนเขาเผลอแย่งสว่านปลายแหลมในมือเขา แล้วจ่อมาที่ลำคอตนเอง จั้นอู๋จี๋ตกตะลึง หมายจะแย่งสว่านกลับไป นึกไม่ถึงว่าเงาร่างสายหนึ่งจะเร็วกว่า คนผู้นั้นปัดศอกซูหลีขึ้น ปลายสว่านกรีดผ่านผิวหนัง เลือดไหลอาบ สว่านปลายแหลมพลันร่วงตกพื้น

ซูหลีกรีดร้องตกใจ เงยหน้ามองเห็นสายตาหวาดกลัวพาดผ่านใบหน้าของฉินเหิงไปอย่างรวดเร็ว จั้นอู๋จี๋พุ่งตัวเข้ามาบีบคอนาง แล้วเอ่ยเสียงลอดไรฟันว่า “อยากตายงั้นหรือ? วางใจเถิด รอให้พวกเขาตายกันหมดก่อน ก็จะถึงตาเจ้าเอง”

ซูหลีพยายามสูดหายใจ กลิ่นจางๆ จากตัวเขาลอยโชยเข้าจมูกนางอีกครั้ง ซูหลีหลับตา กำจัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด แล้วตั้งใจดมกลิ่นนั้น มีกลิ่นฉุนที่จางจนแทบไม่ได้กลิ่นผสมอยู่ด้วย…เป็นกลิ่นที่นางคุ้นเคยมาก…

ซูหลีพลันเบิกตากว้าง แววตาสุขุมเยือกเย็นราวกับถูกดาบเหล็กทิ่มแทง สติสัมปชัญญะทั้งหมดพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ นางเงยหน้ามองเขาด้วยความตกตะลึง “ระเบิด…คือระเบิด! เจ้าฝังระเบิดไว้บนภูเขาลูกนี้!”

………………………