บทที่ 330.2 การช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขา ProjectZyphon
ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว จ้งชิวเป็นกังวลมาโดยตลอดว่าอวี๋เจินอี้จะกลายมาเป็นเจ๋อเซียนประเภทที่พวกเขาเกลียดแค้นชิงชังมากที่สุด
ลู่ไถเคยพูดว่า ไม่เข้าใกล้ความชั่วร้ายก็ไม่รู้จักความดีงาม
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ได้ยินดีจะพานางมาอยู่ข้างกาย แต่เป็นเพราะนักพรตผู้เฒ่าบังคับโยนนางออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว หากเฉินผิงอันเลือกได้ เขาอยากจะพาเฉาฉิงหล่างมาด้วยมากกว่า ถ้าจ้งชิวยินดีปลดภาระบนบ่าลง เฉินผิงอันก็ยิ่งยินดีพาจ้งชิวออกมาดูทัศนียภาพของใต้หล้าไพศาล ไม่ใช่เว่ยเซี่ยนหรือจูเหลี่ยนอะไรพวกนี้
ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสิ่งแวดล้อมโดยรวมมิอาจแก้ไขได้แล้ว ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าการเรียนรู้ตัวหนังสือ หัดพูดภาษาทางการและภาษากลางให้เป็นคือความจำเป็นในการใช้ชีวิต แต่นางกลับไม่เต็มใจจะทุ่มเททำเพื่อตัวเอง
เฉินผิงอันยากจะจินตนาการได้ว่าหากตนเปลี่ยนตำแหน่งและตัวตนกับนางได้ เผยเฉียนจะเลือกเช่นไร
เลือกจะเป็นเพื่อนบ้านของซ่งจี๋ซินที่ในใจมีแต่ความเกลียดชังและริษยา แต่ภายนอกกลับแสดงออกว่าพึ่งพาคนมีเงินอย่างเขา? เลือกจะมองดูหลิวเสี้ยนหยางถูกคนต่อยตาย? ทุกวันเอาแต่รังแกกู้ช่านเพื่อหาความบันเทิงให้ตัวเอง? เยาะเย้ยเสียดสีกะเทยผู้นั้นเหมือนกับทุกคนที่อยู่ในเตาเผามังกร?
ประจบเอาใจอาจารย์ฉี อาเหลียง ซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง?
แต่ว่าต่อให้เป็น ‘เฉินผิงอัน’ ที่เป็นเช่นนี้ก็ยังโชคดีได้พบเจอกับพวกเขาท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาว ไม่ใช่แค่เดินสวนไหล่กันไปครั้งแล้วครั้งเล่า รู้จักกันอย่างผิวเผินเท่านั้น
เพราะฉะนั้นผู้เฒ่าเหยาก็พูดถูกอย่างมาก
บนโลกมีบุญสัมพันธ์และโชควาสนามากมาย อยู่แค่ที่ว่าจะใช้สองมือของตัวเองไปคว้าไว้อยู่มือหรือไม่เท่านั้น หากแค่สิ่งเล็กๆ ยังปล่อยให้ลอดหลุดร่องนิ้วมือไป ไหนเลยจะมีปัญญาไปช่วงชิงสิ่งที่ใหญ่กว่า?
แต่ก็มี ‘แต่’ อีกนั่นแหละ
ตนจำความดีงามของบิดามารดาได้ และภายหลังก็จดจำถ้อยคำไม่กี่ประโยคที่พูดคุยกับผู้เฒ่าเหยาได้อย่างขึ้นใจ
แล้วนางล่ะ?
ดูเหมือนจะไม่มีคนสอนนางในสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ตอนนี้เฉินผิงอันสอนนางไปแล้วไม่น้อย แต่นางก็ยังไม่แยแสสิ่งใด สันดานเปลี่ยนยากอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันหงุดหงิดใจเล็กน้อย
ปีนั้นที่พาพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีเดินทางไปต้าสุยด้วยกัน ภายหลังมีชุยตงซาน อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยมาเพิ่ม เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยอึดอัดใจมากขนาดนี้มาก่อน
เฉินผิงอันเก็บคันเบ็ดตกปลา
เผยเฉียนเท้าคาง ถามว่า “ทำไมถึงไม่ตกปลาต่อแล้วเล่า ปลายังไม่กินเบ็ดเลยนะ ต้มปลาน่ะอร่อยจะตาย ปลาตากแห้งก็รสชาติเยี่ยม”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงท้อง
เดิมทีเขาอยากจะพูดเรื่องบางอย่างกับนางไปตามตรง ยกตัวอย่างเช่นว่าหากเฉาฉิงหล่างอยู่ที่นี่ ขอแค่เขาเต็มใจอยากเรียน ข้าก็พร้อมจะสอนวิชาหมัดให้เขาอย่างใจกว้าง สอนวิชากระบี่ให้เขาอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ต่อให้เฉาฉิงหล่างอยากเป็นผู้ฝึกตน ข้าก็สามารถช่วยเขาได้ เงินฝนธัญพืช สมบัติอาคม ขอแค่ข้ามีก็สามารถมอบมันให้กับเขาได้ทุกชิ้นตามลำดับขั้นตอน แต่เจ้าเผยเฉียน ต่อให้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ ทว่าแม้แต่ท่าเดินนิ่งหกก้าวของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ข้าเฉินผิงอันก็ยังไม่เต็มใจให้เจ้าได้ดูนาน
เฉินผิงอันไพล่นึกไปถึงครั้งนั้นที่อาเหลียงปรากฏตัว
ภายหลังพวกเขาได้เดินทางร่วมกัน
เขาเองก็มองตนแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่ สายตาของเขาก็เหมือนที่ตนมองเผยเฉียนในเวลานี้ หรือไม่ก็เหมือนตอนที่ตนมองเฉาฉิงหล่างในลานบ้านเวลานั้น?
เฉินผิงอันพลันถามนาง “อยากลองเรียนตกปลาดูไหม?”
เผยเฉียนพูดเบาๆ “ไม่เรียนได้ไหม? ทุกวันข้ายังต้องท่องหนังสือและคัดตัวอักษร กลัวเรียนในสิ่งที่เจ้าสอนได้ไม่ดี”
เฉินผิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน กลับไปนอนเถอะ หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกเดี๋ยวขบวนรับเจ้าสาวขบวนนั้นจะย้อนกลับมา พาเจ้าสาวไปยังจวนของเทพภูเขา ถึงเวลานั้นเจ้าจำไว้ว่าแค่แกล้งทำเป็นนอนหลับก็พอ นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นคนรับผิดชอบห่อสัมภาระกับคันเบ็ดตกปลา”
เผยเฉียนนึกถึงว่าคืนนี้สิ่งสกปรกพวกนั้นยังจะต้องผ่านไปอีก จึงไม่กล้าปฏิเสธเฉินผิงอัน กลับเข้าไปยังกระโจมอย่างลังเลใจ นอนพลิกตัวไปมาอยู่พักใหญ่กว่าจะเริ่มม่อยหลับ
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอายันต์สงบใจแผ่นหนึ่งไปแปะไว้นอกกระโจมของนางเงียบๆ
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ขบวนรับเจ้าสาวเกี้ยวแปดคนหามก็ย้อนกลับมาทางเดิมอย่างครึกครื้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วดูเอิกเกริกกว่ามาก ด้านหลังมีภูตผีปีศาจที่แต่งกายเป็น ‘คนบ้านเดิมของเจ้าสาว’ ติดตามมาจำนวนมาก ก็แค่มาเพิ่มความครึกครื้นให้เท่านั้น บางตนก็จำแลงร่างกลายเป็นคนแล้ว และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยังเป็นสัตว์ป่าที่เดินมาด้วยร่างเดิม ในบรรดานั้นมีแมงมุมตัวหนึ่งที่ทั่วร่างเป็นสีดำดุจหมึก ตัวใหญ่ดุจแท่นโม่ และยังมีวานรร่างกายกำยำอีกสองตัวที่วิ่งทะยานอยู่ในผืนป่าเร็วราวกับบิน รวมไปถึงผีผู้หญิงใบหน้าอาบเลือดที่สวมชุดตอนที่ตัวเองถูกฝังลงหลุม
เห็นเฉินผิงอันที่อ่านหนังสืออยู่ริมลำธาร ปีศาจหลายตนทำท่าคันไม้คันมืออยากท้าทาย
เพียงแต่ว่าผีหลายตนที่รับหน้าที่คุมท้ายขบวนช่วยกำจัดความคิดนี้ของพวกมันไป
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน ห่างออกไปไกลมีสาวใช้คนหนึ่งที่ในมือถือโคม สวมชุดกระโปรงสีทับทิม เท้าไม่เหยียบพื้น ร่างล่องลอยไปข้างหน้า พอเห็นเฉินผิงอันก็ยอบตัวคารวะ พูดยิ้มๆ ด้วยเสียงอ่อนโยน “ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ วันนี้เป็นวันมหามงคลของนายท่านบ้านข้า เมื่อครู่นี้หมัวมัว *(คำเรียกผู้หญิงที่มีอายุมาก)*ให้บ่าวนำความมาแจ้งแก่ท่านผู้สูงศักดิ์ ถามท่านว่าสนใจจะไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ไหม? ใต้เท้าเจ้าเมืองของข้ามีชื่อเสียงด้านความเที่ยงธรรม ผู้สูงศักดิ์เดินทางมาร่วมงานเลี้ยง ไม่เพียงแต่ไม่ลดทอนอายุขัยของท่าน ยังจะมีของขวัญมอบให้ด้วย”
เฉินผิงอันส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่กล้ารบกวนท่านใต้เท้าเจ้าเมืองจริงๆ หวังว่าแม่นางจะช่วยขอบคุณหมัวมัวของจวนที่มีน้ำใจเชื้อเชิญแทนข้าด้วย”
บ่าวหญิงไม่โกรธเคืองที่คนผู้นี้ไม่รู้จักดีชั่ว กลับกันยังยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ถ้าอย่างนั้นบ่าวก็ขออวยพรให้คุณชายเดินทางราบรื่น ในรัศมีแปดร้อยลี้รอบที่แห่งนี้ หากคุณชายพบเจอปัญหาใดๆ สามารถแจ้งนาม ‘จินหวง’ ของนายท่านข้าได้ตลอด รับรองว่าตลอดการเดินทางของท่านจะมีแต่ความราบรื่นปลอดภัย”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มพลางกุมมือขอบคุณ “ขอยินดีกับใต้เท้าเจ้าเมืองมา ณ ที่นี่ด้วย”
บ่าวหญิงคลี่ยิ้มแล้วเดินนวยนาดจากไป ร่างของนางล่องลอยประดุจควันธูป
บ่าวหญิงกลับไปรายงาน หญิงชราได้ยินว่าเฉินผิงอันไม่ยินดีไปร่วมงานเลี้ยงก็แค่ยิ้มรับ น่าเสียดายที่คนหนุ่มคนนี้พลาดโอกาสใหญ่เทียมฟ้าไป
ฝู่จวิน *(มีสองความหมายคือหนึ่งเป็นคำเรียกเจ้าเมือง ผู้ว่าในสมัยโบราณอย่างให้ความเคารพ สองคือคำเรียกที่ลูกหลานเรียกบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างให้ความเคารพ หรือคำเรียกที่มนุษย์เรียกเทพเซียนอย่างให้ความเคารพ)*ของพวกนางมีชื่อเสียงในด้านความใจกว้าง คืนนี้ทุกคนที่ไปร่วมงานเลี้ยงล้วนได้ดื่มเหล้าหมักดอกกล้วยไม้หนึ่งจอก นำโสมคนพันปีท่อนเล็กๆ กลับไปได้หนึ่งท่อน คนอื่นคิดจนหัวแทบแตกเพื่อให้ได้มาร่วมงานเลี้ยงฉลองของจวน เจ้าหมอนี่กลับดีนัก ไม่รู้จักเห็นค่า ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็คงเอามีดไปจี้คอบังคับให้คนอื่นยอมรับของขวัญของตนไม่ได้
บนเกี้ยวแปดคนหาม มือที่ขาวนวลราวรากบัวข้างหนึ่งเลิกผ้าม่านที่ถูกถักอย่างประณีตขึ้น สตรีนางนี้สวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมไหล่ บนศีรษะสวมผ้าคลุมหน้าสีแดง มองไม่เห็นโฉมหน้า นางมองผ่านผ้าโปร่งสีแดงไปยังหญิงชราที่อยู่ข้างนอก
หญิงชราโค้งตัว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณหนู มีเรื่องใดจะสั่งความหรือเจ้าคะ?”
น้ำเสียงอ่อนนุ่มดังลอดออกมาจากผ้าคลุมหน้าสีแดงสด “อีกนานเท่าไหร่ถึงจะไปถึงจวน?”
นางคือสตรีธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากตระกูลผู้มีความรู้ เมื่อหลายปีก่อนบังเอิญได้พบกับเจ้าเมืองของเขตการปกครองที่ ‘ปลอมตัวออกไปเยี่ยมชาวบ้าน’ แล้วตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น เพียงแต่หากคิดจะให้เทพภูเขาท่านหนึ่งสู่ขอนางไปเป็นภรรยาหลวงอย่างถูกต้องตามประเพณี ร่างของมนุษย์ในโลกคนเป็นจะทำลายคุณความดีในโลกคนตายของนางและคุณความชอบของจวนเจ้าเมือง นางปักใจรักเขา หลังจากครบกำหนดไว้ทุกข์สามปี ภายใต้การช่วยเหลืออย่างลับๆ จากเจ้าเมือง นางได้ช่วยปูทางแห่งความเจริญไว้ให้แก่วงศ์ตระกูล หลังจากนั้นก็ปลิดชีพตัวเองอย่างไม่เสียดาย ใช้ร่างหยินแต่งเข้าสู่จวนของจินหวง เรียกได้ว่าชอบด้วยเหตุผล ไม่ละเมิดกฎระเบียบพิธีการ ดังนั้นเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องงดงามที่ผู้คนพากันกล่าวขานถึง
จวนหรูหรางดงามแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา แสงไฟถูกจุดสว่างไสว งานเลี้ยงฉลองยามค่ำคืนมีเสียงจอกสุราชนกันคลอไปด้วยเสียงผู้คนพูดคุยสนุกสนานดังตั้งแต่ค่ำจรดเช้า
เจ้าบ่าวสวมชุดคลุมยาวสีทอง พลังอำนาจน่าเกรงขาม นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานที่สูงที่สุด ข้างกายคือฮูหยินคนใหม่ที่เป็นดั่งนกน้อยแอบอิงคน
มือกระบี่โครงกระดูกขาวน่าจะมีตำแหน่งที่สูงมากในจวนแห่งนี้ น่าเสียดายที่มันเป็นแค่โครงกระดูกโครงหนึ่ง ย่อมไม่สามารถดื่มสุราได้ ได้แต่ยืนอยู่ใต้เสาคานของห้องโถงใหญ่อย่างเคร่งขรึม ในขณะที่เจ้าเมืองจินหวงกำลังร่ำสุราก็เงยหน้าชำเลืองตามองสีท้องฟ้านอกตำหนักแวบหนึ่ง ก่อนจะแอบส่งสายตาให้มือกระบี่โครงกระดูกขาว ฝ่ายหลังพยักหน้ารับอย่างรู้ใจ ครั้นจึงเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่
บุรุษที่มากไปด้วยบารมีหัวเราะเสียงเย็น “ทุกท่าน สุรามงคลก็ดื่มไปแล้ว อันดับต่อไปก็ถึงคราวที่คนบางคนต้องดื่มสุราลงทัณฑ์บ้างแล้ว ข้าปฏิบัติต่อสหายเป็นอย่างดี แต่ในบรรดาพวกเจ้ากลับมีคนไม่น้อยที่กล้าไปสมคบคิดกับปีศาจน้ำไร้ระดับคนหนึ่ง พยายามจะมาโจมตีจวนของข้าจินหวง คิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลยรึไง?”
ประตูใหญ่พลันปิดลงดังปัง
บุรุษหันหน้าไปยิ้มอ่อนโยนให้กับฮูหยินของตนเอง ตบหลังมือที่เย็นเฉียบของนาง “ไม่ต้องกลัวนะ”
เขายิ้มขออภัย ก่อนกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม งานเลี้ยงฉลองวันแต่งงานกลับต้องมาเป็นแบบนี้ เฮ้อ”
หญิงสาวไม่กลัวสามีที่เป็นเทพภูเขาท่านนี้ นางเอ่ยหยอกเย้าว่า “หรือจะยังให้ข้าแต่งให้ท่านอีกหน? ร้อยปีพันปีให้หลัง ท่านแค่ดีกับข้าสักหน่อยก็พอแล้ว”
บุรุษหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ ได้ภรรยาที่เป็นเช่นนี้ เขาที่เป็นสามียังจะต้องการอะไรอีก?
นอกจากกองกำลังฝีมือดีกลุ่มหนึ่งของจวนซึ่งโครงกระดูกขาวเป็นผู้นำแล้ว ยังมีทหารม้าที่พักผ่อนอยู่ที่อื่นอีกกลุ่มหนึ่ง ทหารม้ากลุ่มนี้มีผู้ฝึกลมปราณอยู่เป็นจำนวนมาก กองทหารสองกองมารวมตัวกัน ออกจากจวนเทพภูเขาที่นาทีก่อนยังร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน บุกไปสังหารกองทหารกลุ่มที่หมายจะลอบโจมตีจวนในช่วงเช้าตรู่ ส่วนในตำหนักใหญ่ เหล่าขุนนางผู้ช่วยของจวน และผีที่มีตำแหน่งหน้าที่ซึ่งมองดูเหมือนเมาเละเทะพากันนั่งตัวตรงทันที หยิบอาวุธออกมาจากใต้โต๊ะ กวาดตามองรอบด้านเหมือนเสือจ้องมองเหยื่อ
เส้นชายแดนที่มุ่งไปทางเหนือของแคว้นเป่ยจิ้นนี้ ไม่เพียงแต่มีเทือกเขาทอดยาว ยังมีทะเลสาบขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถูกเรียกว่าน้ำแปดร้อยลี้ด้วย ในทะเลสาบมีเกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บนเกาะมีศาลที่ไม่ได้รับการยอมรับจากทางราชสำนักอยู่หนึ่งแห่ง ขนาดใหญ่มาก ควันธูปรุ่งโรจน์ ปีศาจใหญ่ของทะเลสาบตั้งตนเป็นเทพวารี ราชสำนักแคว้นใกล้เคียงเป่ยจิ้นทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมฟังคำสั่งจากเขา สองร้อยปีที่ผ่านมานี้ ศาลเทพวารีและจวนจินหวงมองกันเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาโดยตลอด ความขัดแย้งเกิดขึ้นไม่ขาดสาย เพียงแต่ว่าไม่มีใครมีศักยภาพมากพอจะออกจากถิ่นของตัวเองบุกไปสังหารอีกฝ่ายก็เท่านั้น
นี่คือการช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขาที่สมกับคำว่าน้ำและไฟไม่ถูกกันอย่างแท้จริง
ผู้ชนะจะได้ทำลายร่างทอง ทำลายศาลเทพและสะบั้นควันธูปของอีกฝ่าย ผู้แพ้ก็จะตกต่ำไปนับแต่นั้น ขอแค่ร่างทองแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยก็หมายความว่าแม้แต่โอกาสจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งก็ยังหมดหวังแล้ว
ศึกใหญ่ในสองสถานที่อย่างการแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามในห้องโถงใหญ่ของจวนจินหวง และการปะทะกันนอกหุบเขาเปิดฉากขึ้นแทบจะเวลาเดียวกัน
ในห้องโถงใหญ่มีเจ้าเมืองหวงจินนั่งบัญชาการณ์ด้วยตัวเอง จึงมีบางคนที่แล่นเรือไปตามลม (เปรียบเปรยว่าปรับตัวไปตามสถานการณ์ ดูทิศทางลม) รีบโขกหัวอ้อนวอนในทันที การเข่นฆ่าโรมรันเกิดขึ้นอย่างประปราย สถานการณ์โน้มเอียงสู่ฝั่งหนึ่งอย่างชัดเจน
ทางฝั่งของหุบเขา บุรุษสวมเกราะทอง ด้านในสวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มคนหนึ่งนำพาภูตผีปีศาจในทะเลสาบหลายร้อยตนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเปิดฉากสังหารกับทางฝ่ายของจวนเทพภูเขาอย่างอึกทึกครึกโครม
โครงกระดูกขาวที่พกกระบี่สนิมเขรอะตนนั้น ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดคนหนึ่ง หลังจากตายไปดวงวิญญาณก็ไม่แหลกสลาย แม้จะไม่กลับสู่พลังการต่อสู้ขั้นสูงสุด แต่ก็ยังเปี่ยมล้นไปด้วยปราณสังหาร เมื่ออยู่ท่ามกลางกองทัพใหญ่ของปีศาจแม่น้ำก็เหมือนเข้าไปยังดินแดนไร้ผู้คน
เทพวารียืนอยู่บนรถศึกคันใหญ่ที่ม้ามังกร (สัตว์เทพในตำนาน หัวเป็นม้าร่างเป็นมังกร) ซึ่งเป็นสัตว์น้ำตัวหนึ่งเป็นผู้ลาก ในมือถือทวนเหล็กหนึ่งด้าม ด้านบนสลักตัวอักษรที่โบราณและเรียบง่าย คือสมบัติอาคมตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ใต้ทะเลสาบ
มันทำตัวกำเริบเสิบสานมานานหลายร้อยปี ยึดทรัพย์ปล้นชิง ดังนั้นถึงแม้จะสร้างร่างทองคำช้ากว่าเจ้าเมืองจินหวงเกือบร้อยปี อีกทั้งยังไม่ถูกราชสำนักมองว่าเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสม แต่ถึงกระนั้นตบะและขอบเขตของมันก็ยังเหนือกว่าเจ้าเมือง ครั้งนี้จึงอาศัยช่วงเวลาที่จวนเทพภูเขาแต่งภรรยา ปลุกระดมรวบรวมภูตผีปีศาจบนภูเขามากลุ่มใหญ่ ทุ่มเงินก้อนโตติดสินบน ศักยภาพโดยรวมจึงกดข่มอีกฝ่ายได้อย่างมั่นคง ถึงได้กล้าออกจากทะเลสาบใหญ่ ยกทัพขึ้นบก หวังจะตีรวบบุกยึดจวนจินหวงแห่งนั้นให้ได้ในคราวเดียว
การช่วงชิงบนมหามรรคาระหว่างเทพภูเขาและเทพแม่น้ำในครั้งนี้คงต้องดูที่ว่าใครวางแผนได้สูงส่งและยาวไกลยิ่งกว่าแล้ว
—–