ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 63 ท่านมาก่อกวนหรือ?

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

หยางเซียวชำเลืองมองเงาร่างที่จมอยู่ใต้น้ำสีเลือดในสระน้ำแข็งแวบหนึ่ง ใบหน้ายังคงเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม “โธ่เอ๋ย ข้ายังอยู่ดี เอะอะก็พูดถึงเรื่องตายอยู่ได้! น่าเบื่อจริงๆ ได้ยินว่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหวั่นต้องการเปิดศึกในเขตชายแดนแคว้นเปี้ยนของเรา ข้าก็เลยมาร่วมวงสนุกด้วย แล้วก็ถือโอกาสกำจัดลูกของขุนนางกบฏไปด้วยเสียเลย”

เขาโยนคันธนูในมือไปข้างหลัง ฮูเอ่อร์ตูรับไว้ได้อย่างแม่นยำ และเดินตามหลังเขาพร้อมกับพวกปาถูไม่ยอมห่าง

จั้นอู๋จี๋ตวัดสายตาคมปลาบไปที่ฉินเหิง ฉินเหิงกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เจ้าบอกแค่ว่าห้ามปล่อยคนของแคว้นเฉิงและติ้งขึ้นมา ไม่ได้บอกว่าคนของแคว้นเปี้ยนห้ามขึ้นมา”

จั้นอู๋จี๋เดือดดาลสุดขีด แต่เห็นแก่ที่เฉินเหมินยังมีประโยชน์กับเขา จึงกล้ำกลืนความโกรธไม่อาละวาด

หยางเซียวสาวเท้าเดินไปที่ริมสระน้ำแข็งเร็วๆ แล้วตะโกนบอกซูหลีเสียงดัง “อาหลีน้อย ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว! ไม่เจอกันหลายปี ข้าคิดถึงเจ้าจะตายอยู่แล้ว” เขาส่งยิ้มให้ซูหลีจากที่ไกลๆ ดวงตาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว ยังคงมีท่าทางขี้เล่นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เขาเหลือบมองแผลบนแขนของซูหลี ประกายโกรธเกรี้ยวพาดผ่านดวงตาที่ยิ้มจนหยี ทว่าไม่นานก็จางหายไป

ซูหลีขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไรสักคำ

จั้นอู๋จี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าฆ่าคนของข้า แล้วยังคิดจะช่วยนางอีก? ข้าว่าเจ้าอยากให้นางตายมากกว่ากระมัง”

หยางเซียวปั้นหน้าบึ้ง กล่าวด้วยความเดือดดาล “เจ้าอย่ามาปรักปรำข้านะ อาหลีน้อยเป็นคนที่ข้าชอบที่สุดในชีวิตนี้ ข้าจะทำร้ายนางได้อย่างไรเล่า? ถ้าเจ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ทำให้อาหลีน้อยเข้าใจข้าผิด และไม่ยอมไปกับข้า ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเด็ดขาด”

ซูหลีถอนหายใจเสียงเบา หยางเซียวผู้นี้ ถนัดเรื่องการพูดจาเหลวไหลและกวนน้ำให้ขุ่นเป็นที่สุด เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?

ตงฟางเจ๋อเหล่มองเขาด้วยหางตา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ท่านมาก่อกวนหรืออย่างไรกัน?”

“อ้าว ท่านรู้หรอกหรือ?” หยางเซียวหันไปมองเขา ดวงตาเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ แค่นยิ้มอย่างไม่เป็นมิตร “ก็ใครใช้ให้ท่านไม่ปกป้องอาหลีให้ดีเล่า ตอนนี้ท่านก็ยังช่วยนางไม่ได้อีก ข้าก็เลยจำเป็นต้องออกหน้า รอให้ข้าช่วยนางได้ก่อนเถิด นางก็จะเป็นของข้า”

ตงฟางเจ๋อแค่นเสียงเย็น “ฝันไปเถิด”

หยางเซียวไม่สนใจเขา เพียงหันไปมองหน้าจั้นอู๋จี๋ แล้วกล่าวว่า “เห็นแก่อาเสวียน เรื่องครั้งก่อน ข้าจะไม่คิดบัญชีกับเจ้าก็ได้ ขอเพียงเจ้าปล่อยตัวอาหลี ข้ารับปากว่าจะทำให้เจ้าหนีไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย แล้วข้าก็จะแต่งตั้งเจ้าเป็นราชบุตรเขย เพื่ออวยพรให้แก่ความรักของเจ้ากับอาเสวียน”

เป็นสวามีของอาเสวียน…

จั้นอู๋จี๋เจ็บปวดหัวใจ คำสัญญาที่ให้ไว้กับหยางเสวียนในอดีตยังคงดังก้องอยู่ในหู พวกเขาจะยึดครองแคว้นเฉิงด้วยกัน หากสำเร็จ นางจะเป็นฮองเฮาของเขา หากล้มเหลว เขาจะตามนางกลับไปเป็นราชบุตรเขยแห่งแคว้นเปี้ยน เขาคิดว่าตนเองเตรียมการไว้พร้อมทุกด้านแล้ว สุดท้ายทุกอย่างกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า หลังจากนั้น ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนก็โทษเขาว่าไม่ช่วยหยางเสวียน จึงพยายามสังหารเขา หากมิใช่ว่าเขาฉลาดปราดเปรื่องหนีเอาตัวรอดไปได้ แล้วแอบร่วมมือกับหยางเจิ้น เกรงว่าเขาคงตายไปนานแล้ว ยามนี้ได้ยินหยางเซียวเอ่ยถึงเรื่องราชบุตรเขยอีกครั้ง เขาจะไม่ปวดใจได้อย่างไร

จั้นอู๋จี๋กัดฟันกล่าวว่า “อาเสวียนตายไปแล้ว ตำแหน่งราชบุตรเขยข้าจะเอาไปทำอะไร? เจ้าต้องการใช้สิ่งนี้มาแลกกับซูหลี ดูแคลนข้าเกินไปกระมัง”

หยางเซียวเบะปากยิ้มหยัน “สำหรับเจ้า ความรักของเจ้ากับน้องเสวียนเบาบางเหมือนขนห่านดังคาด ตอนนั้นเพื่อเอาชีวิตรอดเจ้าไม่ไปช่วยนาง ยามนี้เพื่อความทะเยอทะยาน เจ้าก็ไม่แยแสหากจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางอีก”

จั้นอู๋จี๋ขยับกลีบปากเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร ความเจ็บปวดในสายตาดูชัดเจนขึ้นหนึ่งส่วนอย่างไม่รู้ตัว ปมในใจที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ ก็คือหยางเสวียน

หยางเซียวจ้องเขา แล้วเอ่ยต่ออีกว่า “ความจริงเจ้าจะสนใจหรือไม่สนใจตำแหน่งนี้ ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรน้องเสวียนก็ไม่อยู่แล้ว สายเลือดราชวงศ์เปี้ยนเราร่อยหรอลงทุกที นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้อื่นอีกแล้ว เจ้าว่า หากข้าไม่อยากเป็นฮ่องเต้ แล้วจะส่งต่อบัลลังก์ให้ใครได้อีก?”

จั้นอู๋จี๋ชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้ามองหยางเซียว แล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”

“ถึงแม้หยางจิ้นจะเป็นสายเลือดราชวงศ์ แต่ก็เป็นเพียงลูกของขุนนางกบฏ เจ้าใช้เขาเป็นหุ่นเชิด อย่างมากก็เป็นได้แค่ผู้อยู่เบื้องหลัง แต่ข้าหยางเซียวต่างหาก ที่เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเปี้ยนตัวจริง! มีเพียงข้า ที่จะทำให้เจ้ากลายเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเปี้ยนได้อย่างแท้จริง! เป็นอย่างไร พวกเรามาหารือกันหน่อยดีไหม?” หยางเซียวยกขาเหยียบขอบหินก้อนใหญ่ริมสระน้ำแข็ง ยิ้มกว้างมองหน้าเขา ท่าทางเหมือนต้องการหารืออย่างเต็มที่ คล้ายไม่ถือสาเรื่องที่หลายเดือนก่อนถูกบีบบังคับจนต้องกระโดดลงไปในทะเลสาบเซิ่งซินเลยแม้แต่น้อย

จั้นอู๋จี๋มองหน้าเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่พูดอะไร สายตาไหวระริก คล้ายหวั่นไหวเล็กน้อย

ตงฟางเจ๋อเหลือบมองที่ขอบหน้าผาอย่างแนบเนียน เงาร่างสีขาวสายหนึ่งขดตัวเป็นวงกลมแนบชิดกับขอบหน้าผา และค่อยๆ เคลื่อนไหวทีละนิด คล้ายกำลังมองหาบางสิ่งอยู่ เขาสวมเสื้อขนสัตว์สีขาวดุจหิมะ มองจากที่ไกลๆ กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นหิมะจนแยกไม่ออก

จั้นอู๋จี๋คล้ายรู้สึกได้ เขาหันไปมองทันที ลูกบอลหิมะก้อนนั้นนิ่งงันไม่ไหวติง คล้ายกลายเป็นหนึ่งเดียวกับหิมะรอบตัวไปแล้ว ไม่แตกต่างเลยแม้แต่น้อย

“นี่ จั้นอู๋จี๋ ยามนี้ถือเป็นโอกาสดีเชียวนะ แคว้นเปี้ยนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าจะเอาหรือไม่เอากันแน่?” หยางเซียวกระโดดขึ้นไปยืนบนก้อนหิน แล้วตะโกนเสียงดัง “คุยกันอย่างนี้เหนื่อยเกินไปแล้ว ข้าขึ้นมาคุยกับเจ้าตรงนี้ก็แล้วกัน!”

“หยุดอยู่ตรงนั้น!” จั้นอู๋จี๋จ้องหน้าหยางเซียว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัย “เพื่อนาง เจ้ายอมประเคนแคว้นเปี้ยนให้ข้าจริงหรือ? อย่าลืมสิ นางเป็นผู้หญิงของตงฟางเจ๋อนะ!”

หยางเซียวไม่ตอบ เพียงมองหน้าซูหลี ในสายตาแฝงไว้ด้วยประกายเจิดจ้าและอ่อนโยน “อาหลี เจ้าเคยบอกข้า ขอเพียงข้ายอมละทิ้งบ้านเมืองแล้วหนีไปกับเจ้า เจ้าก็จะอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป! ตอนนั้นข้าไม่อาจทำให้เป็นจริง ตอนนี้ ข้าใช้บ้านเมืองมาแลกกับเจ้า เจ้าคงไม่ทอดทิ้งข้ากระมัง?”

เขาถามด้วยสีหน้าจริงจัง ซูหลีกลับตะลึงงันไปเล็กน้อย กลีบปากซีดขาวขยับแล้วขยับอีก แต่กลับไม่รู้จะพูดอย่างไร

หยางเซียวยิ้มอย่างสดใส “ถ้าเจ้าไม่พูดอะไร เช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ารับปากแล้วนะ?!”

ซูหลีร้อนใจ “นั่นมันเรื่องตั้งแต่สมัยไหนแล้ว…ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน ข้าเพียงแค่สัญญาอย่างนั้นเพื่อโน้มน้าวให้ท่านรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ก็เท่านั้น ยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ฐานะของท่านกับข้าในยามนี้จะเปรียบเทียบกับตอนนั้นได้อย่างไร หยางเซียว ท่านอย่าเอาแต่เล่นอยู่อีกเลย!”

หยางเซียวพูดเสียงดังด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ได้เล่น ตอนนั้นข้าตกอยู่ในอันตราย ยามนี้ชีวิตเจ้ามีภัย ไม่เหมือนกันอย่างไร? เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่สนใจเรื่องที่เจ้าเคยแต่งงานแล้ว ลูกของเจ้า ก็เหมือนลูกของข้า ข้าจะรักเขาเหมือนลูกแท้ๆ แน่นอน…”

“หยางเซียว ท่านพูดจาเหลวไหลพอหรือยัง!” ตงฟางเจ๋อรู้สึกว่าหยางเซียวพูดจาเหลวไหลมากขึ้นทุกที ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านเห็นข้าตายไปแล้วหรืออย่างไร?” สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ แฝงแววตักเตือนอย่างชัดเจน

หยางเซียวเบะปาก ยิ้มอย่างดูแคลน “ท่านไร้ความสามารถช่วยอาหลีไม่ได้เอง ยามนี้เพื่อช่วยนาง แม้แต่บัลลังก์ข้าก็ยอมยกให้ผู้อื่นแล้ว ท่านยังกล้าบอกว่าข้าเหลวไหล? เหอะ”

ตงฟางเจ๋อมองหน้าเขา แล้วกล่าวว่า “นางเป็นภรรยาของข้าตงฟางเจ๋อ การสละบัลลังก์เพื่อช่วยชีวิตนาง ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน!”

เหล่าขุนนางได้ยินก็ตกตะลึงอย่างสุดแสน ซูหลีทนไม่ไหวตะโกนเสียงดัง “พวกท่านบ้าไปแล้วหรืออย่างไร?!”

หยางเซียวทำเรื่องใดมักไม่อิงกฎเกณฑ์ทั่วไปเสมอมา การที่เขาพูดเรื่องสละบัลลังก์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ตงฟางเจ๋อต่างกัน เขาเป็นคนมีความคิดลึกซึ้ง ทำเรื่องใดละเอียดรอบคอบตลอดมา ไม่เคยถูกผู้ใดบีบบังคับได้ และยิ่งไม่มีทางยอมอ่อนข้อง่ายๆ แล้วจะยอมทิ้งบ้านเมืองเพื่อนางคนเดียวได้อย่างไรกัน?”

“ฝ่าบาท! ไม่ได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ…” เหล่าขุนนางแคว้นเฉิงทั้งหลายคุกเข่าด้วยความแตกตื่น ต่างพากันคัดค้านสุดความสามารถ

เหลียงสือชูทั้งตกใจและเดือดดาล เขากล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “เพื่อสตรีนางเดียว ฝ่าบาทยอมยกแคว้นเฉิงของเราให้ลูกหลานกบฏจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?! ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือว่า ตอนนั้นเขาพยายามจะชิงบัลลังก์ด้วยวิธีใด เขาจับอดีตฮ่องเต้เป็นตัวประกัน ทำให้อดีตฮ่องเต้ตกพระทัยจนล้มประชวร และสวรรคตในที่สุด ในฐานะโอรส สมควรหันดาบให้ศัตรู จะไม่สนใจคำครหาของชาวโลก สละบัลลังก์ให้คนผู้นี้ได้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ? หากฝ่าบาททรงทำเช่นนั้น ชาวโลกจะต้องหันหลังให้พระองค์แน่นอน…”

“แล้วอย่างไรเล่า?” เขาไม่สนใจชื่อเสียงหลังความตายอะไรทั้งนั้น คนที่เขารัก ในโลกใบนี้มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้น สายตาของตงฟางเจ๋อไม่วอกแวก ลึกล้ำดุจบ่อน้ำแข็ง เขาตะโกนออกคำสั่งเสียงขรึม “เตรียมพู่กันและหมึกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”

…………………