ตอนที่ 3 เด็กมัธยม

หัวโจก

โจวจิ้งไม่มีโอกาสได้เรียนที่ยวู่เต๋อไฮสคูลเหมือนอย่างโจวเค่อ

ด้วยความที่โตกว่าน้องชายหกปี เธอจึงจบชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนแถบชนบทตอนที่เขาเรียนจบชั้นประถมพอดี

ผู้เป็นแม่อยากให้โจวเค่อเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง จึงย้ายบ้านมาที่เมือง H และแม้ชีวิตของโจวจิ้งจะแตกต่างจากผู้เป็นน้อง แต่สิ่งเหล่านั้นไม่อาจปิดกั้นความฉลาดของเธอได้

โจวจิ้งเป็นนักเรียนทุนตั้งแต่เล็กจนจบมหาวิทยาลัย ทั้งหมดเป็นเพราะความขยันหมั่นเพียรและการไม่หยุดพัฒนาตัวเอง

เธอเคยได้ยินชื่อเสียงของยวู่เต๋อไฮสคูลมาก่อน เด็กใหม่ในบริษัทหลายคนก็จบจากที่นี่

โจวจิ้งค่อนข้างมั่นใจในคุณภาพของโรงเรียนแห่งนี้ ด้วยความที่ลูกศิษย์ของที่นี่มักจะประสบความสำเร็จและมีหน้ามีตาในสังคม แต่พอได้มีโอกาสเข้าเรียน เธอกลับต้องเป็นเพียงเด็กเกเรผมสีทอง

เจ้าเขียวยืนมองโจวจิ้งที่กำลังเอาน้ำลูบหน้าอย่างแรงพลางบ่น “ถ้าเครื่องสำอางมันเละก็แค่เติมแป้งนิดหน่อย ไม่เห็นจะต้องล้างออกเลย เดี๋ยวก็ต้องแต่งใหม่อีก ยุ่งยากจะตาย”

โจวจิ้งไม่มีอารมณ์จะคุยกับเขา เจ้าของร่างนี้อาจชอบดูงิ้วแต่เธออายุมากแล้ว คงรับอะไรแบบนี้ไม่ไหว

หลังดึงขนตาปลอมออกอย่างไม่ลังเล เธอก็ใช้กระดาษทิชชูซับหน้าจนแห้งแล้วยืนใจลอยส่องกระจก—

นี่สินะ ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กมัธยม

ที่โจวจิ้งไม่ได้พูดถึงก็คือ ผมสีทอง ผิวขาวซีด ตาสีดำ และใบหน้าที่พอไปวัดไปวาได้

แม้จะยังบอกไม่ได้ว่าเด็กสาวตรงหน้าสวยหรือไม่ แต่หากได้ลองแต่งหน้าแต่งตัว คงจะพอเฉิดฉายในสังคมได้บ้าง

โจวจิ้งพยายามมองข้ามผมสีทองที่ดูขัดตา นิ้วมือลูบไล้ใบหน้าที่มีคอลลาเจนเต็มเปี่ยม—คนอายุสามสิบเอ็ดอย่างเรา ต่อให้กินอาหารเสริมเยอะแค่ไหน ก็ไม่มีวันได้ผิวหน้าที่ทั้งเด้งและเต่งตึงแบบนี้แน่!

เจ้าเขียวยืนขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง “ลูกพี่เจ็บแก้มเหรอ?”

โจวจิ้งขยุ้มผมสีทองอร่ามบนหัว “ฉันอยากย้อมผม แถวนี้มีร้านทำผมบ้างไหม?”

โจวจิ้งไม่คุ้นเคยกับยวู่เต๋อไฮสคูล เพราะที่นี่อยู่กันแบบโรงเรียนประจำและไกลจากตัวเมืองค่อนข้างมาก

นักเรียนทุกคนจะต้องอยู่หอ ได้กลับบ้านแค่วันหยุดสุดสัปดาห์ จึงไม่แปลกที่เธอจะไม่คุ้นเคย เพราะตั้งแต่มาอยู่เมือง H เธอก็อยู่แต่ในเมือง ไม่เคยออกไปเที่ยวชานเมืองสักครั้ง

“วันนี้วันจันทร์… ออกจากโรงเรียนไม่ได้” เจ้าเขียวทำหน้าเหมือนกำลังเห็นผี

นิ่งไปได้สักพัก โจวจิ้งก็ตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ลืมไป นึกว่าวันนี้เป็นวันเสาร์” พูดจบก็เดินออกจากห้องน้ำและถามเจ้าเขียวต่อ “มีคู่มือเกี่ยวกับกฎระเบียบของโรงเรียนบ้างไหม?”

“มี ว่าแต่ลูกพี่จะเอาไปทำอะไร?” เจ้าเขียวถามพร้อมกับก้มลงค้นกระเป๋า

“ฉันอยากรู้ว่ามีกฎอะไรที่แหกได้บ้าง?” โจวจิ้งตอบ

เธอค่อนข้างเครียดกับการต้องกลับไปเป็นเด็กมัธยมอีกครั้ง ด้วยความที่จบมานานหลายปี รวมถึงชีวิตของเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ต่างกับสมัยก่อน แค่ทัศนคติของเธอกับโจวเค่อก็คนละขั้วกันแล้ว ไหนจะความต่างระหว่างเธอกับเด็กเปรตพวกนี้อีก คู่มือของโรงเรียนจึงสำคัญในการป้องกันความกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้

“ถ้างั้น ลูกพี่คงต้องอ่านให้ละเอียดเลยล่ะ” พูดจบเจ้าเขียวก็ส่งหนังสือให้โจวจิ้งเล่มหนึ่ง

“นี่มันหนังสือของพวกเด็กเรียน ทำไมแกถึงพกติดตัวตลอดเวลา?” เธอถามกลับ

ดูก็รู้ว่าเด็กหนุ่มหัวเขียวตรงหน้าไม่ใช่เด็กเรียน การที่เขาพกคู่มือของโรงเรียนติดตัวตลอดเวลาจึงเป็นเรื่องที่แปลก

เจ้าเขียวยืนสงบนิ่ง แต่สีหน้าไม่ได้นิ่งตาม

โจวจิ้งมองเขาด้วยแววตาสงสัย ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ตอบ เสียงข้อความในมือถือก็ดังขึ้นราวกับช่วยชีวิต

เจ้าเขียวก้มหน้ามองจอแล้วพูดขึ้นว่า “มั่วลี่บอกว่ากำลังตามมา ให้พวกเรารออยู่ที่นี่”

“มั่วลี่ไหนอีกเนี่ย?” โจวจิ้งพึมพำ

ชื่อนี้เหมือนหลุดออกมาจากบทกวี ดูสุภาพเรียบร้อย เจ้าของชื่อจะต้องมีหน้าตาที่สวยสดดั่งรูปวาดอย่างแน่นอน

ขณะที่เธอกำลังจินตนาการภาพของเด็กสาวแสนสวยในกระโปรงตัวยาวสีขาว สาวหัวแดงคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา

“โอ้ว แม่เจ้า…” โจวจิ้งอุทานทันทีที่ได้เห็น

สาวหัวแดงตะโกนเรียกเธอแต่ไกล “เจ๊จิ้ง!”

เจ้าของหัวสีแดงที่ว่าใส่ชุดนักเรียนเหมือนกับเธอ แม้จะตัวเล็กแต่ร่างกายท่อนบนกลับหนาแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ

สาวหัวแดงเอามือเท้าไหล่โจวจิ้งข้างหนึ่งแล้วยืนหอบด้วยความเหนื่อย คิ้วที่อยู่บนหน้าของอีกฝ่ายถูกวาดจนเหินขึ้นฟ้าพร้อมจะโบยบิน ผมสีแดงชี้ฟูโดดเด้งเป็นสง่าเมื่อต้องปะทะกับผิวที่ดำคล้ำ

โจวจิ้งเริ่มจะเข้าใจท่าทางหวาดกลัวและรังเกียจของบรรดานักเรียนที่เดินผ่านพวกเธอสามคนแล้ว

คนหนึ่งหัวสีทอง คนหนึ่งหัวสีเขียว และอีกคนหัวสีแดง หากเดินเรียงกันสามคน คงไม่ต่างจากสัญญาณไฟจราจร

หัวแดงรูปร่างค่อนข้างอวบ หน้าอกก็ใหญ่ตามไปด้วย เมื่อห้อยบัตรนักเรียนไว้ตรงกลางจึงดึงดูดสายตาของใครหลายคน โดยเฉพาะโจวจิ้ง

“มั่วลี่ ไป๋?”

สำหรับโจวจิ้ง หัวแดงไม่สมควรได้เป็นดอกมั่วลี่* แต่ควรเป็นดอกโบตั๋นมากกว่า

เธอเริ่มรู้แล้วว่าเจ้าของร่างนี้เป็นคนยังไง ยุคนี้พัฒนารวดเร็วจนตามไม่ทันจริงๆ หากให้คะแนนได้ โรงเรียนมัธยมแห่งนี้คงได้ศูนย์คะแนน

“ขอโทษนะเจ๊จิ้ง” มั่วลี่หลุบตาลงแล้วอธิบายเสียงสั่น “ตอนเถาม่านต่อยเจ๊ ฉันคิดจะเข้าไปช่วย แต่ ‘เมี่ยเจวี๋ย’ ดันโผล่มาเสียก่อน เจ๊ก็รู้ว่าเทอมที่แล้วฉันถูกหักคะแนนความประพฤติ ถ้าถูกหักอีก พ่อต้องบุกมาตบฉันถึงที่นี่แน่!” เธอทำหน้าสลด

โจวจิ้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเพิ่งมีเรื่องทะเลาะตบตีมา จึงตั้งใจฟังมั่วลี่เล่าต่อ

“ถึงจะไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วย แต่ฉันก็เชื่อในความสามารถของเจ๊ ตอนสลบเจ๊ถูกเยาะเย้ยไว้มาก ถ้างั้นก็ต้องรีบกู้หน้าคืน นังชะนีเถาม่านจะได้รู้ซึ้งถึงผลของการแย่งแฟนคนอื่น!”

“หา…”

หลังเปลี่ยนประเด็นเสร็จ มั่วลี่ก็ชี้ไปที่ด้านหลังของโจวจิ้ง“มานั่นแล้ว ถึงเวลาของเราแล้ว!”

“เอิ่ม…” โจวจิ้งตกใจเพราะยังไม่ได้ตั้งตัว

“เถาม่าน หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!” มั่วลี่ตะโกนเสียงดังลั่น “ห้ามขยับเด็ดขาด!”

โจวจิ้งยืนตัวแข็งทื่อ ในใจมีน้ำตาเล็ดออกมาเรียบร้อยแล้ว—นี่มันอะไรกัน?

ที่เธออยากทำที่สุดในตอนนี้ คือการขุดหลุมฝังยัยมั่วลี่หัวแดงให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย—อีเด็กเวร จะช่วยแก้แค้นหรือช่วยสร้างงานกันแน่!

ทันใดนั้น เสียงที่ค่อนข้างเพราะแต่แฝงด้วยความดูถูกและไม่พอใจก็ลอยขึ้นที่ด้านหลังของโจวจิ้ง

“มีอะไรไม่ทราบ?”