บทที่ 454 พ่อตาลูกเขยถูกหลอก

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 454 พ่อตาลูกเขยถูกหลอก
“อืม……” หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ในมือทั้งสองข้าง: “เช่นนี้ดีเท่าใด สามารถอยู่บ้านเป็นเพื่อนอวิ๋นอวิ๋นกับลูกชายทั้งหลายอย่างมีสมาธิได้แล้ว”

“ออ!” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขันแต่นางก็เป็นผู้ริเริ่มจุมพิตปากของหนานกงเย่และหัวใจของหนานกงเย่ราวกับว่าถูกบางสิ่งบางอย่างกระทบกระทั่ง เกิดอาการชาพุ่งมาเป็นพักๆ

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเขาเพิ่งไปหาฝ่าบาท เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่ผู้อื่นนั้นเป็นถึงฝ่าบาท ท่านว่าท่านเป็นท่านอ๋องผู้หนึ่งท่านลำบากเท่าใดอีกถึงจะใหญ่กว่าฝ่าบาทได้

แต่ผู้คนบางคนเมื่อได้เจอเรื่องราวของนางก็จะไร้ซึ่งเหตุผลและแสดงอารมณ์เช่นเด็กๆ

เช่นนี้เป็นผลให้เกิดผลลัพธ์ดังตรงหน้านี้และก็ถูกหยุดราชการอีก

อ่อนโยนและดีเยี่ยมทั้งคืน ฉีเฟยอวิ๋นตื่นสายเล็กน้อยในตอนเช้าส่วนหนานกงเย่หลับสบายจึงได้ตื่นแต่เช้าแล้ว คนก็รู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาติดตามแม่ทัพฉีออกไปเที่ยวตั้งแต่เช้าและซื้อจิ้งหรีดสองสามตัวกลับมา

เนื่องจากทั้งพ่อตาและลูกเขยไม่ใช่ผู้ที่เคยชินกับการสู้จิ้งหรีด แม้จะรู้ว่าจิ้งหรีดใช้ต่อสู้แต่ทั้งสองคนก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจ คนอื่นขายพวกเขาก็ซื้อกลับมาเลย

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นก็เห็นทั้งสองคนอุ้มโถจิ้งหรีดกลับมากันคนละหนึ่งโถเข้าพอดี

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ ทั้งสองคนนี้ทำสิ่งใดอยู่?

“อาอวี่อยู่เป็นเพื่อนพ่อบ้านอัน อย่าได้รบกวนพวกเด็กๆพวกเขาหลับกันหมดแล้ว”

“พะย่ะค่ะ”

อาอวี่ตอบรับแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปดูทั้งพ่อตากับลูกเขย

“ทานข้าวเช้าแล้วหรือยัง?” ฉีเฟยอวิ๋นถามพวกเขา

แม่ทัพฉีกล่าวว่า: “ทานบะหมี่เนื้อแกะชามหนึ่งที่ตลาด”

“แล้วท่านหล่ะ?” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่แล้วหนานกงเย่นั้นพยักหน้า

“เช่นกัน เป็นครั้งแรกของข้าซึ่งอร่อยมาก” หนานกงเย่ได้ทานเป็นครั้งแรกจริงๆ แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ในเมืองต้าเหลียงแต่งานการที่เขาทำนั้นไม่ได้คลุกคลีกับร้านข้างทางเล็กๆเขาจึงไม่ทราบมากนัก

“แล้วนี่คือสิ่งใด?” ฉีเฟยอวิ๋นชี้ไปยังโถจิ้งหรีด

แม่ทัพฉีกล่าวว่า: “นี่คือโถจิ้งหรีดซื้อมาสู้กัน พ่อเตรียมจะสู้จิ้งหรีดกับเขา ภายภาคหน้าพวกเขาทั้งหลายก็สู้ด้วย”

ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มเจื่อนๆ มองทั้งสองคนด้วยสายตาแปลกประหลาดเล็กน้อย

หนานกงเย่รู้สึกไม่ค่อยดีนักอยู่ครู่หนึ่ง

“ท่านพ่อ เหตุใดท่านต้องซื้อสิ่งนี้ด้วย ท่านอ๋องขอให้ท่านซื้อใช่หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นแนะแม่ทัพฉีทีละขั้นๆส่วนแม่ทัพฉีไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้นแล้วตบหน้าอกยอมรับในทันทีว่าเขาต้องการซื้อเอง และเขายังยอมรับว่าเป็นเขาเองที่ยุยงหนานกงเย่

“เรื่องนี้พ่อเป็นคนตัดสินใจเองแล้วเขาจะยังไม่ซื้ออีก พ่อไม่ได้ใช้เงินของเจ้า พ่อรู้ว่าตอนนี้เจ้ามีลูกมากต่อไปจะดำเนินการเรื่องบ้านใหม่เสียดายไม่กล้าใช้ นี่เงินของพ่อ”

แม่ทัพฉีใบหน้ายิ้มแย้ม

ฉีเฟยอวิ๋นทำสิ่งใดไม่ถูกแล้ว บางครั้งพ่อของนางก็ไร้เดียงสายิ่งนัก!

“ท่านพ่อท่านอย่าเพิ่งกล่าว ข้าถามเขา”

“เจ้าถามเถอะ”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่แล้วยื่นมือออกไปเปิดฝาโถ เหลือบมองไปยังจิ้งหรีดที่วิ่งไปวิ่งมาด้านในโดยที่ตัวไม่เล็กสักเท่าใด

“นี่เป็นแม่ทัพหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นถามส่วนหนานกงเย่นั้นเห็นด้วย

“อวิ๋นอวิ๋นรู้แม้กระทั่งเรื่องจิ้งหรีดหรือ?”

“ไม่เพียงแต่รู้?” ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม: “จิ้งหรีดของพวกท่านราคาเท่าไหร่?”

“เงินห้าสิบตำลึง เงินของท่านพ่อตา”

หนานกงเย่เกรงว่าจะมีเกิดเรื่องขึ้นและรู้สึกว่าถามเรื่องนี้อยู่ได้ดูไม่ปกติ

ฉีเฟยอวิ๋นส่งเสียงจุ๊ๆสองครั้งพร้อมส่ายศีรษะ: “เงินห้าสิบตำลึงนี้ช่างเสียเปล่าซะจริงๆ”

“อะไรนะ?” หนานกงเย่ดึงโถกลับ

“จิ้งหรีดนั้นไม่ว่าจะมีความสามารถเท่าใดก็เกิดในฤดูใบไม้ผลิและตายฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น ในปลายฤดูใบไม้ร่วงพวกมันก็จะตาย ข้าว่าจิ้งหรีดสองตัวนี้ก็ได้ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วนแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่ถึงเวลาซะแล้ว พวกมันอยู่ไม่ไกลจากความตายแล้ว เจ้านายของพวกเขาไม่ได้เดินตามวิถีของจิ้งหรีดซึ่งนำพวกมันมาขายแล้ว”

“อวิ๋นอวิ๋นเจ้ากล่าวสิ่งใด เหตุใดพ่อถึงไม่เข้าใจ?” แม่ทัพฉีรู้สึกสับสนอยู่บ้าง

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยความโมโหว่า: “จิ้งหรีดต่อสู้นั้นถูกต้องแต่ท่านเคยเห็นการสู้จิ้งหรีดในฤดูหนาวหรือ ผู้คนไม่สวมเสื้อผ้ายังสามารถหนาวตายอยู่ด้านนอกได้ไม่ต้องกล่าวถึงจิ้งหรีดแล้ว

เจ้าของจิ้งหรีดเหล่านี้ใช้พวกมันหาเงิน และเมื่อถึงเวลาที่ควรปล่อยจิ้งหรีดกลับสู่ป่าให้หาวิธีตายตามธรรมชาติทว่าเพื่อกำไรเพียงเล็กน้อยนั้นก็ขายพวกมันซะแล้ว

คนเช่นนี้ถึงจะชนะในปีนี้ ปีหน้าก็จะสูญเสียทรัพย์สินมีค่าไป

แต่ผู้ที่โชคร้ายที่สุดคือท่านกับท่านพ่อซึ่งไม่รู้สิ่งใดเลย ซื้อพวกมันกลับมายังจะต้องฝังพวกมันอีก”

“พูดจาไร้สาระ คนผู้นั้นบอกว่านี่คือจิ้งหรีดที่ดีที่สุด” แม่ทัพฉีในเวลานี้ก็ยังไม่เชื่อว่าจิ้งหรีดสองสามตัวของเขานั้นกำลังจะตาย

หนานกงเย่ใบหน้าบูดบึ้ง: “เจ้ากล่าวเช่นนี้คือพวกข้าถูกหลอกหรือ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าพวกท่านเพิ่งกลับมาในเวลานี้คิดว่าคนผู้นั้นคงยังไม่จากไป กลับไปหาน่าจะยังทัน”

“จิ้งหรีดยังมีชีวิตดีอยู่กลับไปหาแล้วจะยอมรับหรือ?” หนานกงเย่กังวลใจเพื่อเงินห้าสิบตำลึง เขาซึ่งเป็นท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่จะพาท่านแม่ทัพผู้อาวุโสไปหาก็ไม่ค่อยจะเหมาะสม

“ไร้ประโยชน์!” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อาจทนดูสิ่งนี้ได้ ศักดิ์ศรีในราชสำนักโดยทั่วไปหล่ะ ยังลังเลต่อผู้ที่หลอกลวงจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

“ไปเถอะ ข้าไปกับพวกท่าน ท่านพ่อท่านไปแล้วอย่าได้กล่าวสิ่งใด คอยดูก็พอ” น้ำเสียงของฉีเฟยอวิ๋นดูไม่พอใจอยู่บ้าง เมื่อถูกฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเช่นนี้แม่ทัพฉีก็เชื่อฟังลูกสาวแล้วตามออกประตูไป

เดินทางด้วยกันสามคน ฉีเฟยอวิ๋นมาถึงแผงขายจิ้งหรีดได้อย่างรวดเร็ว มีโถจิ้งหรีดอยู่มากมายบนพื้นซึ่งด้านในไม่มีเสียงร้องสักเท่าใดแล้ว มองดูผู้ที่คุยโม้ว่าจิ้งหรีดของเขานั้นยอดเยี่ยมเช่นนั้นยอดเยี่ยมเช่นนี้

ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปตรงหน้าและถามว่า: “เถ้าแก่ ท่านพ่อและสามีของข้าซื้อจิ้งหรีดที่นี่ มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่?

“ใช่ มีสิ่งใดหรือ?ไม่ดีหรือ?” เถ้าแก่นั้นดูมีความสุขราวกับมีการค้ามาอีกแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “จิ้งหรีดของเจ้าสามารถอยู่ได้นานเท่าใด ถึงเวลาใด เกิดออกมาตั้งแต่เมื่อใด?”

เมื่อได้ยินฉีเฟยอวิ๋นถามเช่นนั้นพ่อค้าเร่ก็โมโหแทบตาย ราวกับมาหาเรื่องโดยเฉพาะ?

“คำกล่าวนี้ของท่านนั้น จิ้งหรีดเกิดเมื่อใดข้าจะรู้ได้เช่นไร มันไม่ใช่คนที่จะจดจำวันเกิดเอาไว้ได้?” พ่อค้าเร่ยังคงโกรธ

ใบหน้าหนานกงเย่หมองลง: “บังอาจ”

“เจ้าพูดอะไร?”

ฉีเฟยอวิ๋นหลือบมองหนานกงเย่ หนานกงเย่ก็หยุดกล่าวในทันทีทว่าสีหน้าของเขาก็ยังคงไม่ดีนัก

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้า จิ้งหรีดเกิดในเดือนสิบหรือที่เรียกว่าไข่ฤดูหนาว ในเดือนสี่และห้าของปีที่สองจะฟักเป็นตัวอ่อน ตัวอ่อนจะเริ่มกัดกินต้นกล้า พอเดือนหกจะกลายเป็นหนอนก็ดัวเช่นลักษณะในตอนนี้

จิ้งหรีดมีชีวิตอยู่ได้หนึ่งร้อยสี่สิบถึงหนึ่งร้อยห้าสิบวัน สุดท้ายแล้วก็จะตาย

จิ้งหรีดเหล่านี้ของเจ้าคือจิ้งหรีดของปีนี้ทั้งหมด ตอนนี้เดือนเก้าซึ่งกำลังจะตาย หากว่าเจ้าเป็นผู้จับมาก็ดียังสามารถเห็นว่ามันไม่เคยได้ต่อสู้

เหล่านี้ที่เคยต่อสู้แค่มองดูก็สามารถมองออก รอยแผลนั้นเต็มไปทั่ว ทั้งตัวแก่ตัวอ่อนเจ็บป่วยพิกลพิการ ดูแล้วไม่เลวแต่พอมองหากลับเห็นรอยแผลทั่วทั้งร่าง

ที่โหดร้ายที่สุดก็คือพวกมันแก่มากแล้ว สู้มาทั้งชีวิตถึงเวลาปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติเพื่อให้พวกมันเข้าสู่ช่วงแก่วัยอย่างสงบสุข ก็อีกแค่ไม่กี่วันซึ่งเจ้าก็ยังขายอีก ประการแรกคือต้องต่อสู้กันต่อไปจนตาย ประการที่สองคือจิ้งหรีดที่กำลังจะตายในทันทีทันใดแล้วเจ้าขายห้าสิบตำลึง เจ้าชิงมาหรือ?

“เจ้าพูดจาไร้สาระ ข้าขายจิ้งหรีดตลอดทั้งปีข้ายังสู้เจ้าไม่ได้หรือ?” พ่อค้าเร่ลำพอง

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะ: “จิ้งหรีดของเจ้าไหวหรือไม่นั้นหาผู้ชำนาญการก็พอแล้ว ข้าจะไม่ถกเถียงกับเจ้าว่าเจ้าหลอกลวงหรือไม่ พวกเรามาดูที่จิ้งหรีด ในเวลานี้เป็นช่วงหนาวเย็น เจ้าเปิดโถจิ้งหรีดของเจ้าดู จิ้งหรีดในนั้นส่วนใหญ่ตายแล้วหรือไม่

หากข้ากล่าวไม่ผิด เจ้าของจิ้งหรีดจ่ายเงินให้เจ้านำไปปล่อยในทุ่ง แต่เจ้านำมาขายเอาเงิน”

“นี้……”

พ่อค้าเร่สีหน้าตื่นตระหนก แม่ทัพฉีอารมณ์ไม่ดีจึงเตะใส่พ่อค้าเร่จนล้มลงกรีดร้องอยู่บนพื้น

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างโมโห: “ดูเจ้าแล้วไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาคิดว่าทุกๆคนโง่ทั้งนั้นหรือ?

ท่านพ่อ ส่งให้ที่ทำการปกครองเมืองเถอะ”

เมื่อพ่อค้าเร่ได้ยินลุกขึ้นแล้วก็ต้องการวิ่งหนีเลย แม่ทัพฉีเตะโถจิ้งหรีดบนพื้นจนระเนระนาด โถจิ้งหรีดกระแทกเข้ากับพ่อค้าเร่ พ่อค้าเร่ล้มลงกับพื้นและลุกขึ้นมาไม่ได้