บทที่ 383 ตรงกันข้าม
เชิงเทียนเงินรูปมือสว่างไสวให้แสงกับโถงทางเดินในปราสาทที่ดูมืดและลึกลับน่ากลัว เทียนสีแดงมีแสงเทียนวูบวาบให้แสงสลัวๆ เผยให้เห็นความงามอันน่าขนลุก

ลูเซียนอยู่ในเสื้อคลุมสีดำที่มีหมวกคลุมศีรษะ ยืนอยู่ด้านนอกห้องใต้ดินอย่าเงียบๆ กำลังวิเคราะห์วงเวทป้องกันที่เคานต์วลาดวางกับดักไว้

ประตูประสาทเปิดอยู่เสมอๆ เพื่อให้ทาสได้เดินเข้าออก รวมทั้งการขนส่งสินแร่และโลหะ วงเวทตรวจสอบจำนวนมากเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของลูเซียน ในฐานะนักเวทชั้นอาวุโส ลูเซียนเข้าไปภายในปราสาทอย่างง่ายดาย

ลูเซียนสัมผัสได้ว่าวงเวทปกป้องกันเหล่านี้ค่อนข้างมีพลังสูง ในฐานะแวมไพร์ที่มีชีวิตรอดมาสองสามพันปี วลาดได้เก็บสะสมวงเวทดีๆ ไว้มากมาย วงเวทความมืดจำนวนยี่สิบเจ็ดวงสร้างระบบป้องกันที่แข็งแกร่งพอจะต้านทานอาคมเทพระดับแปด แต่ยังโชคดีที่ปราสาทหลังนี้ไม่มีชีวินรสายนเวท หรือสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการเล่นแร่แปรธาตุ อยู่ภายใน มิฉะนั้น ลูเซียนคงไม่มีโอกาสลอบเข้ามาถึงภายในปราสาทได้

บนโถงทางเดิน ข้ารับใช้โลหิตหญิงหลายคนเดินผ่านลูเซียนไปราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน ครั้งหนึ่งพวกนางเคยเป็นมนุษย์ เอลฟ์ หรือคนแคระมาก่อน แต่ตอนนี้พวกนางกลายเป็นทาสรับใช้แวมไพร์ในปราสาท

ดูเซียนยังไม่ได้ศึกษาเวทมนตร์ระดับหก ‘เวทแนะนำใจ (กลุ่ม)’ ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลานานสักหน่อยในการร่ายเวทแนะนำใจกลับสิ่งมีชีวิตทีละตนๆ ในปราสาท แม้เขาจะเป็นนักเวทชั้นอาวุโสแล้วก็ตาม การใช้แผนนี้ก็ทำให้พลังวิญญาณของเขาหมดไปเหมือนกัน เขาจึงต้องรอเป็นเวลานานเพื่อให้พลังฟื้นกลับมา

ขนาดยืนอยู่ตรงหน้าห้องใต้ดิน ลูเซียนลูบคางอย่างครุ่นคิดและกำลังวิเคราะห์แผนการ เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนในการทำลายระบบป้องกันนี้ แต่ปัญหาหนักที่สุดก็คือเคานต์วลาดอาจสังเกตพบความผิดปกติตอนไหนก็ได้ เมื่อวลาดตื่นจากนิทรา นั่นก็อาจเป็นจุดจบของลูเซียน

แม้ว่าวลาดจะเข้าจำศีลเป็นเวลานาน พลังและความรู้ของเขายังคงพัฒนาตามกาลเวลาปัจจุบัน เนื่องจากเขาร่ายเวทโดยใช้พลังโลหิต ไม่ใช่โลกแห่งปัญญา

ลูเซียนต้องหาทางทำให้วลาดออกมาเอง

ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวของเขา เช่น การเป่าหูวลาดว่าเทสส์กับกาลาต้าลักลอบเล่นชู้กัน… อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีวิธีไหนได้ผล

ลูเซียนตัดสินใจลองเปลี่ยนมุมมองความคิด

หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็พยักหน้าอย่างใช้ความคิดและเริ่มวิเคราะห์โครงสร้างของวงเวทและรูปแบบการไหลเวียนของพลังภายใน

สิบกว่าวันต่อมา ปราสาทยังคงดำเนินกิจการไปตามปกติ เจ้าสาวแวมไพร์ พ่อบ้านแวมไพร์ ข้ารับใช้โลหิต และทาสยังคงวุ่นอยู่กับงานการของตน

ทุกตนต่างแกล้งทำเป็นตาบอดเมื่อเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าในชุดเสื้อคลุมสีดำผู้นี้ เขาเองก็ยุ่งเช่นกัน เขากำลังยุ่งอยู่กับการวางทรัพยากรที่มีค่าทั้งหมดไปรอบๆ ปราสาทตามรูปแบบบางอย่าง

ในที่สุด วงเวทของลูเซียนก็สำเร็จ เขาปรบมือและค่อยๆ ยืนขึ้น

เมื่อลูเซียนเริ่มร่ายเวทมนตร์ พลังวิญญาณของเขากระจายออกไปและวงเวทดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าห้องใต้ดินก็แสดงพลังออกมา กระแสแสงจุดขึ้นทีละดวงๆ และเส้นพลังงานก็หลั่งไหลเข้ามาจากทุกทิศทาง

ยกเว้นเสียแต่ภายในห้องพลังงานในห้องใต้ดินและห้องควบคุมหลักเท่านั้น วงเวทต่างๆ ก็ปลุกพลังของส่วนและองค์ประกอบต่างๆ ทั้งหมดในปราสาท ซึ่งรวมถึงห้องกักขังพลัง ห้องอัญเชิญ สวนเวทมนตร์ และบ่อน้ำพลัง

ไม่นาน วงเวททั้งหมดก็รวมตัวเข้าหากันและประสาททั้งหลังก็ถูกปกคลุมด้วยเกราะที่เกิดขึ้นจากแสงดาวระยิบระยับราวกับความฝัน

คลื่นพลังเวทมนตร์ทรงโดมหดตัวลงในพริบตาและเข้ายึดแน่นกับกำแพงของห้องใต้ดิน ทันใดนั้น แสงก็หายไปราวกับว่าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวงเวทความมืด

หลังจากนั้น ทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบสงบ

แวมไพร์และคนแคระก็ยังคงทำงานของตนต่อไป ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภายในห้องใต้ดิน เคานต์วลาดก็ยังคงหลับอยู่ เขาสัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติใดๆ

นั่นเป็นเพราะลูเซียนไม่ได้หาวิธีทำลายวงเวทความมืดของเคานต์แวมไพร์

หน้าที่ของวงเวททรงพลังที่ลูเซียนสร้างขึ้นนั้นอธิบายได้ง่ายๆ ลูเซียนวางวงเวทป้องกันอีกชั้นหนึ่งทับบนวงเวทป้องกันของเคานต์แวมไพร์ ลูเซียนต้องการให้เขาจำศีลต่อไปอย่างปลอดภัยและเงียบสงบ

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายระบบป้องกันนี้ ไม่ว่าจากภายในหรือภายนอก และแม้แต่ลูเซียนเองก็อาจต้องใช้เวลาเกือบสิบเดือนในการถอนระบบป้องกันนี้ นอกจากนี้ พลังจากบ่อน้ำและสวนเวทมนตร์ก็จะหลั่งไหลเข้าสู่วงเวทอย่างต่อเนื่อง เมื่อเคานต์ตื่นขึ้น พลังงานจากห้องพลังก็จะถูกกักขัง แม้จะอาศัยความช่วยเหลือจากห้องควบคุมหลัก วลาดก็อาจต้องใช้เวลานานถึงห้าหรือหกปีกว่าจะออกมาได้ และกว่าที่เขาจะสามารถส่งสารออกมา

อีกห้าหรือหกปีข้างหน้า ลูเซียนเชื่อว่าเขาก็คงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการถูกเปิดเผยถึงจุดเชื่อมอวกาศอีกต่อไป

นั่นคือสิ่งที่ลูเซียนตั้งใจจากการลองมองมุมกลับ เมื่อระบบป้องกันแข็งแกร่งเกินไป แทนที่จะทำลายมัน ลูเซียนก็ยิ่งส่งเสริมให้มันไม่อาจถูกทลายออกมาได้

มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่บนหน้าของลูเซียน อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันนั้น การสร้างวงเวทพรุ่งนี้ก็ทำให้เขาเสียทรัพยากรไปมาก แม้ว่าทรัพยากรส่วนใหญ่จะมาจากโกดังของเคานต์แวมไพร์เอง แต่ลูเซียนก็ต้องใช้ ทรัพยากรของตนบางส่วนด้วยเช่นกัน ห้องเก็บสมบัติที่สำคัญที่สุดของเคานต์วลาดอยู่ในชั้นใต้ดิน ดังนั้น ลูเซียนจึงไม่ได้เก็บของล้ำค่าใดๆ ออกมา นอกเหนือจากแร่มิธริลและโลหะล้ำค่าจำนวนมาก

หลังจากตรวจสอบวงเวทอีกครั้ง ลูเซียนก็วางกับดักวงเวทลับอีกวงหนึ่งอยู่ข้างๆ กับทางเข้าห้องใต้ดิน ซึ่งในวงเวทลับนั้นมีการจำลองและบันทึกเสียงของวลาด

หากมีใครสักคนพยายามจะปลุกเขา เสียงนั้นก็จะกล่าวปฏิเสธแทนอย่างสุภาพ

หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อย ลูเซียนก็เดินออกมาจากประสาทอย่างสบายใจ เมื่อเดินออกจากประตูมาเพียงไม่กี่ก้าว ลูเซียนก็หันหลังกลับไปโดยวางมือขวาไว้แนบอกและค้อมศีรษะลง

“ขอให้ฝันดี ท่านเคานต์วลาด”

ภายในถ้ำใต้พิภพ คนแคระซึ่งได้ลงนามในพันธสัญญาก็พบเครื่องจักรค้อนไอน้ำ หม้อหลอมโลหะ อาหาร บทความ และข้าวของเครื่องใช้อื่นตาม ‘ความทรงจำ’ ที่มี

“มีงานต้องทำสามอย่าง” ผู้เฒ่าออกัสตัสพูดขึ้นอย่างฮึกเหิมโดยถือหนังสือสามเล่มอยู่ในมือ ‘การแปลงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการใช้พื้นฐาน’ ‘ทฤษฎีศาสนา’ และ ‘สงครามยืดเยื้อ’ “เรื่องแรก เราต้องพัฒนาหลักการของเราโดยเร็วที่สุดเพื่อดึงคนเข้าร่วมมากขึ้น ข้อสอง เราต้องเริ่มทำเกษตรโดยมองหาพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ในภูเขารัตติกาลนี้ เพื่อจบปัญหาเรื่องอาหาร และเรื่องที่สาม เราหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแวมไพร์ให้มากที่สุด จนกว่ากลุ่มของเราจะโตขึ้นและมีอาวุธที่ดีกว่านี้”

หนังสือทั้งสามเล่มทำให้ออกัสตัสเกิดแรงบันดาลใจมากมาย

“รับทราบ ท่านผู้เฒ่า! ไอน้ำจงเจริญ!” คนแคระชูมือขึ้นแล้วตะโกนออกมา ความรู้จากตำราทั้งสามต่างทำให้พวกเขาต้องตกตะลึง และพวกเขาก็โหยหาความรู้ยิ่งกว่าที่เคยเป็น

ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยคิดว่าพวกตนได้รับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของอารยธรรมไอน้ำที่ตกทอดมาบางส่วน แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าความรู้ที่มียังไม่ใกล้เคียงกับบรรพบุรุษแม้แต่น้อย และยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงอารยธรรมสูงสุดเช่นแอตแลนติส!

คนแคระเต็มไปด้วยความหวังและกำลังใจ เมื่อพวกเขาเริ่มทำงานของตนเอง ผู้เฒ่าก็คุกเข่าลงต่อหน้าแท่นบูชาอีกครั้ง หลังจากสวดภาวนาเสร็จ ผู้เฒ่าคนแคระก็หยิบกระดาษกับปากกาขนนกมาและเขียนว่า

“การเปิดเผยสำแดงแห่งเครื่องจักร ที่เสด็จลงมาเพื่อบอกกับผู้คนว่าเมื่อมีสุข ย่อมมีทุกข์ และเมื่อมีทุกข์ ก็ย่อมมีสุข ความเจ็บปวดที่ผ่านมาร่วมมีความหมาย และเมื่อผ่านความเจ็บปวดมาได้ เราก็จะเข้าถึงภูมิปัญญาและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง นี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่เป็นธรรมที่สุด ด้วยความเชื่อนี้ พวกเราจะหลุดพ้นจากการตกสู่พวกนรก”

หลังจากเฝ้ามองคนแคระอยู่สักพักใหญ่ ลูเซียนก็โล่งใจและเริ่มออกเดินทางขึ้นเหนือ

ในดินแดนตอนเหนือ มีเจ้าชายแวมไพร์ที่ทรงพลังอยู่สองสามตน ว่ากันว่ามีตนหนึ่งที่ทรงพลังที่สุด เมื่อเข้าสู่นิทราจะสามารถเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นเรื่องจริงในภูเขารัตติกาลแห่งนี้

อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ ยังไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับลูเซียน เมื่อเขาเดินทางมาถึงตอนเหนือ ต่อมาไม่นานลูเซียนก็เปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าสู่ปราสาทหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความมืดมิด

โครงสร้างของปราสาทดูขมุกขมัวราวกับเป็นภาพฉายของปราสาทหลังใหญ่จากโลกหลัก ปราสาทหลังนี้ชื่อว่า ‘ปราสาทแห่งผู้สังเกตการณ์’ และเป็นของเคานต์เนตรเงิน ‘ไรน์’

ไรน์มีพลังสูงเทียบเท่ากับเจ้าชายแวมไพร์ และเขาเป็นผู้เฝ้าสังเกตหนึ่งในจุดเชื่อมอวกาศที่เชื่อมต่อกับเทือกเขาแห่งความมืด ด้วยการใช้วงเวทใกล้กับจุดเชื่อมอวกาศ ลูเซียนสามารถมาถึงด้านนอกของปราสาทที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาแห่งความมืดได้โดยตรง

ท่ามกลางหมอกหนา ลูเซียนเดินเข้าไปภายในปราสาทเงานี้และค่อยๆ ปลดกับดักเวทมนตร์ทีละจุดๆ ตามคำแนะนำของไรน์

ไม่นาน ลูเซียนก็เห็นวงเวทวางอยู่บนพื้น เมื่อเดินเข้าไปแล้วเขาก็ร่ายเวทมนตร์ออกมา มีแสงส่องออกมากัดกินเขา แล้วเขาก็หายไปในพริบตา

ณ ดินแดนภูเขารัตติกาล ในปราสาทที่ดูหรูหราด้วยศิลปะรูปแบบซีราคิวส์

ขณะถือแก้วอยู่ในมือ ชายหนุ่มหน้าตาดีพูดกับพ่อบ้านของเขาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กัน “ไรน์หายตัวไปนานมากแล้ว และตาแก่นั่นก็พร้อมจะลงมือ…”

ดวงตาสีแดงของเขาหรี่ลงเล็กน้อย และความคิดที่ซ่อนอยู่ภายใต้สิ่งที่เขาพูดออกมาก็ดูคลุมเครือ