ตอนที่ 152 เมิ่งชิงซีรู้ความจริงของถังโจวโจว

ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ

“แม่คะ หนูเคยบอกแม่ไปแล้วไงว่าหนูต้องการแค่เซ่าเชินคนเดียว แม่อย่าทำให้หนูไขว้เขวสิ” เมิ่งชิงซีไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับฉินอวิ๋นอีกต่อไป เธอจึงเดินออกไปจากห้องทันที 

 

 

           ฉินอวิ๋นได้แต่ทอดถอนใจเมื่อลูกสาวยังคงดื้อรั้น จากนั้นเธอก็นึกถึงสิ่งที่เธอเพิ่งซ่อนเอาไว้ เธอหันไปหยิบมันออกมาแล้วนำไปซ่อนไว้ที่อื่น เมื่อวางมันลงในกล่องที่ปิดมิดชิดแล้ว ฉินอวิ๋นก็รู้สึกโล่งอก 

 

 

           หลายวันต่อมา เมิ่งชิงซีถามหาฉินอวิ๋นกับแม่บ้านหวัง แม่บ้านหวังตอบว่าคุณผู้หญิงยังไม่ได้ลงมาจากชั้นบน เมิ่งชิงซีจึงเดินกระแทกเท้าปึงปังขึ้นไปที่ชั้นบน และเมื่อเธอเคาะประตูห้องนอนของฉินอวิ๋น เธอก็พบว่าไม่มีเสียงตอบรับ เธอลองหมุนลูกบิดดู ประตูไม่ได้ล็อกนี่ เธอจึงเดินเข้าไปด้านใน 

 

 

           เธอบ่นพึมพำว่า “แม่หายไปไหนเนี่ย” ในขณะที่เมิ่งชิงซีหมุนตัวและหมายจะเดินออกไปจากห้อง พลันสายตาของเธอเหลือบไปเห็นโต๊ะเครื่องแป้ง เธอก็หวนคิดถึงเรื่องในวันนั้น ถ้าเธอจำไม่ผิด คุณแม่น่าจะซ่อนอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เธอเห็นเอาไว้แน่ๆ 

 

 

           เธอค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้โต๊ะเครื่องแป้ง เธอค้นดูในลิ้นชักหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสงสัย เมิ่งชิงซีอดสบถออกมาไม่ได้ วันนั้นเธอเข้าใจผิดไปจริงๆ เหรอ? 

 

 

           แต่จู่ๆ สายตาของเมิ่งชิงซีก็สะดุดเข้ากับกล่องเหล็กใบหนึ่งซึ่งมันไม่ได้ดูโดดเด่นอะไรเลย เพียงแต่เมิ่งชิงซีรู้สึกว่ามันไม่ควรจะมาตั้งอยู่ตรงนี้ กล่องใบนี้ดูเหมือนจะแตกเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เมิ่งชิงซีได้รู้ว่าคุณแม่ของเธอก็ชอบเก็บสะสมของแบบนี้ด้วย? 

 

 

           ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอเปิดกล่องนั้นออก เมิ่งชิงซีพบว่าภายในนั้นมีกระดาษเอกสารอยู่หลายแผ่น บนนั้นมีบางสิ่งบางอย่างเขียนอยู่ และเมื่อเมิ่งชิงซีตั้งใจอ่านมันอย่างละเอียด เธอก็ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะได้เห็นข้อมูลนี้ แม่มีข้อมูลของถังโจวโจวได้ยังไง? 

 

 

           เมิ่งชิงซีดีใจไปชั่วขณะ เธอพยายามอดกลั้นความตื่นเต้นของเธอไว้ และในขณะที่เธอกำลังจะเก็บของคืนที่เดิม ประตูก็ถูกเปิดออก …ตอนที่ฉินอวิ๋นอยู่ชั้นล่าง เธอก็เห็นแม่บ้านหวังมองมาที่เธอด้วยความประหลาดใจ “คุณผู้หญิง ฉันนึกว่าคุณผู้หญิงอยู่บนห้องนอนเสียอีก เมื่อครู่นี้คุณหนูเพิ่งถามหาคุณผู้หญิงเองค่ะ” 

 

 

“แล้วคุณหนูล่ะ?” 

 

 

“อยู่ด้านบนค่ะ ตั้งแต่เธอขึ้นไป เธอก็ยังไม่ได้กลับลงมาเลย” แม่บ้านหวังเห็นว่า หลังจากที่ฉินอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าสีหน้าของเธอจะดูสงบนิ่งเป็นปกติ แต่ฝีเท้าของเธอกลับรีบเร่งอย่างมาก 

 

 

‘คุณผู้หญิงเป็นอะไรไป ทำไมพอได้ยินว่าคุณหนูขึ้นไปหาที่ห้องแล้วต้องรีบร้อนขนาดนั้น?’ แม่บ้านหวังไม่เข้าใจ เธอจึงได้แต่ส่ายหน้าและกลับไปทำงานของตัวเองต่อในครัว 

 

 

เมื่อฉินอวิ๋นเปิดประตูเข้าไป เธอก็เห็นว่าเมิ่งชิงซีนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ในมือของเธอถือกล่องเหล็กใบนั้นเอาไว้ “ชิงซี ทำอะไรน่ะ!” ฉินอวิ๋นก้าวแค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถมาดึงกล่องเหล็กกลับคืนมาได้ เธอไม่น่าซ่อนมันไว้ในบ้านเลย นึกไม่ถึงเลยว่าชิงซีจะมาเห็นเข้า 

 

 

เมิ่งชิงซีเห็นว่าฉินอวิ๋นแย่งของไปแล้ว แต่เธอก็ไม่ร้อนรน เธอตั้งคำถามว่า “แม่คะ แม่จะหาข้อมูลของถังโจวโจวไปทำไม แล้วพอแม่ได้ข้อมูลนี้มา ทำไมแม่ถึงไม่บอกหนู” 

 

 

เมิ่งชิงซีมั่นใจว่าฉินอวิ๋นจะต้องมีอะไรบางอย่างปิดบังเธออยู่ ทำไมคุณแม่ถึงไม่ยอมบอกข่าวดีแบบนี้กับเธอล่ะ? หากเธอนำเรื่องที่ถังโจวโจวไม่ใช่ลูกของตระกูลถังไปบอกกับคุณแม่ลั่ว เชื่อได้เลยว่าคุณแม่ลั่วจะต้องคัดค้านและไม่ยอมให้ถังโจวโจวอยู่ในตระกูลลั่วอีกต่อไป 

 

 

คุณแม่ลั่วจะต้องสั่งให้ลั่วเซ่าเชินหย่ากับถังโจวโจว และนั่นก็จะกลายเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับเมิ่งชิงซี แต่เมิ่งชิงซีกลับนึกไม่ถึงเลยว่าฉินอวิ๋นจะปิดบังเรื่องนี้กับเธอ ทำไมแม่ของเธอถึงไม่เปิดเผยให้เธอรู้เลยสักนิด 

 

 

ทันทีที่ฉินอวิ๋นเห็นสีหน้าของเมิ่งชิงซี เธอก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ลูกสาวกำลังไม่พอใจเธออย่างมาก เมิ่งชิงซีคงจะกำลังบ่นในใจว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกข่าวนี้ให้รู้ แต่เมื่อเธอนึกถึงผลที่จะตามมาหากเธอบอกข่าวนี้กับเมิ่งชิงซีแล้ว ฉินอวิ๋นก็ยังคงยืนยันตามความคิดของเธอเองอยู่ดี 

 

 

“ชิงซี ในเมื่อลูกเห็นแล้วก็ช่างเถอะ แต่เรื่องของถังโจวโจว ลูกอย่าเพิ่งพูดออกไปนะ” 

 

 

เมิ่งชิงซีไม่เข้าใจอย่างที่สุด “ทำไมล่ะคะแม่! ทำไมแม่ต้องช่วยปกปิดความจริงของถังโจวโจวด้วย ถ้าเราบอกเรื่องนี้กับคุณป้าลั่ว ถังโจวโจวก็อยู่ในตระกูลลั่วต่อไปอีกไม่ได้ แล้วหนูก็จะได้แต่งงานกับเซ่าเชินสักที!” 

 

 

เมิ่งชิงซีเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อจินตนาการถึงอนาคตอันแสนสวยงามนั้น แต่ฉินอวิ๋นกลับคิดว่าลูกสาวของเธอกำลังฝันกลางวัน ถ้าถังโจวโจวสืบหาต่อล่ะว่าใครคือพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเองแล้วจะทำอย่างไร เธอจะไม่มีวันปล่อยให้เมิ่งชิงซีพูดเรื่องนี้ออกไปโดยเด็ดขาด 

 

 

ฉินอวิ๋นเลือกใช้วิธีประนีประนอม“ชิงซี ลูกฟังแม่ก่อนนะ ลูกเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่ แม่จะไม่ช่วยลูกได้ยังไง เพียงแต่ในตอนนี้เรายังบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ไม่ได้” 

 

 

“ทำไมล่ะคะ ทำไมเราถึงพูดมันออกมาไม่ได้ ถ้าแม่ไม่ให้เหตุผลที่ทำให้หนูยอมรับได้ หนูจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณป้าลั่ว ถังโจวโจวจะได้เลิกขวางทางชีวิตหนูสักที!” 

 

 

ฉินอวิ๋นโกรธมากที่เมิ่งชิงซีพูดไม่รู้เรื่อง เธอเงื้อมือฟาดลงไปบนใบหน้าของเมิ่งชิงซี เมิ่งชิงซีกุมหน้าและหันมองฉินอวิ๋นด้วยสายตาตกตะลึง ฉินอวิ๋นเองก็มองมือข้างนั้นที่เธอเพิ่งจะตบเมิ่งชิงซีไป 

 

 

เธอพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ชิงซี คือแม่… แม่ไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้แม่นะ” ฉินอวิ๋นขยับตัวเข้าไปเพื่อจะดูรอยช้ำบนใบหน้าของเมิ่งชิงซีใกล้ๆ 

 

 

แต่เมิ่งชิงซีกลับเบี่ยงตัวหลบมือแห่งความห่วงใยที่ฉินอวิ๋นยื่นเข้ามาใกล้ หยาดน้ำตาของเธอรินไหลลงมาอย่างช้าๆ “แม่ตบหนูเพราะผู้หญิงสารเลวอย่างถังโจวโจว นี่หนูยังเป็นลูกสาวของแม่อยู่หรือเปล่า!” 

 

 

เมิ่งชิงซีผลักประตูและวิ่งออกไป ฉินอวิ๋นยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ครู่หนึ่งเธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เพียงแต่เอกสารที่อยู่ในมือของเธอมันไม่สามารถให้ใครเห็นได้ ครั้งนี้ฉินอวิ๋นไม่กล้าซ่อนมันไว้ในกล่องแล้ว เธอเปลี่ยนไปเก็บไว้ในตู้นิรภัยที่ล็อกแน่นหนา 

 

 

เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเมิ่งชิงซีจะเฝ้ารอโอกาสที่ได้ทำลายถังโจวโจวอยู่ตลอด เธอคิดต่อไปอีกว่าหากเมิ่งชิงซีเอาเรื่องนี้ไปบอกคนในตระกูลลั่ว ถ้าลั่วเซ่าเชินรู้เข้า เขาจะต้องสืบค้นต่อไปอย่างแน่นอน เพื่อลูกสาวของเธอ ฉินอวิ๋นจะไม่มีวันยอมให้ถังโจวโจวรู้เป็นอันขาดว่าพ่อแม่แท้ๆ ของเธอคือใคร! 

 

 

แม้ว่าฉินอวิ๋นจะไม่แน่ใจในการคาดเดาของตัวเอง แต่ก็กันไว้ดีกว่าแก้ ด้วยความคิดแบบนี้ทำให้ฉินอวิ๋นไม่สามารถนิ่งนอนใจกับความคิดในตอนนี้ของเมิ่งชิงซีได้ เธอจำเป็นต้องให้คนช่วยเธอจัดการเรื่องบางเรื่องเสียแล้ว ทันใดนั้นเธอก็กดโทรออกและพูดอะไรบางอย่างกับคนที่อยู่ในสาย 

 

 

เมื่อเมิ่งชิงซีออกมาจากห้องของฉินอวิ๋น เธอก็กลับไปที่ห้องนอนของเธอ เธอล้มตัวลงไปบนเตียงและคลุมโปงร้องไห้ และเมื่อเห็นว่าฉินอวิ๋นไม่ได้ตามเธอมา เมิ่งชิงซีก็ยิ่งเศร้าใจ น้ำตาของเธอพรั่งพรูออกมามากขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

เพียงแค่นึกถึงว่าฉินอวิ๋นพยายามจะปกปิดตัวตนของถังโจวโจว เมิ่งชิงซีก็ยิ่งไม่พอใจ เธอเช็ดน้ำตาและแอบสาบานอย่างเงียบๆ ว่าเธอจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณป้าลั่วให้ได้ แล้วถ้าลั่วเซ่าเชินรู้ เขาจะต้องไม่อยากให้ถังโจวโจวอยู่ด้วยอีกต่อไป 

 

 

เมิ่งชิงซีไม่ได้วางแผนที่จะไปวันนี้เลย เพราะเธอเพิ่งจะกลับมาจากคฤหาสน์ตระกูลลั่ว หากเธอไปตอนนี้ คุณป้าลั่วอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอพาลจนพูดจาเลอะเทอะ ฉะนั้นเธอจะต้องวางแผนให้ดีก่อน เพื่อให้คุณป้าลั่วเชื่อคำของเธออย่างสนิทใจ 

 

 

ความจริงแล้วเมิ่งชิงซีรู้ดีว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือหลักฐานที่อยู่ในมือของฉินอวิ๋น มันระบุไว้อย่างชัดเจนว่าถังโจวโจวไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ถัง และถังโจวโจวก็ถูกรับเลี้ยงมาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า 

 

 

แค่เธอคิดว่าถังโจวโจวเป็นเด็กกำพร้า เมิ่งชิงซีก็รู้สึกทันทีว่าเธออยู่เหนือกว่าถังโจวโจวแน่นอน เธอเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเมิ่ง เธอจะด้อยกว่าเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีพ่อไม่มีแม่อย่างถังโจวโจวได้อย่างไร 

 

 

เมิ่งชิงซีไม่สนแล้วว่าเธอจะเศร้าใจมากแค่ไหน เธอเอาแต่จินตนาการถึงอนาคตที่เธอจะได้เป็นคุณผู้หญิงลั่วอย่างสบายอกสบายใจ แต่ก่อนที่จะด่วนสรุป เธอควรจะส่งคนไปสืบค้นความจริงเพื่อยืนยันข้อมูลนี้สักหน่อย แล้วจากนั้นเธอก็ค่อยไปบอกคุณป้าลั่ว 

 

 

วันรุ่งขึ้น เมิ่งชิงซีตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ในขณะที่กินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร เธอไม่คุยกับฉินอวิ๋นเลยสักคำ เมิ่งไหวเซินมองดูเมิ่งชิงซีที่วันนี้เงียบผิดปกติ ก่อนจะถามว่า “ชิงซี ทำไมวันนี้ถึงไม่คุยกับแม่เลยล่ะ หนูกับแม่ทะเลาะกันหรือ” 

 

 

เมิ่งชิงซีโกรธจนไม่ยอมพูดด้วย แต่เป็นฉินอวิ๋นที่ยื่นมือเข้ามาแก้สถานการณ์เอง “ไหวเซิน ไม่เป็นไรค่ะ ชิงซีแค่งอนฉันนิดหน่อย เมื่อวานฉันพูดกับเธอแรงเกินไป เธอก็เลยโกรธฉันน่ะค่ะ” ฉินอวิ๋นไม่อยากให้เมิ่งไหวเซินรู้เรื่อง ดังนั้นเธอจึงเร่งให้เขากินข้าว มิเช่นนั้นจะไปทำงานสาย 

 

 

เมิ่งไหวเซินไม่ได้เก็บเรื่องที่เมิ่งชิงซีโกรธฉินอวิ๋นมาใส่ใจ เมิ่งชิงซีถูกเขาประคบประหงมมาอย่างดี จึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะขี้งอน ตราบใดที่เธอยังเป็นเด็กที่มีจิตใจดี เมิ่งไหวเซินก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหามากสักเท่าไร 

 

 

เมิ่งชิงซีไม่ได้พูดอะไร เธอปล่อยให้ฉินอวิ๋นพูดอยู่คนเดียว เมื่อเมิ่งไหวเซินลุกออกจากโต๊ะอาหารไปแล้ว เมิ่งชิงซีก็ยืนขึ้นตาม 

 

 

“ชิงซี อิ่มแล้วเหรอ ลูกกินไปไม่เท่าไรเองนะ” ฉินอวิ๋นมองไปที่ชามโจ๊กตรงหน้าเมิ่งชิงซีที่ไม่พร่องลงเลยสักนิด พลางพูดว่า “ชิงซี ลูกกำลังเข้าใจแม่ผิดนะ ลูกอย่าเอาสุขภาพของตัวเองมาประชดแม่อย่างนี้สิ!” 

 

 

เมิ่งชิงซีไม่พูดและเดินหนีขึ้นไปชั้นบน ฉินอวิ๋นที่อยู่ด้านหลังเธอขมวดคิ้วมุ่น ดูท่าแล้วเมิ่งชิงซีไม่น่าจะยกโทษให้เธอง่ายๆ เธอควรจะจัดการเรื่องทางนั้นให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นค่อยกลับมาง้อเมิ่งชิงซี วันข้างหน้าเธอจะได้รู้ว่าสิ่งที่ฉันทำไปทั้งหมดในวันนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของเธอเอง 

 

 

อย่างไรก็ตาม เมิ่งชิงซีไม่ได้ล่วงรู้ความคิดของฉินอวิ๋นเลย เธอคิดแค่ว่าวันนี้เธอจะต้องเอาเรื่องของถังโจวโจวไปบอกคุณแม่ลั่วให้ได้ ดังนั้นเธอจึงขึ้นมาแต่งตัว แล้วเมิ่งชิงซีก็ขับรถออกจากบ้านไปโดยไม่ได้บอกฉินอวิ๋นเลยสักคำ 

 

 

เมื่อฉินอวิ๋นได้ยินแม่บ้านหวังบอกว่าเมิ่งชิงซีออกไปข้างนอก เธอก็รู้ว่ามันมีความเป็นไปได้สูงที่ลูกสาวของเธอจะไปคฤหาสน์ตระกูลลั่ว แต่เธอก็ไม่กังวลใจอีกแล้ว ตราบใดที่ทางนั้นแสดงได้ดี ไม่ว่าชิงซีจะพูดเรื่องนี้ออกไปหรือไม่มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ฉินอวิ๋นเหยียดยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตามเมิ่งชิงซีออกไปอย่างใจเย็น 

 

 

ภายใต้ความสัมพันธ์ของเมิ่งชิงซีและลั่วเซ่าเชิน ลูกสาวของเธอเจ็บปวดมามากเกินไปแล้ว แม้ว่าฉินอวิ๋นอยากจะช่วยเมิ่งชิงซีมากแค่ไหน แต่เธอก็เดาทางของลั่วเซ่าเชินได้ และรู้ว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนอื่น แม้แต่คุณพ่อคุณแม่ลั่วก็ยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แล้วคนอื่นจะไปมีผลอะไร 

 

 

น่าเสียดายที่เมิ่งชิงซีเป็นคนดื้อรั้น เธอต้องการแค่ลั่วเซ่าเชินคนเดียวเท่านั้น มีผู้ชายที่ร่ำรวยและดูดีให้เลือกอีกตั้งมากมาย พื้นเพครอบครัวก็อยู่ในระดับเดียวกันกับตระกูลเมิ่ง แต่เมิ่งชิงซีกลับไม่สนใจเลย จนบางครั้งฉินอวิ๋นก็รู้สึกว่าเมื่อชาติที่แล้วเมิ่งชิงซีไปติดค้างอะไรลั่วเซ่าเชินหรือเปล่า ชาตินี้ถึงได้ต้องตามมาชดใช้หนี้ยาวนานถึงเพียงนี้ 

 

 

แต่ต่อให้คิดหาทางช่วยมากแค่ไหน เมิ่งชิงซีก็ไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจเสียที ฉินอวิ๋นก็ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะเมื่อไรที่คุยกันว่าจะให้เมิ่งชิงซีถอดใจจากลั่วเซ่าเชิน เธอก็จะกระฟัดกระเฟียดขึ้นมา ฉินอวิ๋นที่ไม่อยากเห็นเมิ่งชิงซีเศร้าเสียใจ จึงได้แต่ปล่อยให้เธอทำในสิ่งที่เธอต้องการ 

 

 

           เมื่อเมิ่งชิงซีขับรถมาถึงคฤหาสน์ตระกูลลั่ว เธอก็ได้ยินแม่นมจ้าวบอกว่าคุณแม่ลั่วยังไม่ตื่น เมิ่งชิงซีจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าวันนี้เธอมาเร็วเกินไป แต่ไหนๆ มาถึงแล้วก็ช่างเถอะ เมิ่งชิงซีจึงขอนั่งรอจนกว่าคุณแม่ลั่วจะตื่นอยู่ในห้องนั่งเล่น แม่นมจ้าวยกน้ำชาออกมาเสิร์ฟ จากนั้นก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง 

 

 

           เมิ่งชิงซีรออยู่เพียงไม่นาน คุณแม่ลั่วก็เดินลงมาจากชั้นบน เพียงแต่เธอยังคงสวมชุดนอนอยู่ เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นเมิ่งชิงซีมาหาแต่เช้า เธอก็ทั้งดีใจและสงสัยว่า “ชิงซี หนูมาหาป้าแต่เช้าอย่างนี้มีอะไรหรือเปล่าลูก” 

 

 

           ในความคิดของคุณแม่ลั่ว เมิ่งชิงซีเป็นผู้หญิงสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ เมื่อวานนี้เมิ่งชิงซีก็มาอยู่เป็นเพื่อนตลอดทั้งวันทั้งที่ไม่มีธุระอะไรเป็นพิเศษ แต่วันนี้เธอก็มาหาตั้งแต่เช้าตรู่อีก มันไม่ใช่พฤติกรรมปกติของเมิ่งชิงซีเลย แสดงว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญอะไรอย่างแน่นอน เธอถึงทำตัวผิดปกติแบบนี้ 

 

 

คุณแม่ลั่วคิดในใจแต่เท้าของเธอก็ไม่ได้หยุดเดิน จากนั้นเธอก็นั่งลงข้างๆ เมิ่งชิงซี