บทที่ 1036 อยากหนีแต่หมดทางหนี

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1036 อยากหนีแต่หมดทางหนี โดย Ink Stone_Fantasy

เมื่อเจอกับคนประเภทเอาหัวใจของคนทรามมาวัดหัวใจของสัตตบุรุษ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ…เหมียวอี้เหลือบมองคนที่ไล่ตามมาด้วยความคิดแบบนี้ รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่น่าเชื่อว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตนจะพลาดแล้ว!

เพียงแต่ต่อให้หลับฝันเขาก็นึกไม่ถึง อีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่พวกเขาไม่ใช่เพราะนักโทษเลย แต่เพื่อจะทำภารกิจที่เจ้านายสั่งให้สำเร็จ และไม่รู้ด้วยว่าที่มาของอันตรายจริงๆ ไม่ใช่เพราะบนตัวมีนักโทษ แต่เป็นเพราะอยู่ข้างกายสวีถังหราน

ที่จริงความคิดของเขาก็ไม่เลว จงใจร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนดังขนาดนั้น ไม่ใช่แค่อยากจะรับมือกับฝานอวี้เฟยอย่างเดียว แต่หวังจะให้คนอื่นๆ ได้ยินให้หมด ไม่อยากให้ทุกคนมาหาเรื่องพวกเขา เพียงแต่จินตนาการนั้นงดงาม แต่ความจริงกลับโหดร้ายมาก!

ดังนั้น โค่วเหวินหวง โค่วเหวินชิงและโค่วเหวินหลานจึงสบตากันอย่างงุนงง

พวกโฉวตั้งไห่ที่คว้าน้ำเหลวก็มึนตึ้บเหมือนสมองโดนหมอกลงเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไร?

พอโฉวตั้งไห่ยกมือขึ้น ทั้งเก้าคนก็หยุดชะงัก แล้วเอียงหน้ามองไปทางฝานอวี้เฟยที่เลี้ยวเปลี่ยนทิศทางพร้อมกัน ลังเลชั่วขณะว่าจะตามหรือไม่ตามดี

“หรือว่าจะถูกพวกเราทำให้ตกใจ?” ต่งเฟิงถาม

“ไม่เหมือนนะ! ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก่อนหน้านั้นคงไม่ตะโกนว่าโจมตีใส่พวกเราหรอก” สื่อเทียนเจวี๋ยส่ายหน้า

“ผู้บัญชาการโฉว ไม่ไล่ตามเหรอ?” หนานอี้เปียวถาม

โฉวตั้งไห่ทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “ทหารชั้นต่ำคนนี้ วรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นสาม บังอาจให้พวกเราเป็นหนังหน้าไฟ ให้เขาไปลำบากเอาเองเถอะ! ในเมื่อพวกเราโผล่หน้ามาแล้ว จะหลบสายตาฝูงชนก็หลบไม่พ้น ไม่สู้เอาเยี่ยงอย่างเจ้าคนเฝ้าประตูนั่นดีกว่า พวกเราไปเฝ้าที่ประตูด้วยแล้วกัน!” พูดจบก็กวักมือ นำกำลังคนไปยังจุดหมายสุดท้ายและเลียนแบบชิงอวี้หลาง

พอเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็เหมือนยกหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเองจริงๆ

โค่วเหวินหลานกลับร้อนใจนิดหน่อย รีบถ่ายทอดเสียงบอกโค่วเหวินหวง “พี่สาม คนของข้ามอบนักโทษให้คนของท่านแล้ว ทำไมคนของท่านเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยเหลือล่ะ?”

โค่วเหวินหวงแสยะยิ้ม “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ ชัดเจนว่าลูกน้องคนนั้นของเจ้ากำลังหาแพะรับบาป เปลี่ยนเป็นใครก็ต้องโมโหทั้งนั้น!”

เขาเห็นท่าทางของพวกโฉวตั้งไห่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะได้นักโทษมาไว้ในมือแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางที่จะไม่สนใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เก็บออมพลังไว้ต่อไปก็ดีเหมือนกัน

ส่วนพลังของพวกเหมียวอี้ เขานับว่าดูถูกดูแคลนจริงๆ ไม่หวังว่าพวกเหมียวอี้จะช่วยเหลือพวกโฉวตั้งไห่ได้สักเท่าไร

โค่วเหวินหลานตอบอย่างร้อนใจว่า “พี่สาม ถ้าคนของท่านไปช่วยสนับสนุนพวกเขาตั้งแต่แรกก็คงไม่เป็นแบบนี้ พวกเขาโดนกดดันจนไม่มีทางเลือกแล้ว!”

โค่วเหวินหวงยกมือทันที “ข้าทนมองคนทรามต่ำช้าแบบนี้ไม่ไหวหรอก!”

ประโยคที่ฟังดูคุณธรรมสูงส่งอันเด็ดขาดนี้  ได้ตัดความหวังที่โค่วเหวินหลานจะปกป้องชีวิตพวกเหมียวอี้แล้ว ทำให้เขาถลึงตาจ้องด้วยสีหน้าโมโหปนเศร้าโศก!

มีมือข้างหนึ่งมาตบบนบ่า โค่วเหวินหลานหันกลับมามอง เห็นโค่วเหวินชิงส่ายหน้าเบาๆ ให้เขา พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ช่างเถอะ พูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ในด้านนี้พี่สามเด็ดขาดกว่าเจ้าเยอะ ถ้าเขาไม่ตอบตกลง ต่อให้เจ้าขอร้องยังไงก็ไม่มีประโยชน์”

ท่ามกลางคนที่ดูเอาสนุกตรงจุดหมายสุดท้าย มีบางคนกล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดังแล้วว่า “คนกลุ่มนี้น่าสนใจนะ ทำเอาคนดูสับสนเลอะเลือนกันไปหมดแล้ว”

มีคนไม่น้อยหัวเราะตามเสียงดัง เรื่องราวไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองก็ย่อมเบิกบานใจอยู่แล้ว

เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ยืนกอดอกเลิกคิ้วเล็กน้อย ท่าทางเหมือนลำพองใจสุดๆ อยากจะเห็นว่าสวีถังหรานจะตายอย่างไร แต่กลับมองไม่เห็นว่าเซี่ยโห้วหู่เฉิงน้องชายตัวเองกำลังกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าคร่ำเครียด

ส่วนสวีถังหรานที่หันกลับมามองเป็นระยะก็ร้องโวยวาย เริ่มสบถด่าด้วยความโมโหแล้ว “แม่งเอ๊ย! ไอ้พวกเวรนั่นเอาตัวนักโทษไปแล้ว แต่ยังนิ่งดูดาย เห็นคนจะตายไม่ยอมช่วย!”

“มารดามันเถอะ พวกเจ้าเป็นวันชิวอิก ก็อย่าโทษว่าข้าเป็นวันจับโหงว[1]ก็แล้วกัน! ไป พวกเขาไม่ช่วยพวกเรา พวกเราก็จะลากเขาลงมาซวยด้วยกันนี่แหละ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะอยู่ดีเลย!” เหมียวอี้โบกทวนในมือ นำทั้งสองเลี้ยวเลี้ยวอ้อมไปไล่ตามพวกโฉวตั้งไห่อีกที

ทว่าสิ่งที่อันตรายล่อแหลมกว่านั้นก็คือ ‘เหยี่ยวมารวานรยักษ์’ ที่ลูกน้องทั้งเก้าของฝานอวี้เฟยขี่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันถนัดเรื่องการบินที่สุด นอกจากความเร็วจะเหนือกว่าเดรัจฉานสับปลับของพวกเหมียวอี้แล้ว ยังเร็วกว่าสัตว์พาหนะของฝานอวี้เฟยด้วย เฉียดผ่านซ้ายผ่านขวานำฝานอวี้เฟยมาแล้ว เข้ามาใกล้พวกเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว ไล่โจมตีอย่างเต็มกำลัง

“ไม่ทันแล้ว ข้างหลังตามมาถึงแล้ว!” มู่หรงซิงหัวกล่าวเสียงต่ำ

เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววมุ่งสังหารทันที โบกทวนชี้ไปข้างหน้า พร้อมตะโกนว่า “อยากสังหารข้าเหรอ! ต้องถามทวนในมือข้าก่อนว่าอนุญาตหรือเปล่า! พวกเจ้าสองคนสนใจแต่ข้างหน้าก็พอ หนิวคนนี้จะดักหลังเอง!”

เมื่อเห็นว่าหมดทางหนี จิตสังหารและเจตจำนงนักรบก็ลุกโชนในใจเขาทันที สัตว์พาหนะผ่อนความเร็วลงเล็กน้อย ถอยผ่ากลางระหว่างมู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานมาอยู่ข้างหลัง

นี่ไม่ใช่การพูดปากเปล่าเท่านั้น แต่เป็นการปฏิบัติจริง สวีถังหรานไม่สนใจเขา เรียกได้ว่าพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดทันที แต่มู่หรงซิงหัวกลับหันมามองอย่างตกตะลึง เป็นครั้งแรกที่ได้รับรู้อีกด้านที่ดุดันของผู้ชายคนนี้ กล้าหาญที่จะต่อสู้!

ที่น่าตกตะลึงงกว่านั้นก็คือ พอทวนสามแฉกในมือเหมียวอี้สะบัด เดรัจฉานสับปลับที่ขี่อยู่ก็หันตัว ไม่น่าเชื่อว่าจะพุ่งกลับหลัง ไม่น่าเชื่อว่าจะเผชิญหน้ากับเก้าคนที่พุ่งเข้ามา ห้าวหาญไม่กลัวตาย!

คนโหด! เจ้าหมอนั่นมันยังห้าวหาญเหมือนเดิม! สวีถังหรานที่หันกลับมามองแยกเขี้ยวยิงฟัน แต่ความเร็วในการหลบหนีกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย

มู่หรงซิงหัวตกตะลึงจนหยุดอยู่กับที่แล้ว รีบหันกลับมา นางเองก็ลังเลเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเข้าไปช่วยดี หรือว่าจะหนีอย่างสวีถังหรานดี

“เฮ้ย! เจ้าหนุ่มนั่นมันรนหาที่ตายแล้วมั้ง วรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นสาม ไม่น่าเชื่อว่าพุ่งใส่กลุ่มนักพรตบงกชทองขั้นห้า!”

พวกหนานอี้เปียว อีกกลุ่มที่เร่งไปยังจุดหมายสุดท้ายหันกลับมาอุทานอย่างแปลกใจ พวกโฉวตั้งไห่ได้ยินแล้วหันกลับไปมองแวบหนึ่ง พากันประหลาดใจเหมือนกัน

โค่วเหวินหลานที่กำลังดูการต่อสู้มึนงงนิดหน่อย นี่เป็นเพราะรู้ว่าหายนะนี้รอดยาก จะซ้ายจะขวาก็ตายอยู่ดี ก็เลยสู้ตายงั้นเหรอ?

อารมณ์ของโค่วเหวินหลานในตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน หรือพูดได้ว่าตำหนิตัวเอง ล้วนเป็นตัวเองที่ทำร้ายเขา

“เฮ้อ!” โค่วเหวินชิงถอนหายใจเบาๆ นางรู้จักน้องชายคนนี้ดี ที่คนอื่นว่าเขาตุ้งติ้งเหมือนผู้หญิงก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล ถ้าเกิดอะไรขึ้นเพราะความผิดพลาดของตัวเอง เกรงว่าคงจะโทษตัวเองอยู่นานมาก

ปี้เยว่ฮูหยินเองก็คิดวนเวียนไม่เลิกเช่นกัน ที่นางกังวลไม่ใช่ความเป็นความตายของเหมียวอี้ แต่เป็นห่วงปีศาจจิ้งจอกพันหน้า

ส่วนเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถลึงตาเม้มปาก ในใจก็รู้สึกซับซ้อนสับสนเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ความเป็นความตายของเหมียวอี้ก็ไม่ได้สำคัญกับเขาขนาดนั้น โดยเฉพาะเมื่อต่อสู้กับคนของน้องชายตัวเอง เขาต้องสนับสนุนคนของน้องชายตัวเองแน่นอน เพียงแต่เมื่อเห็นเหมียวอี้แสดงออกชัดเจนว่าไปรนหาที่ตายแบบนี้ ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าในใจเขารู้สึกอย่างไร

สองฝ่ายที่พุ่งเข้าใส่กัน ชั่วพริบตาเดียวก็สัมผัสกันแล้ว

เมื่อเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวหนึ่งที่พุ่งนำเข้ามา “กรร!” เดรัจฉานสับปลับที่เหมียวอี้ควบขี่ก็คำรามใส่ หมอกแดงพุ่งออกจากปากราวกับเป็นม้าชั้นดี

เหยี่ยวมารวานรยักษ์เอียงตัวพลิกหลบ หมุนตัวบินเฉียดผ่านเหนือศีรษะของเหมียวอี้ไป นักพรตที่ห้อยกลับหัวอยู่บนหลังมันแหย่ทวนยาวไปทางใบหน้าของเหมียวอี้

เสียงมังกรคำรามดังขึ้นพักหนึ่งตามคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แผ่ขยายออกมา ทวนในมือเหมียวอี้แทงออกไปในชั่วพริบตาเดียว

ทั้งสองฝ่ายประมือกันโดยที่ฝ่ายหนึ่งอยู่บนฝ่ายหนึ่งอยู่ล่าง ทวนสองด้ามแทบจะแทงออกมาพร้อมกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ออกทวนได้เร็วกว่าหนึ่งระดับ ไม่รอให้ทวนยาวของอีกฝ่ายมาถึงใบหน้าตน หัวทวนสามแฉกก็แทง ‘ฉึก’ เข้าคอหอยอีกฝ่ายที่กำลังทำสายตาหวาดกลัวแล้ว

ในดวงตาของคนที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ เห็นเพียงเหมียวอี้พลิกทวนปาดขึ้นมา ภายใต้การประมือหนึ่งครั้ง แทบจะไม่ได้ประลองกันสักท่าด้วยซ้ำ แต่ก็ใช้ทวนปาดจนคนบนหลังเหยี่ยวมารวานรยักษ์กระเด็นออกไปแล้ว เรียกว่าสังหารได้อย่างรวดเร็วราบรื่น!

สิ่งนี้ทำให้คนไม่น้อยตกตะลึงมาก นักพรตบงกชทองขั้นห้าโดนหนึ่งพรตบงกชทองขั้นสามแทงปาดตายด้วยทวนเดียวงั้นเหรอ ?

“กรร!” ขณะเดียวกันนี้เอง เหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่ตามมาข้างหลังก็พุ่งเข้ามาแล้ว เดรัจฉานสับปลับคำรามพร้อมพ่นหมอกแดงร้อนจี๋ออกมาอีกกลุ่ม

เหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวพลิกร่างหลบพร้อมกัน ว่องไวสุดขีด ตะแคงตัวบินอยู่ทางซ้ายและขวา เฉียดผ่านไปโดยขนาบเดรัจฉานสับปลับไว้ตรงกลาง คนที่อยู่บนตัวสัตว์พาหนะทางซ้ายและขวาออกดาบและทวนพร้อมกัน ดาบด้ามหนึ่งฟันมาทางศีรษะของเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง ส่วนทวนอีด้ามก็แทงตรงไปที่หน้าอกของเหมียวอี้ สังหารตามกันมาติดๆ

เสียงมังกรคำรามดังไม่หยุด เหมียวอี้ถือทวนอยู่ในมือ แสดงบทโหมโรงอีกครั้ง ขณะที่ทวนแทงทะลุใบหน้าของคนที่อยู่ทางซ้าย เขาก็เอนกายไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว คมทวนของฝ่ายตรงข้ามเฉียดผ่านหน้าท้องของเขาไป

ก็ช่วยไม่ได้ ต่อให้เหมียวอี้ลงมือได้รวดเร็วกว่านี้ แต่ก็ยากที่จะรับมือกับสองคนพร้อมกันได้ในรวดเดียว ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติก็ยังพอไหว แต่เดรัจฉานสับปลับกับเหยี่ยวมารวานรยักษ์เคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไปจริงๆ ขนาดความเร็วในการบินของเดรัจฉานสับปลับยังด้อยกว่าความเร็วของนักพรตบงกชทองขั้นเก้าเลย ความเร็วของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว

สองฝ่ายที่ประมือกันตัดผ่านกันไปโดยวิธีการเหาะในแนวตรง ด้วยความเร็วแบบนี้ เหมียวอี้โต้ตอบได้ไม่เยอะเท่าไรเลย ทำได้เพียงสังหารอีกคนพร้อมหลบหลีกอีกคน

แต่ขณะที่เหมียวอี้เอนกายไปข้างหลัง ก็ยังออกทวนเสริมอีกครั้งหนึ่ง โจมตีไม่โดนคน แต่กลับโจมตีโดนหางของเหยี่ยวมารวานรยักษ์แล้ว ถือโอกาสกรอกปราณปีศาจโลหิตสีแดงเข้มเข้าไปในตัวมันเล็กน้อย

“วี๊ด…”  เหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวที่โดนทวนร้องเสียงแหลมออกมา โครงสร้างการทำงานปั่นป่วนทันที มันบินม้วนตัวอยู่กลางท้องฟ้า ผู้ที่ขี่มันตกใจมาก ไม่ว่าจะลองควบคุมอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

ส่วนเหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่สูญเสียเจ้าของก็ร้องสองที แล้วไล่ตามเจ้าของที่ไร้ชีวิตไป

เหยี่ยวมารวานรยักษ์สามตัวจากเก้าตัวพุ่งไปทางเหมียวอี้แล้ว เดิมทีอ้อมเหมียวอี้ไปไล่ตามพวกสวีถังหรานฝั่งละสามตัว ทีแรกไม่คิดว่าการรับมือกับเหมียวอี้คนเดียวจะเปลืองแรงอะไร แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนหลังทำให้พวกเขาตกใจมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ชั่วพบหน้ากันก็ถูกอีกฝ่ายสังหารไปสองคนติดต่อกันแล้ว ทั้งยังมีสัตว์พาหนะสูญเสียการควบคุมไปหนึ่งตัวด้วย

เมื่อเห็นเหมียวอี้พุ่งตรงไปที่ฝานอวี้เฟย หกคนก็รีบขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับมา รวมตัวกันไล่ตามเข้ามา

ทุกคนที่กำลังดูการต่อสู้ที่จุดหมายสุดท้ายพากันเงียบกริบ โค่วเหวินหลานอ้าปากเล็กน้อย เหมือนรู้สึกค่อนข้างเหลือเชื่อ

สวีถังหรานที่กำลังหลบหนีหันกลับมาเห็น เขาตกตะลึงตาค้างเช่นกัน ท่านนั้นห้าวหาญเหมือนอย่างเคยจริงๆ ด้วย!

มู่หรงซิงหัวที่หยุดอยู่ด้านหลังและเตรียมตัวจะทุ่มสุดตัวไปรับศึกกับหกคนที่ไล่ตามมา ตอนนี้นางเผยอริมฝีปากแดงเช่นกัน มองดูเหมียวอี้พุ่งไปหาฝานอวี้เฟยตาปริบๆ จากนั้นก็รู้สึกฮึกเหิมทันที เดรัจฉานสับปลับเร่งความเร็วพุ่งออกไป ไล่สังหารคนที่สัตว์พาหนะสูญเสียการควบคุม ไม่ให้เข้ากลับไปช่วยโจมตีเหมียวอี้

ช่วยงานใหญ่เหมียวอี้ไม่ไหว แต่งานเล็กน้อยนางยังพอช่วยได้บ้าง นางเองก็เป็นนักพรตบงกชทองขั้นห้าเหมือนกัน ถ้าให้สู้กันตัวต่อตัวก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ที่สำคัญคือสัตว์พาหนะของฝ่ายตรงข้ามสูญเสียการควบคุมแล้ว ความเร็วสู้นางไม่ได้ นางกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ

เมื่อคนที่สัตว์พาหนะสูญเสียการควบคุมเห็นนางพุ่งเข้ามา ก็ร้อนรนกังวลใจทันที ทว่าบงการเหยี่ยวมารวานรยักษ์อย่างไรก็ไม่ได้ผล เหยี่ยวมารวานรยักษ์บินพลิกไปพลิกมาเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว

เห็นมู่หรงซิงหัวโจมตีเข้ามาแล้ว หมดหนทางแล้วจริงๆ จึงรีบกระโดหนีจากเหยี่ยวมารวานรยักษ์แล้วหลบหนี ทว่าการอาศัยวรยุทธ์เพื่อเหาะเหิน มีหรือที่จะเร็วกว่าเดรัจฉานสับปลับ ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกตามทันแล้ว

“กรร!” เดรัจฉานสับปลับพ่นหมอกแดงร้อนจี๋ออกมาคำหนึ่ง คนคนนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานอุณหภูมิสูงอย่างบ้าคลั่ง เกราะอิทธิฤทธิ์โดนกัดกร่อนอย่างรุนแรงภายใต้อุณหภูมิสูง ปะทะศึกเดือดกับมู่หรงซิงหัวแล้ว แต่เมื่อขาดสัตว์พาหนะไว้คอยช่วยเรื่องความเร็ว แถมวรยุทธ์ของทั้งสองก็สูสีกัน มู่หรงซิงหัวเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน เข่นฆ่าโรมรันด้วยความเร็วสูง โจมตีจนคนคนนั้นอยู่ในสภาพอับจนทันที

เห็นลูกน้องตัวเองต้านทานกลุ่มศัตรูด้วยกำลังคนอันน้อยนิด สู้ศึกเลือดสุดชีวิต โค่วเหวินหลานน้ำตาคลอเบ้าแล้ว!

…………………………

[1] เจ้าเป็นวันชิวอิก ข้าก็เป็นวันจับโหงว 你做初一我做十五 วันชิวอิกกับวันจับโหงวถือเป็นวันพระของจีนเหมือนกัน อุปมาว่า อีกฝ่ายทำอย่างไร ตัวเองก็จะทำอย่างนั้นเหมือนกัน