บทที่ 121 ท่ามกลางสมรภูมิ

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 121

ท่ามกลางสมรภูมิ

จากความพยายามในการทำลายค่ายกลของหอการค้า หยูเย่กว่า 1 ชั่วยาม ทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่ากองทหารของตระกูลมู่หรงเริ่มถดถอย หากพวกเขาไม่สามารถยึดหอการค้า 7 ชั้นนี้ได้โดยเร็วแล้วล่ะพวกเขาอาจจะต้องทำศึกยืดเยื้อและอาจทำให้คว้าน้ำเหลวในที่สุด

มู่หรงตู่เฟิงที่เห็นท่าไม่ดี เขาจึงลงจากอานม้าและสั่งให้เหล่าจอมยุทธ์ผนวกการโจมตีร่วมกับเขา ค่ายกลที่ถูกโจมตีนานเข้าก็เริ่มสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดรอยร้าวขนาดใหญ่

“จังหวะนี้แหละ โจมตีเต็มกำลังเลย!”

“โอ้!!!” เมื่อการโจมตีเริ่มเห็นผล กำลังใจของพวกเขาก็เริ่มกลับมา พวกเขาตั้งสมาธิรวบรวมลมปราณและโจมตีเข้าที่รอยร้าวขนาดใหญ่ไปเต็มแรงอย่างพร้อมเพรียงกัน

ตู้มมมมมมมมมมมมมมมม!

ในที่สุดค่ายกลที่ราวกับเป็นประตูเมืองชั้นนอกก็ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ เสียงดังสนั่นของเกราะป้องกันที่พังทลายยิ่งทำให้กองทัพแห่งเมืองจิ้นเฉิงฮึกเหิมมากขึ้น

“ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” จ้าวตระกูลมู่หรงกู่ร้องด้วยความฮึกเหิม ก่อนที่จะนำทัพของตนเข้าโรมรันศัตรูที่อยู่เบื้องหน้า

“ต้านมันเอาไว้ อย่าให้มันเข้ามาในตัวอาคารได้!” เสี่ยวหยูที่พึ่งบรรลุขั้นเทพยุทธ์ได้หมาดๆ ตะโกนอย่างสุดเสียง พร้อมควักกระบี่ของนางออกมาราวกับให้สัญญาณออกรบกับเหล่าพันธมิตร

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงง

ขณะที่ทั้งสองทัพกำลังเข้าห้ำหั่นกันอยู่นั้นเอง สายฟ้าสีม่วงก็ผ่าลงมากั้นระหว่างทั้งสองฝ่ายเอาไว้ พร้อมกับหมอกควันที่ปกคลุมร่างชายผู้มากับสายฟ้า

“อะไรกัน!?” เหล่าแนวหน้าของทั้งสองฝั่งยกมือขึ้นมาบังตาจากแสงสีม่วงที่สว่างวาบขึ้นพริบตา เมื่อกลุ่มควันจางลงก็ปรากฏให้เห็นร่างของชายผู้เป็นปฏิปักษ์กับพวกเขา

“วันนี้คือวันตายของพวกเจ้า!” เย่เย่พูดพร้อมดึงกระบี่เทพอัสนีที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมาชี้หน้าทหารเลวที่อยู่แนวหน้าของตระกูลมู่หรง เมื่อสิ้นเสียงของเย่เย่เหล่ากองกำลังของสำนัก จ้าววายุ และอารามจ้าววรยุทธ์ที่ติดสอยห้อยตามเขามาจาก เฟิงเจิ้นก็เปิดฉากโจมตีข้างหลังของกองทัพจากจิ้น เฉิงอย่างไร้ความปรานี

เมื่อเสี่ยวหยูได้ยินเสียงของเย่เย่ครั้งหนึ่ง นางก็ยิ้มออกมาด้วยความตื้นตันใจ นางไม่รอช้าและนำทัพเหล่าจอมยุทธ์แห่งหยูเย่เข้าสนับสนุนคนรักของนาง

ไม่เพียงเสี่ยวหยู เหล่าผู้คนของหอการค้าหยูเย่เมื่อเห็นผู้เป็นนายปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ไฟในหัวใจที่ดับมอดก็กลับลุกโชติช่วงอีกครั้งหนึ่ง พวกเขากำอาวุธและวิ่งรุดหน้าเข้าหาศัตรูตามนายหญิงไปโดยปราศจากความเกรงกลัว

ในด้านหลังของกองทัพมู่หรง นอกจากกองกำลังจากสองสำนักแห่งเฟิงเจิ้นแล้ว เฉินอี้ตัน จางเสี่ยวยู่ และเหอเฉินเมื่อได้ยินข่าวการกลับมาของเย่เย่ เขาจึงนำกำลังออกมาสมทบด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งสามจะไม่ทนต่อการถูกกดขี่ข่มเหงจากตระกูล มู่หรงอีกต่อไป

“เฉินเจียนโป ไอ้คนทรยศ!” มู่หรงตู่เฟิงเมื่อเห็นเย่เย่ยังมีชีวิตอยู่ เขาที่ตระหนักได้ทันทีว่าถูกหักหลังจึงสบถออกมาด้วยถ้อยคำหยาบคาย และกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ทันใดนั้นเอง…

“มู่หรงตู่เฟิง!” เย่เย่ที่ฝ่ากองทหารแนวหน้าจนมาถึงกองกลาง ในที่สุดทั้งสองคู่ปรับก็ได้ยืนประจันหน้ากันครั้งแรก พวกเขาทั้งสองต่างมีความคิดเดียวกันว่าหากโค่นใครคนใดคนหนึ่งลงได้ พวกเขาจะคว้าชัยในทันที เมื่อพวกเขาคิดได้ดังนั้นจึงไม่รอช้าและพุ่งเข้าใส่กันในทันที

“ตายซะ!” เร็วเท่าความคิดทั้งสองกำปั้นของผู้นำทั้งสองฝ่ายประสอดประสานกันอย่างรุนแรงจนทำให้มวลอากาศโดยรอบระเบิดออก เหล่ากองทหารที่ต้านทานคลื่นลมไม่ไหวก็ล้มลงอย่างระเนระนาด ก่อนที่พวกเขาจะร่นถอยออกไปและปล่อยให้ทั้งสองประหัตประหารกันโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น

เย่เย่ที่ต้านแรงปะทะของหมัดทรงพลังของตู่เฟิงไม่ไหว เขาจึงถอยออกมาหลายก้าวเพื่อตั้งหลัก

‘สมแล้วที่เป็นมังกรสวรรค์ลำดับที่ 90 ห่างชั้นกับโจวไท่ที่ลำดับ 98 อย่างลิบลับ’ เย่เย่คิดในใจ พลางนึกถึงลำดับมังกรสวรรค์ที่เขาเคยถามลั่วเฟิงเฉิงที่ยอดเขาแห่งต้นกำเนิด อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องเอาชนะตู่เฟิงให้ได้ เพราะหากเขาแพ้ เขาก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะต่อสู้กับมูหลงที่อันดับ 72 เลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นศัตรูเสียหลักถอยออกไป จ้าวตระกูลมู่หรงสบโอกาสรวบรวมลมปราณลงที่แขนทั้งสองข้าง และใช้เพลงหมัดอินทรีย์ทะยานฟ้าเข้ารุกไล่เย่เย่อย่างบ้าคลั่งอย่างไม่ให้หายใจหายคอ

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง

“อั่ก! พรวดดด” เย่เย่ที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็รับชุดหมัดนี้เข้าไปเต็มๆ และกระอักเลือดออกมา เขาที่ไม่ยอมเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียวจึงปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งมังกรอสรพิษออกมา เกล็ดสีน้ำเงินที่ช่วยเพิ่มพลังป้องกัน และพลังกายของเขาค่อยๆแทรกขึ้นแทนผิวหนังของเขาอย่างช้าๆ

ทันทีที่ปลุกจิตวิญญาณสำเร็จ เย่เย่ก็สวนหมัดกลับไปจนทำให้ตู่เฟิงต้องเบี่ยงตัวหลบ

“หึ! อย่าได้ใจไปหน่อยเลย!” เมื่อตู่เฟิงเห็นว่ากระบวนท่าของเขาเริ่มใช้กับเย่เย่ไม่ได้ผล เขาเริ่มร่ายรำวางท่วงท่า และงัดกระบวนท่าห้วงมหรรณพออกมาใช้เพื่อหวังปิดบัญชีให้เร็วที่สุด

มวลน้ำทุกอณูในเมืองหลิงเฉิงไหลออกมารวมกันที่ตัวของตู่เฟิง และซึมซับเข้าไปที่ร่างของเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อดึงพลังเสร็จสิ้น เขาไม่รอช้าเรียกคลื่นน้ำทรงกลมขึ้นมาที่ฝ่ามือทั้งสอง ก่อนที่จะใช้มันรัดคอเย่เย่จนตัวลอยขึ้นและขาดอากาศหายใจ

เย่เย่ที่ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดจากพันธนาการนี้เสียที เขาจึงเพ่งจิตรวมปราณขึ้นที่ฝ่ามือของเขาและใช้กระบวนท่าสลาตันฟ้าคำรามเพื่อแยกมวลน้ำบริเวณต้นคอของเขาให้ขาดสะบั้น

ตู้มมมมมมมมมม

แค่ก แค่ก

ทันทีที่เขาหลุดออกจากพันธนาการ เขาก็สำลักออกมา และหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะพุ่งทะยานเข้าโจมตีด้วยหมัดแห่งสายฟ้าและพายุ

ความเร็วของเย่เย่นั้นรวดเร็วดุจดั่งพายุ เขาเงื้อหมัด พุ่งทะยานแหวกปราการวารีทั้งสามชั้นที่ตู่เฟิงสร้างขึ้น ก่อนที่จะต่อยลงไปที่ฝ่ามือเปลือยเปล่าของชายชราอย่างสุดกำลัง

เปรี้ยงงงงงงงงง

ทันทีที่การโจมตีสิ้นสุดลง แขนข้างที่รับแรงปะทะของ ตู่เฟิงก็ห้อยต่องแต่งลงในทันที นัยน์ตาของชายแก่เบิกโพลงด้วยความตกใจ ก่อนที่จะใช้มืออีกข้างกุมแขนที่เป็นอัมพาตและกระโดดทิ้งระยะออกไปหลายก้าว

เย่เย่ที่ได้โอกาสสวนกลับก็ควักกระบี่เทพอัสนีฟาดฟันลงไปที่ศัตรูอย่างรวดเร็ว ตู่เฟิงที่เห็นดังนั้นจึงใช้กำปั้นของแขนข้างที่เหลืออยู่รับการโจมตีเอาไว้ได้ทัน

เปรี้ยงงงงงงงงงงง

แม้ว่าเขาจะป้องกันจุดตายเอาไว้อย่างทันท่วงที แต่เขาก็กระอักเลือดออกมากองใหญ่

“ข้าขอยอมรับว่าข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไป! ต่อจากนี้คือของจริง” ตู่เฟิงที่ได้รับบาดเจ็บหนัก เขาประสานมือทั้งสองข้างอยู่ที่หว่างอก ทันใดนั้นเองมือทั้งสองข้างของเขาก็ส่องแสงสีทองออกมา…