บทที่ 1686+1687

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1686 เพื่อนร่วมทาง

พลังยุทธ์ในตอนนี้ของกู้ซีจิ่วสูงพอแล้ว หลังจากที่เธอเปิดใช้เนตรหยินหยาง ก็มองเห็นวิญญาณอาฆาตเลือนรางเหล่านั้นได้แล้ว…

มีทั้งที่เป็นสัตว์และเป็นมนุษย์ วิญญาณอาฆาตเหล่านี้ล่องลอยร้องโหยหวนบนเส้นทางกระดูกขาว ทว่ากลับอยู่ห่างจากพื้นได้ไม่เกินสามฉื่อ

วิญญาณโลกีย์!

พวกนี้คือวิญญาณโลกีย์!

หลังจากใช้วิธีพิเศษสังหารคนหรือสัตว์เหล่านี้ให้ตาย ดวงวิญญาณของพวกมันจะไม่ดับสูญ ทำได้เพียงล่องลอยอยู่เหนือโครงกระดูกตัวเอง ไออาฆาตหนาแน่น ทำให้พื้นดินนี้มืดมนและหนาวเหน็บดังอุโมงค์น้ำแข็ง

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอยิ่งมั่นใจว่าที่นี่น่าจะเป็นฐานลับของโม่เจ้า!

สภาพของสถานที่แห่งนี้เหมือนกับวังใต้พิภพภายใต้ภูเขาไฟนั้น ทว่ารูปแบบแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

การปลูกสร้างสถานที่เช่นนี้ ไม่ได้ใช้ความเพียรพยายามเพียงแค่ชั่วข้ามคืน

กู้ซีจิ่วกวาดตามองสีของกระดูกขาวเหล่านั้นระหว่างทาง มีโครงกระดูกเก่าที่มีอายุมากกว่าสิบปี และมีโครงกระดูกใหม่เมื่อช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มี…

ตี้ฝูอีติดตามอยู่ข้างกายนางตลอด เขากวาดตามองรอบด้านอย่างเงียบสงบเช่นกัน ปลายคิ้วขมวดเล็กน้อย แผนผังของสถานที่แห่งนี้เหมือนกับค่ายกลที่ยิ่งใหญ่ค่ายกลหนึ่ง ด้วยความสามารถของเขา กลับมองไม่ออกว่านี่คือค่ายกลอะไรเช่นกัน แม้แต่ควรจะเดินไปทิศทางไหนก็ยังไม่รู้

ทว่ากู้ซีจิ่วกลับเหมือนรู้จักเส้นทาง นอกจากความมึนงงเพียงเล็กน้อยตอนที่เพิ่งเริ่มเข้ามาแล้ว หลังจากนั้นเธอก็เหมือนเป็นแขกประจำของที่นี่ สาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า

“เจ้าเคยเห็นแผนผังของที่นี่หรือ?” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามนาง

กู้ซีจิ่วไม่ได้หันหน้ากลับมา ทว่าเธออธิบาย “ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่หลงฟั่นสร้างขึ้นมา เป็นหนึ่งในฐานลับของเขากับโม่เจ้า”

ตี้ฝูอีเคยเห็นฐานลับอื่นอีกสองแห่งของหลงฟั่น แต่การจัดวางแผนผังของที่นี่ไม่มีจุดไหนที่เหมือนกับอีกสองแห่งก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย

เขากล่าว “ข้ารู้ว่าที่แห่งนี้ต้องเป็นฐานลับของพวกเขาอย่างแน่นอน ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นการจัดวางเส้นทางของที่นี่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตรงไหนคือตาค่าย?”

หรือว่ามีบางสิ่งที่เขาไม่รู้ หากเป็นเมื่อก่อน กู้ซีจิ่วจะต้องถ่ายทอดความรู้ให้เขาอย่างภาคภูมิใจ แล้วล้อเลียนเขาสักหน่อยเป็นแน่

ทว่ายามนี้ เธอไม่มีกะจิตกะใจ

น้ำเสียงของเธอไม่ไยดียิ่งกว่าเดิม “ที่นี่เลียนแบบผังการไหลเวียนโลหิตของงูเหลือม ตาค่ายของมันต้องเป็นตำแหน่งหลังหัวเจ็ดนิ้วซึ่งเป็นจุดตายแน่นอน ในเมื่อผู้บงการเบื้องหลังต้องการเก็บโลหิตของจิ้งจอกน้อยเพื่อฝึกฝน ก็ต้องอยู่ที่จุดสำคัญบริเวณตาค่ายแน่”

ตี้ฝูอีพูดจาอันใดไม่ออก หากเป็นผังการไหลเวียนโลหิตของมนุษย์ เขามองออกได้ในแวบเดียว ทว่างูเหลือม…

“เจ้าเคยศึกษาผังการไหลเวียนโลหิตของงูเหลือมตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ตี้ฝูอีสงสัย

กู้ซีจิ่วไม่ตอบ หากเป็นคำถามที่ไม่จำเป็น เธอคร้านที่จะเอื้อนเอ่ย

ตอนเธอเรียนการแพทย์ในยุคปัจจุบัน ได้ชำแหละสัตว์บางชนิดเป็นประจำ หนึ่งในนั้นก็คืองูเหลือม…

พูดได้เลยว่าหลงฟั่นเป็นอัจฉริยะสติเฟื่องจริงๆ เขาสร้างฐานลับขึ้นมาประหนึ่งงูเหลือมที่ถูกชำแหละแล้ว

หากไม่คุ้นเคยกับโครงสร้างของงูเหลือม ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลมาถึงที่นี่ก็ต้องงงวย!

ครั้งนี้หากไม่ใช่กู้ซีจิ่วเข้ามา อาศัยตี้ฝูอีเพียงคนเดียว ต่อให้คลำทางไปทั้งวันก็ไม่อาจตามหาสถานที่ที่ถูกต้องได้

อาจด้วยเหตุผลที่เป็นฐานลับ อีกทั้งคนของโม่เจ้ากับหลงฟั่นก็ถูกตี้ฝูอีกวาดล้างนองเลือดไปแล้ว ดังนั้นคนที่นี่จึงมีไม่มาก

ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางนี้ก็ไม่ได้พบผู้คนจำนวนมาก

ถึงแม้คนที่นี่จะน้อย ทว่าแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ กู้ซีจิ่วเคยแอบสำรวจดู พลังยุทธ์ต่ำสุดของคนเหล่านี้คือบรรลุถึงพลังวิญญาณขั้นแปดแล้ว ส่วนมากล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไป

เธอทราบจากการพูดคุยของพวกเขาว่า เดิมทีคนเหล่านี้เป็นลูกน้องของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม หลังจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมพ่ายแพ้ คนเหล่านี้ก็ถูกนายท่านของฐานลับนี้ซื้อตัวมา

——————————————————————–

บทที่ 1687 ซ้ำยังกอดกันแน่นถึงเพียงนี้ด้วย!

แน่นอนว่าด้วยวรยุทธ์ในปัจจุบันของพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองสามารถใช้คำว่าสะท้านโลกามาบรรยายได้เลย ตลอดการเดินทางนี้ของทั้งสองคน หากว่าพบเจอคนที่มาตามลำพังหรือว่ามาด้วยกันเพียงสองสามคน ล้วนถูกพวกเขาโจมตีด้วยกระบวนท่าดุจสายฟ้าแลบจนมอดม้วยไป ไม่ได้เปล่งเสียงอุทานออกมาเลยสักแอะ

เมื่อเจอกลุ่มที่มากันสี่ห้าคน พวกเขาก็ใช้วิชาเร้นกายเสีย…

ดังนั้นตลอดทางนี้จึงราบรื่นไร้อันตราย

ในไม่ช้า คนทั้งสองก็เข้าใกล้ส่วนใจกลางแล้ว และในยามนี้เอง เกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้น!

เนื่องจากตลอดทางมานี้ทั้งสองไม่พบสิ่งของจำพวกกับดักกลไกเลย ดังนั้นจึงประมาทไปอย่างใหญ่หลวง

ไม่ทราบว่าเท้าข้างหนึ่งของตี้ฝูอีไปเหยียบโดนอะไรเข้า พื้นที่เดิมทีเป็นปกติจู่ๆ ก็แยกออกเป็นหลุมใหญ่อย่างไร้สุ้มเสียง!

ตี้ฝูอีไม่ทันระวัง ร่วงดิ่งลงไปทันที!

กู้ซีจิ่วที่เดินนำอยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงผิดปกติจากด้านหลัง ขณะที่รีบหันกลับไป ด้านหลังก็ไม่มีเงาร่างของตี้ฝูอีอยู่แล้ว ตรงจุดเดิมปรากฏโพรงลึกกว้างสองจั้ง

กู้ซีจิ่วทึ่มทื่อไปไม่กี่วินาที รีบร้อนโผเข้าไป!

มองลงไปในโพรงแวบหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าโพรงนี้จะลึกจนไม่อาจหยั่งได้ ในส่วนลึกของโพรงมีแสงสีแดงจุดเล็กๆ กะพริบอยู่รางๆ…

เธอมองเห็นตี้ฝูอีแล้ว เขาไม่ได้ร่วงลงไปที่ก้นหลุม ร่างติดอยู่บนผนังโพรงที่อยู่ลึกลงไปเจ็ดสิบแปดสิบจั้ง

เนื่องจากแสงในโพรงสลัวเลือนราง กู้ซีจิ่วจึงมองเห็นไม่ชัดว่าสรุปแล้วเขาเป็นอย่างไรบ้าง เพียงแต่ด้วยวรยุทธ์ของเขา หากว่าเพียงร่วงตกหน้าผาแห่งหนึ่งติดกับดักอันใดเข้า ก็น่าจะกระโจนขึ้นมาได้ทันทีมิใช่หรือ? เช่นนั้นที่เขาโอ้เอ้ไม่ขึ้นมาเสียทีเป็นเพราะอะไรกัน?

ไม่มีเวลาให้ใคร่ครวญแล้ว กู้ซีจิ่วแทบไม่ได้คิดเลยว่าควรทำอย่างไร ตัวคนก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายลงไปแล้ว…

เธอเคลื่อนย้ายไปโผล่ข้างกายเขาเสียงดัง ‘ฟุ่บ!’

จากนั้น…ก็เบียดเสียดอยู่ที่เดียวกับเขา

หลังจากที่กู้ซีจิ่วลงมาแล้วถึงได้ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

กลไกนี้พิสดารนัก มองจากด้านบนดูเหมือนจะกว้างใหญ่หลายจั้ง แต่หลังจากลงมาจริงๆ กู้ซีจิ่วถึงได้พบว่าโพรงนี้แคบยิ่งนัก แคบขนาดที่จุคนได้เพียงสองคน…

เธอคิดจะลงมาข้างกายเขาชัดๆ กลับคาดไม่ถึงว่าหลังจากกระโดดลงมาแล้ว ราวกับมีบางสิ่งที่เบียดดันเธอ ไม่น่าเชื่อว่าจะดันให้เข้าสู่อ้อมแขนของเขาโดยตรง

เดิมทีตี้ฝูอีหันหน้าเข้าหาผนังโพรง เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงฝืนหมุนกายกลับมา ด้วยเหตุนี้จึงรับตัวกู้ซีจิ่วที่ร่วงลงมาได้พอดี

โพรงนี้ประหลาดนัก มีความยืดหยุ่นสูงยิ่ง

ตอนที่ตี้ฝูอีตกลงมาคนเดียว ผนังโพรงทั้งสองด้านเบียดดันเขาให้อยู่ตรงนั้นขยับเขยื้อนไม่ได้ชั่วขณะ

แต่หลังจากที่กู้ซีจิ่วร่วงลงมา โพรงนี้ก็กลายเป็นโพรงที่พอจะฝืนจุคนสองคนไว้ได้ ทั้งสองคนเบียดเสียดกันดั่งปลากระป๋อง แม้แต่กระดาษสักแผ่นก็ไม่อาจสอดเข้าไปตรงกลางได้

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน

นับแต่ทั้งสองเลิกรากันมาเนิ่นนานปานนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้กอดกันอีกครั้ง ซ้ำยังกอดกันแน่นถึงเพียงนี้ด้วย!

กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์บนร่างเขาอวลอยู่ที่ปลายจมูก อ้อมแขนของเขายังคงอบอุ่นเช่นในอดีต อ้อมกอดนี้เคยเป็นสถานที่ที่เธอโหยหาที่สุด

ตอนนี้พอได้แนบชิดอ้อมแขนนี้อีกครั้ง หัวใจกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหวปานจมน้ำ ความฝาดเฝื่อนอันน่าประหลาดพุ่งตรงขึ้นมา เธอเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มดันตัวเล็กน้อย คิดจะดันตัวออกจากอ้อมแขนของเขา

เธอไม่อยากอยู่ในอ้อมแขนของเขา ไม่อยากแนบชิดกับเขาเช่นนี้!

แต่ผนังโพรงทั้งสองด้านที่กดทับเธอกับเขาไว้กลับแข็ง เธอดันตัวออกไปไม่ได้เลย

และด้วยการดิ้นรนของเธอ ผนังโพรงนั้นก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมา เบียดดันเข้ามาอีกครั้ง ต่อให้กู้ซีจิ่วอยู่ในอ้อมแขนเขาก็ยังถูกดันจนหายใจไม่ออกอยู่บ้าง

หน้าอกเธอแนบติดกับหน้าอกของเขา แนบชิดสนิทในอย่างเหนือธรรมดา

สมัยก่อนยามที่ทั้งสองยังรักกันหวานซึ้งก็ยังไม่ได้แนบชิดกันเช่นนี้เลย ตี้ฝูอีย่อมสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของร่างกายนางได้ ฉากรักใคร่หวานซึ้งในช่วงหลายปีมานี้ผุดวาบขึ้นมาในสมองของเขา

——————————————————————