ต้วนฉี่รุ่ยเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เขาเอ่ยเสียงแข็ง “คุณกำลังพูดอะไรผมไม่เห็นเข้าใจสักนิด คุณออกไปได้แล้ว ผมจะทำงานต่อ” 

 

 

เธอหัวเราะเยาะที่เห็นเขายังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อ “คุณคิดว่าแกล้งทำเป็นทำงานแล้วจะไล่ฉันออกไปได้อย่างนั้นเหรอคะ? คุณลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันต่างหากที่เป็นเจ้าของบริษัทนี้ คิดจะลาออกลับหลังฉันก็ต้องดูด้วยว่าฉันจะอนุญาตหรือเปล่า” 

 

 

ต้วนฉี่รุ่ยฟังแล้วหน้าตาลนลานขึ้นมาทันที แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “คุณพูดอะไรผมไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น…” 

 

 

เธอยิ้มเย็น “ฉันไม่อยากทำอะไรคุณ แค่อยากจะถามให้หายสงสัยเท่านั้น” เอ่ยจบเธอเน้นเสียงหนักขึ้น “คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันพอมีชื่อเสียงในวงการอยู่บ้าง ถ้าคุณให้ความร่วมมือดีๆ ฉันก็จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปให้คนนอกรู้ ไม่อย่างนั้น ถ้าเกิดทุกคนรู้ว่าคุณลาออกจากที่นี่เพราะสาเหตุอะไร ดูซิว่าคุณยังจะไปหางานที่ไหนได้อีก?” 

 

 

วงการนิตยสารนั้นแคบนิดเดียว ยิ่งสมัยนี้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตพัฒนาไปไกลมาก มันจึงเป็นเรื่องง่ายนิดเดียวหากเธอคิดจะกระจายข่าวในอินเทอร์เน็ต ต้วนฉี่รุ่ยเชื่อคำขู่ของเธอทันที เขารีบเงยหน้าขึ้นด้วยความลนลาน “ผมถูกจ้านซีเยวี่ยบีบให้ทำเรื่องนี้” 

 

 

เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะน้อยๆ “ถึงก่อนหน้านี้คุณจะลำเอียงช่วยจ้านซีเยวี่ยอยู่บ่อยๆ แต่พอหลังจากฉันซื้อบริษัทนี้เอาไว้ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรคุณเลย ฉันให้คุณทำหน้าที่ บ.ก. เหมือนเดิม แถมยังเพิ่มเงินเดือนให้คุณอีกตั้งเยอะ ฉันหวังว่าความร่วมมือของเราสองคนจะนำพานิตยสารซินเฟิงให้เปล่งประกายในวงการ แต่คุณกลับแทงข้างหลังฉัน มันทำให้ฉันเสียใจมาก เพราะฉะนั้น ฉันอยากจะถามคุณหน่อย ฉันไปทำอะไรให้คุณเหรอ คุณถึงได้คิดหาสารพัดวิธีมาทำร้ายฉันแบบนี้” 

 

 

ทันใดนั้นเธอนึกอะไรขึ้นมาได้ “อย่าบอกนะว่าคุณกำลังคิดว่าถ้าฉันดูแลที่นี่ไม่ได้แล้วบริษัทจะตกเป็นของคุณ?” 

 

 

ต้วนฉี่รุ่ยหน้าตึงทันทีที่เธอเอ่ยจบ เธอเข้าใจความหมายทันทีและได้แต่ยิ้มเย็น “คุณนี่มันโง่จริงๆ นี่คุณคิดจริงๆ เหรอว่าถ้าฉันออกจากที่นี่แล้วมันจะกลายเป็นของคุณน่ะ? ทำไมคุณถึงได้มีความคิดโง่เง่าแบบนี้?” 

 

 

คำพูดของเฉียวซือมู่แทงใจดำของต้วนฉี่ทุกคำ เขาเอ่ยขึ้น “จ้านซีเยวี่ยรับปากกับผมเอง เธอบอกว่าถ้าชื่อเสียงคุณป่นปี้ย่อยยับคุณคงไม่มาทำงานอีก จากนั้นเธอจะซื้อบริษัทนี้เอาไว้เอง…” 

 

 

“นี่คุณไม่รู้เหรอว่าตระกูลจ้านล้มละลายแล้ว? เธอจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ?” เธอเอ่ยขัดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง 

 

 

ต้วนฉี่รุ่ยยิ้มขมขื่น “ผมไม่รู้จริงๆ แต่เธอบอกกับผมว่าเธอยังมีเงินฝากธนาคารอีกก้อนที่ฝากไว้ในนามของคนอื่นและสามารถเบิกเงินออกมาใช้ได้ตลอด เธอยังบอกอีกว่าถ้าผมไม่ให้ความร่วมมือกับเธอ เธอจะประจานเรื่องที่ผมเคยทำเอาไว้ ผมก็เลยต้องทำตามที่เธอบอก” น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้า 

 

 

“เธอกำความลับของคุณเอาไว้อย่างนั้นเหรอ?” เฉียวซือมู่เพิ่งจะเข้าใจว่าที่เขากล้าเสี่ยงอันตรายล่วงเกินเธอเป็นเพราะจ้านซีเยวี่ยกุมความลับของเขาเอาไว้ 

 

 

ต้วนฉี่รุ่ยพยักหน้าหงึกๆ “เมื่อก่อนผมเลอะเทอะจนทำเรื่องโง่เง่าเอาไว้แล้วถูกจ้านซีเยวี่ยรู้เข้า เธอจึงใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ผม ตอนนั้นผมหลงผิดไปก็เลยตกปากรับคำเธอ…” เขามองเฉียวซือมู่อย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ จากนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างระมัดระวัง “ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณเลย ผมจะทำคุณลงคอได้ยังไง แต่ผมก็กลัวจ้านซีเยวี่ยจะประจานเรื่องของผม เพราะฉะนั้น งานเลี้ยงคืนนั้นผมถึงต้องคอยหลบหน้าคุณตั้งแต่งานเริ่ม และผมก็ไม่ได้ทำตามแผนจนถึงที่สุด ความจริงจ้านซีเยวี่ยสั่งให้ผมพาคนไปจับชู้ แต่ผมไม่ยอม คุณอย่าไล่ผมออกเลยนะ คุณช่วยพูดกับคุณจิ้นให้ผมหน่อยได้ไหม…” 

 

 

เขาวิงวอนใบหน้าน่าสงสาร มองเธอด้วยสายตาคาดหวัง เขาหวังเหลือเกินว่าคำพูดของเขาจะทำให้เธอใจอ่อนและไม่ยอมให้เขาลาออก 

 

 

แต่คำพูดของเขาไม่ได้ทำให้เฉียวซือมู่ใจอ่อนเลยสักนิด เธอมองเขาอย่างเย็นชา “ฉันว่านะ ไม่ใช่เพราะคุณทำไม่ลงคอหรอก แต่คุณกลัวจิ้นหยวนเอาคืนต่างหาก ฉันพูดถูกไหมล่ะ?” 

 

 

ต้วนฉี่รุ่ยได้ยินคำพูดของเธอแล้วสีหน้าสิ้นหวังขึ้นมาทันที เขาปากสั่นแต่ก็พูดอะไรไม่ออก 

 

 

เธอทอดถอนใจเพราะรู้สึกเกลียดความใจอ่อนของตัวเองเหลือเกิน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดช่วยจ้านซีเยวี่ยทำเรื่องเลวร้ายต่อเธอตั้งเยอะแยะ ต่อให้เขาอ้อนวอนขอความเมตตาก็เพื่อไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บมากนักก็เท่านั้นเอง ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่เธอก็รู้สึกเห็นใจเขาอยู่ดี 

 

 

แต่พอมาคิดๆ ดูอีกที ถ้าเทียบกับจ้านซีเยวี่ยที่ต้องสังเวยชีวิตตัวเองกับเขาที่แค่ถูกไล่ออกจากบริษัทแล้ว ถือว่าบทเรียนของเขานั้นเบามาก จะว่าไปแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะความละโมบโลภมากของตัวเขาเองทั้งสิ้น 

 

 

เธอมองเขานิ่งๆ “คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้จ้านซีเยวี่ยเป็นยังไงบ้าง?” 

 

 

เขาลังเลชั่วครู่แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก “ถูกจับตัวไปแล้วใช่ไหม?” 

 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและจ้านซีเยวี่ยมีแต่เรื่องของผลประโยชน์เท่านั้น แต่ตอนหลังเขาเริ่มกลัวอำนาจของจิ้นหยวนจนไม่อยากข้องแวะกับเธออีก แต่เธอกลับใช้เรื่องที่เขารับสินบนเมื่อหลายปีก่อนมาข่มขู่เขาจนเขาถูกบีบให้กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดช่วยเธอทำเรื่องเลวร้าย ภายหลังเขาได้ข่าวว่าแผนการล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะจิ้นหยวนบุกเข้าไปช่วยเฉียวซือมู่เอาไว้ได้ทันเวลาพอดี แต่เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง 

 

 

ตอนแรกเขาคิดเพียงแค่ว่าเธออาจจะถูกจับตัวส่งตำรวจไปแล้ว เขาคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเธอถึงขั้นต้องสังเวยชีวิตตัวเอง เขามองสีหน้าผิดปกติของเฉียวซือมู่แล้วหัวใจกระตุกอย่างแรง 

 

 

เฉียวซือมู่ได้แต่ส่ายศีรษะ เธอพูดออกไปไม่ได้ว่าจิ้นหยวนเป็นคนลั่นไกปลิดชีพจ้านซีเยวี่ยเองกับมือ มิเช่นนั้นจะต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ เธอจึงเอ่ยเพียงแค่ “ถ้าคุณรู้ว่าจุดจบของเธอคืออะไร คุณควรจะรู้สึกขอบคุณที่ตัวเองโชคดีมาก เพราะคุณแค่ถูกไล่ออกเท่านั้น” 

 

 

เธอเอ่ยจบแล้วกวาดสายตามองใบหน้าหวาดผวาที่เพิ่งได้สติของเขาแวบหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวเดินออกจากห้องทันที ต้วนฉี่รุ่ยใบหน้าหมองคล้ำ ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก 

 

 

หลังจากกลับไปยังห้องทำงานของตัวเองแล้วเธอก็ได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่ครึ่งค่อนวัน เธอรู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน ตอนนี้สมองเธอว่างเปล่า ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานสองนาน 

 

 

ผ่านเวลาไปไม่นานจิ้นหยวนก็โทรศัพท์หาเธออีก “ถามหมดแล้วเหรอ?” 

 

 

“อะไรนะคะ?” ปฏิกิริยาแรกของเธอคือ “นี่คุณแอบติดเครื่องดักฟังไว้บนตัวฉันเหรอ?” ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอไปพบต้วนฉี่รุ่ยมา 

 

 

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเขาดังลอยออกมาจนทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้หู “ไม่ต้องติดเครื่องดักฟังผมก็เดาออกว่าคุณทำอะไรบ้าง” 

 

 

“จริงเหรอคะ?” สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง 

 

 

“ก็จริงนะสิ สามีของคุณจะทำเรื่องอย่างนั้นได้ยังไง คุณต้องเชื่อใจผมสิถึงจะถูก” เขาเอ่ยพลางหัวเราะชอบใจ 

 

 

“ก็ได้ คุณโทรหาฉันเพราะเรื่องนี้เหรอคะ?” เธอเอ่ยถาม 

 

 

“ก็ใช่นะสิ แค่อยากรู้ว่าคุณอารมณ์ดีหรือเปล่า ดูเหมือนตอนนี้คุณอารมณ์ดีไม่น้อยนะ” 

 

 

“อืม ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ต้วนฉี่รุ่ยเห็นฉันขัดหูขัดตาเขาตั้งแต่แรกแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขากับจ้านซีเยวี่ยร่วมมือกันทำร้ายฉันซะหน่อย ถ้าปล่อยวางได้ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย” เธอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา 

 

 

แววตาของเขาเย็นเยียบทันทีที่ได้ยินคำตอบของเธอ ดูเหมือนว่าบทเรียนที่คนคนนั้นได้รับยังไม่มากพอ แต่น้ำเสียงของเขากลับเรียบนิ่งไร้ความผิดปกติใดๆ “เด็กดี คุณอย่าเอามาใส่ใจเลยนะที่คนพวกนั้นทำไม่ดีกับคุณ”