ตู๋กูซิงหลันมองมันด้วยสายตาเยือกเย็น กล่าวว่า “ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องตอบแทนบุญคุณไว้ชีวิตของเราแล้ว”
ผีตายโหง “……” มันกล้าไม่ตอบแทนด้วยหรือ? สตรีผู้นี้ผนึกยันต์สยบวิญญาณเอาไว้ในดวงจิตของมัน หากเมื่อไรที่มันไม่เชื่อฟังก็อาจดวงจิตแตกซ่าน วิญญาณสลายไปได้ทุกขณะ!
วิญญาณทมิฬ “……” ปัดโถ่เว้ย เนื้ออยู่ในปากแท้ๆ ทำไมยังบินหนีไปได้อีกหือ?
ไม่! อั๊วจะไม่ทิ้งมันไป! ไม่ยอมถอดใจเด็ดขาด! ใครจะรู้ว่ากว่าจะได้เหยื่อดีๆ สักตัวต้องรอนานถึงเพียงไหน!
รอให้เจ้าเนื้อก้อนนี้ทำงานเสร็จเมื่อไหร่ จะต้องจับมันกินให้เกลี้ยง! ไม่ให้เหลือแม้แต่ข้อนิ้วเลยทีเดียว!
‘เนื้อติดมัน’มองดูเจ้าถวนจื่อตัวดำที่อยู่ด้านข้าง ก็พลันรู้สึกหนาวๆ เย็นๆ ขึ้นมา
………………………………………
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ สุสานประจำตระกูลตู๋กู บนเขาที่สูงที่สุด
ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยดอกชมจันทราสีขาว ผลิบานอย่างงดงามที่สุด
ภายในเขตเมืองหลวงที่รุ่งเรือง คงมีแต่สถานที่แห่งนี้ที่ยังเงียบสงบ เต็มไปด้วยบุปผาผลิบานวิหคขับขาน สายหมอกม้วนตัว กำเนิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามเกินจะบรรยาย
สุสานของเย่วฮูหยินซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหมู่ดอกชมจันทราเหล่านี้นี่เอง
บนป้ายสุสานมีรูปสลักจากหินที่งดงามปราณีต แกะสลักเป็นรูปสาวน้อยที่บอบบางงามสง่าผู้หนึ่ง หากมองให้ละเอียดละก็ สตรีผู้นี้และตู๋กูซิงหลันมีความคล้ายคลึงกันอยู่สามส่วน
ด้านข้างของหิน สลักอักษรตัวโตคำว่า ‘ ภรรยาสุดที่รัก ตู๋กูซื่อเจียงเย่ว ‘ ลงนาม ‘ สามี ตู๋กูถิง’
สุสานของเย่วฮูหยินมีขนาดไม่เล็กนัก ฟังว่าตอนที่กลบฝังนั้น ตู๋กูถิงบรรจุสมบัติล้ำค่าคณานับใส่ลงไปด้วย ตัวสุสานเองก็ก่อสร้างอย่างปราณีต การตกแต่งแม้ไม่อาจเทียบได้กับเหล่าราชนิกูลสายใน แต่อย่างใดก็ไม่ด้อยไปกว่าเชื้อพระวงค์สูงศักดิ์เด็ดขาด
ผู้คนทั้งหลายต่างทราบดีว่า ท่านผู้เฒ่าตู๋กูรักใคร่ภรรยาเอกเจียงเย่วมากเพียงใด ตลอดชีวิตเพียงรับอนุไว้แค่คนเดียว และอนุผู้นั่นก็เป็นน้องสาวของเย่วฮูหยิน
หลังจากที่เย่วฮูหยินจากโลกนี้ไปแล้ว นายท่านผู้เฒ่าก็ไม่ได้ยกย่องอนุผู้นั้นขึ้นมาเป็นภรรยา นี่เห็นได้ชัดเจนเลยว่าจิตใจที่นายท่านผู้เฒ่ามีต่อเย่วฮูหยินนั้นมั่งคงเพียงไร
ที่จริงแล้ว สำหรับเหล่าบุรุษในแคว้นต้าโจว การมีสามภรรยาสี่อนุก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าตลอดชีวิตมีเพียงหนึ่งภรรยาหนึ่งอนุเรียกว่าน้อยเสียจนแค่หยิบมือ อย่าว่าแต่ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นตู๋กูถิงเลย
อีกทั้งเย่วฮูหยินยังเป็นผู้ที่คนทั้งหลายกล่าวขวัญกันว่า อดีตฮ่องเต้ทั้งสองพระองค์ของต้าโจวต่างให้ความเคารพอย่างที่สุด
ทั้งยังเล่าลือกันว่า ปฐมกษัตริย์ทรงบัญญัติข้อกำหนดไว้ว่า ลูกหลานตระกูลจีทั้งหมดพึงให้ความเคารพเย่วฮูหยิน
ดังนั้นที่ผ่านมายามอดีตฮ่องเต้ยังทรงพระชนม์อยู่ ทุกปียามถึงวันรำลึกถึงเย่วฮูหยินก็จะต้องเสด็จมาด้วยพระองค์เอง
ก่อนหน้านี้ยามตระกูลตู๋กูยังรุ่งเรืองอยู่ พวกผู้สูงศักดิ์ที่ชอบประจบประแจงทั้งหลายต่างก็แย่งชิงกันจะมาช่วยเฝ้าสุสานเย่วฮูหยิน ยามถึงวันรำลึกก็รีบมาแสดงความกตัญญู
เรียกว่าในช่วงวันรำลึกถึงเย่วฮูหยินนั้น สุสานแห่งนี้ได้กลายเป็นที่จัดงานสำคัญไปแล้ว
วันนี้ตระกูลตู๋กูไม่อาจทัดเทียมเหมือนเมื่อก่อน ผู้มาเยือนก็พลอยบางตาไปด้วย
ทุกคนต่างทราบแก่ใจดีว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงเกลียดชังตระกูลตู๋กู จึงเกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัย พวกเขาจึงไม่กล้าจะผูกสัมพันธ์กับตระกูลตู๋กูมากนัก
ผู้คนที่มาในงานรำลึกปีนี้ น้อยนิดจนนับนิ้วได้
มีเพียงอี้อ๋องผู้ไม่เคยขาดหาย ทั้งยังนำอดีตพระสนมเสียนไท่เฟยที่น้อยครั้งจะออกนอกวังมาด้วย
ทั้งสองแต่งกายสุภาพราบเรียบ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคารพ
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สว่างสดใส เสียนไท่เฟยทรงกางร่มกระดาษสีขาว สวมชุดกระโปรงชาววังสีดำสนิท ดวงตาและหว่างคิ้วของนางเผยสีหน้ามีเมตตาเห็นอกเห็นใจผู้ทุกข์ยากอยู่หลายส่วน ในมืออีกข้างก็ประคองพระไตรปิฎกที่คัดด้วยตนเองเอาไว้ ให้ชิงผินนางกำนัลประจำตัวนำไปเผาที่ด้านหน้าสุสานเย่วฮูหยิน
แม่ลูกอี้อ๋องรำลึกถึงความผูกพันแต่หนหลัง ผู้คนทั้งหลายต่างทราบดีว่า หลายปีก่อนนั้นตระกูลตู๋กูมีบุญคุณต่อแม่ลูกอี้อ๋องเพียงไร
หากว่าตอนนี้ผู้ที่สืบทอดบัลลังก์คืออี้อ๋องละก็ ตระกูลตู๋กูก็คงจะยิ่งรุ่งเรืองขึ้นไปอีกแน่แล้ว
น่าเสียดาย……….ศึกในการช่วงชิงบัลลังก์นั้น อี้อ๋องกลับพ่ายแพ้
จีเย่ว์ขึ้นไปจุดธูปไหว้เย่วฮูหยินด้วยตนเอง สายตาของเขาทอดมองไปในหมู่ผู้คน เจียงเหม่ยหยู่นำผู้คนยืนอยู่ด้านหนึ่ง สมาชิกในตระกูลตู๋กูส่วนใหญ่ต่างมากันแล้ว แต่กลับไม่เจอหลันเอ๋อร์ และไม่เห็นตู๋กูจุนด้วยเช่นกัน
เขากวาดมองไกลออกไปก็ยังไม่พบตู๋กูซิงหลัน แต่กลับเห็นคนชุดดำกลุ่มหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา
นั่นคือ……..จีเฉวียนหรือ?
ผู้คนต่างก็หันไปมอง กระทั่งคนกลุ่มนั้นเดินเข้ามาใกล้ จึงพบว่าเป็นฮ่องเต้จริงๆ!
ไม่ใช่ว่าฝ่าบาททรง……..เกลียดชังตระกูลตู๋กูหรอกหรือ? ไยจึงมาที่นี่ได้กัน?
และที่ยิ่งทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงไปอีกก็คือ พระสนมเต๋อเฟยที่มาพร้อมกับฝ่าบาท
วันนี้พระสนมเต๋อเฟยสวมชุดที่เรียบยิ่งกว่าเดิม บนศีรษะเพียงปักดอกไม้ขาวดอกหนึ่ง ดูไปราวกับหลานสาวที่ยังมีชีวิตอยู่ของเย่วฮูหยินเสียเอง
ตลอดทั้งตัวของนางดูบริสุทธิ์สะอาด ยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลางดอกชมจันทราด้วยแล้ว ราวกับเซียนในชุดขาวที่ไม่ข้องแวะทางโลก ทำให้ผู้ที่ได้เห็นต่างเกิดความประทับใจด้วยกันทั้งนั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นฝ่าบาททรงนำพระสนมสักคนออกนอกวัง
ผลจากการการเลือกไข่มุกในครั้งก่อน ท่านรองมหาเสนาฯ ถูกฝ่าบาทสั่งริบสมบัติทั้งหมดในบ้าน แม้กระทั่งไข่มุกจากทะเลตงไห่ที่เคยพระราชทานให้เต๋อเฟยก็ยังเรียกคืนไป พวกเขานึกว่าเต๋อเฟยจะต้องตกต่ำไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป
ดูเอาสิ……เพียงไม่กี่วัน นางก็ได้มายืนเคียงข้างฝ่าบาทอีกครั้ง
สำหรับผู้ที่มีน้ำใจเย็นชาเช่นฝ่าบาทแล้ว หากว่าไม่มีน้ำพระทัยต่อเต๋อเฟยแม้แต่น้อย ยังจะยินยอมให้นางอยู่ข้างกายอีกหรือ?
เจียงเหม่ยหยู่เห็นแล้วก็รีบเข้ามาคำนับ นำพาคนตระกูลตู๋กูทั้งหลายมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้และเต๋อเฟย “หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรเต๋อเฟยเพคะ! “
ครั้งนี้นางเองก็คาดไม่ถึงว่า ฝ่าบาทจะทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ยามนี้นางเองก็ไม่รู้ว่าสมควรจะดีใจหรือโกรธเคืองดีกันแน่
ที่ดีใจก็เพราะว่านางสามารถรายงานต่อหน้านายท่านได้ว่า ขณะที่นางดูแลบ้านอยู่นี้ แม้แต่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังทรงเสด็จมาร่วมกราบไหว้เจียงเย่ว
แต่ที่โกรธเคืองก็คือ นังหญิงชั่วนั่นตายไปแล้ว แต่ผู้คนทั้งหลายยังคงระลึกถึงอยู่ แม้แต่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ยังทรงรำลึกถึง และให้ความเคารพ
สีหน้าของนางจึงแสดงออกอย่างสับสนวุ่นวาย
จีเฉวียนทรงเหลือบพระเนตรมองนางอย่างเย็นชาวูบหนึ่ง ทั้งยังแลไปยังเหล่าสมาชิกในตระกูลตู๋กูที่อยู่ด้านหลังนาง เมื่อไม่ทรงพบตู๋กูซิงหลันก็ขมวดพระขนงขึ้น
สตรีผู้นี้ใช่ว่ายังมีน้ำใจอยู่บ้างหรือไม่? ครบรอบสิบปีของวันรำลึกท่านย่าตนเองแท้ๆ ยังจะมาไม่ตรงเวลาอีก?
หลี่กงกงที่ตามเสด็จมาก็ชักจะเหงื่อตกขึ้นมาแล้ว ตอนแรกนั้น ฝ่าบาทมิได้ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จมาแม้แต่น้อย แต่หลังจากที่เต๋อเฟยขอเข้าเฝ้าแล้ว ก็กลายเป็นจะเสด็จมาเสียอย่างงั้น
ในพระทัยของฝ่าบาทพระสนมเต๋อเฟยมีน้ำหนักถึงเพียงนั้นจริงหรือ?
แต่ว่าทำไม ตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ สายพระเนตรของฝ่าบาทถึงไม่ได้มองมาที่เต๋อเฟยแม้แต่น้อย ดูไปคล้ายว่ามีแต่จะทรงมองหา…..ไทเฮา?
หรือว่าเขาบังอาจก้าวล่วงคาดเดาพระดำริของฝ่าบาทเกินไปแล้ว?
ฝ่าบาทยังไม่มีรับสั่ง พวกเจียงเหม่ยหยู่ก็ไม่กล้าลุกขึ้น
ยังคงเป็นพระสนมเต๋อเฟยผู้มีเมตตาพยุงนางขึ้นมาด้วยตัวเอง “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านรีบลุกขึ้น ในบรรดาผู้ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยจัดงานรำลึกถึงเย่วฮูหยินนั้น ท่านนับว่าเหนื่อยยากที่สุดแล้ว “
เต๋อเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวล ฟังแล้วช่างแสนอบอุ่น ช่างเป็นที่ประทับใจของผู้คน
“ขอบพระทัยพระสนมเต๋อเฟยเพคะ ” หัวเข่าของนางเจียงซื่อเหน็บชาไปหมด เมื่อได้รับการพยุงจากเต๋อเฟยด้วยตนเองจึงซาบซึ้งจากใจจริง
ต่างก็เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์เหมือนกันแท้ๆ แต่ว่าเต๋อเฟยกับนังเด็กชั่วร้ายตู๋กูซิงหลันนั่นกลับไม่เหมือนกันเลย
“ฮูหยินผู้เฒ่าเกรงใจไปแล้ว ” เต๋อเฟยตอบอย่างอ่อนโยน “ท่านย่าของข้ากับเย่วฮูหยินเคยมีไมตรีต่อกัน วันรำลึกสิบปีของเย่วฮูหยิน ข้าย่อมต้องมากราบไหว้อยู่แล้ว”
พูดแล้ว นางก็หันไปพยักหน้าให้ซิ่วเหอ เห็นซิ่วเหอประคองกล่องไม้ที่งดงามใบหนึ่งเข้ามา “ด้านในคือยันต์เสริมวาสนาในภพหน้าที่พระสนมของพวกเราไปขอมาเพื่อเย่วฮูหยินโดยเฉพาะเจ้าค่ะ “
เพียงพูดจบ ผู้คนก็พากันตื่นตะลึง ยันต์เสริมวาสนาในภพหน้า เพียงชื่อก็บอกแล้วว่า เป็นยันต์ที่ใช้ขอพรให้ผู้ที่จากไปได้อยู่ดีมีบุญบารมีมีวาสนา ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ แต่ว่าก็สามารถทำให้ญาติมิตรที่ยังมีชีวิตอยู่สุขใจ
ยิ่งไปกว่านั้น ฟังว่ายันต์ผืนนี้มีแต่ต้องไปขอมาจากอารามเทียนเก๋อกวนมาเท่านั้น อารามเทียนเก๋อกวนนั่นคือที่ใดกัน?