ตอนที่ 156 คุณแม่ลั่วเข้าโรงพยาบาล

ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ

ใจจริงคุณแม่ถังก็ไม่อยากจะปิดบังถังโจวโจวอีกต่อไป พูดกันตามตรง เธอเองก็เหนื่อยใจมากที่ต้องปกปิดเรื่องนี้กับลูกสาวมานานหลายปี และเธอก็กังวลอยู่ตลอดว่าพ่อแม่แท้ๆ ของถังโจวโจวจะมาตามหาถังโจวโจวหรือไม่ 

 

 

           แม้ว่าตอนนั้นเธอกับคุณพ่อถังจะรับถังโจวโจวมาเลี้ยงอย่างถูกต้องตามขั้นตอน แต่ถ้าพ่อแม่แท้ๆ ของถังโจวโจวมาทวงลูกคืน ใครจะรู้ล่ะว่าถังโจวโจวควรจะต้องอยู่กับใคร! 

 

 

           ณ ตอนนั้น คุณพ่อและคุณแม่ถังเป็นกังวลในเรื่องนี้ พวกเขาจึงย้ายจากเมือง Z มาอยู่ที่เมือง S เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วถังโจวโจวเป็นลูกแท้ๆ ของพวกเขาหรือไม่ ตราบใดที่พวกเขาไม่พูด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าถังโจวโจวจะรู้ความจริงเข้าหลังจากที่ปกปิดกันมานานหลายปี 

 

 

“โจวโจว แม่ไม่รู้นะว่าใครเป็นคนบอกเรื่องนี้กับลูก แต่ลูกต้องเชื่อแม่นะว่าพ่อกับแม่รักลูกจริงๆ เราปฏิบัติกับลูกเหมือนลูกเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเราเอง …ลูกเป็นเด็กที่เรารับเลี้ยงมาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าจริงๆ” 

 

 

คุณแม่ถังเล่าให้ถังโจวโจวฟังว่าพวกเขารับเลี้ยงเธอมาได้อย่างไร ทำไมถึงย้ายบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงข่าวลือของคนรอบบ้าน และทำไมถึงเลือกตั้งรกรากกันที่เมือง S 

 

 

หลังจากได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว ถังโจวโจวก็เงียบไปนาน คุณแม่ถังนึกว่าเธอไม่สบายใจ จึงไม่ได้พูดอะไรออกไปมากกว่านี้ ลึกๆ แล้วหลังจากที่คุณแม่ถังเล่ามันออกมา ก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก คุณแม่ถังรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก 

 

 

บางครั้งคุณแม่ถังก็มักจะฝันว่าพ่อแม่แท้ๆ ของถังโจวโจวมาหาเธอ จากนั้นพวกเขาก็พาตัวลูกสาวกลับไป แต่หลังจากผ่านไปหลายปี เธอก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างในฝันเลย คุณแม่ถังจึงค่อยๆ วางความหนักอึ้งในหัวใจลง แต่เธอนึกไม่ถึงเลยว่าท้ายที่สุดแล้วถังโจวโจวกลับได้รู้ความจริงในเรื่องนี้จนได้ 

 

 

แม้ว่าคุณแม่ถังจะเป็นกังวล เพราะไม่รู้ว่าถังโจวโจวคิดอะไรอยู่ในใจ แต่เธอก็มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าความรู้สึกที่พวกเขามีต่อโจวโจวในเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ มันไม่ใช่เรื่องหลอกลวง ดังนั้นเธอจึงเชื่อว่า โจวโจวจะไม่ทิ้งพวกเขาไปไหน 

 

 

“แม่คะ แม่ยังต้องการหนูอยู่ไหม” ถังโจวโจวเงยหน้ามองคุณแม่ถัง ที่หางตาของเธอมีน้ำตาคลอ 

 

 

เดิมทีเธอคิดว่าเธอมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น แต่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพ่อคุณแม่ถังอุปการะเธอมา ตอนนี้เธอก็อาจจะเติบโตอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า จากนั้นเธอก็ต้องหางานทำตามที่ได้ร่ำเรียนมาเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง แต่มันก็คงไม่สบายเหมือนกับตอนนี้ 

 

 

คุณแม่ถังตีที่หน้าผากของถังโจวโจวเพื่อเตือนสติ “เด็กคนนี้นี่ พูดอะไรโง่ๆ พ่อกับแม่จะไม่ต้องการลูกได้ยังไง เราสิที่ต้องเป็นฝ่ายถามลูกว่าลูกยังต้องการพวกเราอยู่ไหม” คุณแม่ถังรู้สึกว่าในเมื่อถังโจวโจวถามคำถามแบบนี้ออกมาได้ เธอก็ไม่ต้องกังวลใจแล้วว่าถังโจวโจวจะจากเธอไปไหน 

 

 

ถังโจวโจวโดนคุณแม่ถังตีเบาๆ เธอลูบหน้าผากตรงที่คุณแม่ถังตีด้วยความสงสัย “แม่คะ แม่ทำอะไรเนี่ย” 

 

 

ถังโจวโจวคิดว่าเธอไม่ผิดที่ถามคำถามนี้ ถ้าอยู่ๆ คุณพ่อและคุณแม่ถังไม่ต้องการเธอแล้ว เธอก็จะกลายเป็นเด็กที่ไร้บ้านอีกครั้ง เรื่องนี้มันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเธอ! 

 

 

คุณแม่ถังอยากจะเข้าไปดูในสมองของถังโจวโจวเหลือเกินว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อถังโจวโจวถามคำถามนี้ออกมา มันก็ช่วยทำให้บรรยากาศที่หนักหน่วงเมื่อครู่นี้ผ่อนคลายมากขึ้น 

 

 

คุณแม่ถังดึงถังโจวโจวขึ้นมานั่งข้างๆ ก่อนจะกอดเธอเอาไว้แล้วพูดยืนยันว่า “โจวโจว ตราบใดที่ลูกต้องการ ลูกก็จะเป็นลูกสาวที่พ่อกับแม่รักมากที่สุดตลอดไป” 

 

 

ถังโจวโจวมุดตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของคุณแม่ถัง ดวงตาของเธอค่อยๆ เปียกชื้น เธอพูดด้วยเสียงอู้อี้ว่า “แม่คะ หนูไม่อยากแยกจากพ่อกับแม่นะ หนูอยากอยู่กับพ่อกับแม่ตลอดไป” 

 

 

“ใครจะปล่อยให้ลูกไปไหนได้ล่ะ ลูกอยู่เป็นลูกสาวของพ่อกับแม่แบบนี้แหละดีแล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งพ่อกับแม่แท้ๆ ของลูกมาตามหาลูก ลูกก็ไม่ต้องไปกีดกันพวกเขานะ ในตอนนั้นพวกเขาอาจจะมีปัญหาของตัวเองอยู่ก็เป็นได้” 

 

 

เมื่อพูดไปพูดมา คุณแม่ถังก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ทำให้บรรยากาศที่มันผ่อนคลายลงแล้ว กลับหนักอึ้งขึ้นอีกครั้ง เธอจึงหยุดพูดในทันที 

 

 

ตอนนี้ถังโจวโจวไม่อยากรู้ว่าใครคือพ่อและแม่แท้ๆ ของเธอ ถังโจวโจวกลัวว่ามันจะไม่ใช่ข่าวดี เพราะคุณพ่อคุณแม่ถังบอกว่าพวกเขารับเธอมาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า เดาได้ว่าพ่อแม่ของเธออาจจะไม่อยู่แล้ว 

 

 

 

 

 

ลั่วเซ่าเชิน คุณพ่อลั่ว และเมิ่งชิงซีรอให้คุณแม่ลั่วฟื้นอยู่ในห้องพักผู้ป่วย เมิ่งชิงซีเห็นว่าจะรออยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง “คุณลุงลั่ว เซ่าเชิน ฉันจะออกไปซื้ออะไรมาให้ทาน คุณลุงกับเซ่าเชินอยากทานอะไรคะ” 

 

 

คุณพ่อลั่วไม่รู้สึกอยากอาหารในเวลานี้ แต่เมิ่งชิงซีอุตส่าห์ตามมาดูแล คุณพ่อลั่วจึงไม่อยากจะเสียมารยาทกับเธอ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ส่ายหน้า “ชิงซี ตอนนี้ลุงยังไม่หิวเลย ถ้าหนูหิว หนูก็ลงไปหาอะไรทานกับเซ่าเชินก่อนเถอะ” 

 

 

เมิ่งชิงซีมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน แววตาของเธอนั้นมีแต่ความคาดหวัง เธอตั้งตารอลั่วเซ่าเชิน แต่น่าเสียดายที่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่ตอบรับตามความต้องการของเธอ “ผมไม่หิวครับคุณเมิ่ง ถ้าคุณหิว คุณก็ไปเถอะครับ” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเอนหลังพิงกำแพงพลางคิดว่าถังโจวโจวกำลังทำอะไรอยู่ และเมื่อมองตรงไปที่คุณแม่ลั่วที่นอนอยู่บนเตียง ลั่วเซ่าเชินก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ใจที่ว่า ถ้าวันหลังมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เขาควรจะทำอย่างไร 

 

 

เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้สนใจเธอ เธอก็เดินออกไปนอกห้องเพียงคนเดียว จิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นพยายามของเธอถูกลั่วเซ่าเชินทำร้ายจนเกือบจะไม่เหลือชิ้นดี 

 

 

คุณพ่อลั่วนั่งอยู่ที่หน้าเตียงของคุณแม่ลั่ว สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างของคุณแม่ลั่ว หากว่าคุณแม่ลั่วมีอาการอะไร เขาก็จะได้สังเกตเห็นในทันที และเมื่อเขาได้สัมผัสมือที่เย็นชืดของคุณแม่ลั่ว เขาก็ยิ่งโมโหกับสิ่งที่ลั่วเซ่าเชินทำ แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากพูดอะไร ค่อยคุยกันทีเดียวหลังจากที่คุณแม่ลั่วฟื้นขึ้นมาแล้ว 

 

 

เปลือกตาของคุณแม่ลั่วขยับเล็กน้อย และเมื่อคุณพ่อลั่วสังเกตเห็น เขาก็รีบขยับเข้าไปใกล้คุณแม่ลั่ว และเรียกชื่อเธอในทันที “อวี้ฮุ่ย คุณฟื้นแล้วเหรอ อวี้ฮุ่ย…” 

 

 

คุณแม่ลั่วรู้สึกแค่ว่ามีใครบางคนกำลังเรียกเธออยู่ที่ข้างหู เธอพยายามจะลืมตาอันหนักอึ้งของเธอขึ้นมา แต่เธอกลับไม่มีแรง คุณแม่ลั่วรู้สึกร้อนใจ แต่หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่ลั่วก็สามารถหลุดออกมาจากความมืด เธอกะพริบตาสองสามครั้ง ก่อนจะพบใบหน้าของคุณพ่อลั่วที่อยู่ตรงหน้าเธอ 

 

 

“คุณ…” เสียงของคุณแม่ลั่วแหบแห้ง เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ลั่วฟื้นแล้ว เขาก็รีบส่งแก้วน้ำให้คุณพ่อลั่ว คุณพ่อลั่วรับมา ก่อนจะประคองคุณแม่ลั่วลุกขึ้นนั่ง และค่อยๆ ป้อนน้ำให้เธอดื่ม 

 

 

หลังจากดื่มน้ำไปได้หนึ่งแก้ว คุณแม่ลั่วก็รู้สึกว่าลำคอที่แห้งผากของเธอดีขึ้นมาก “เหวินอวี๋ ฉันอยู่ที่ไหนคะ” 

 

 

คุณแม่ลั่วจำได้แค่ว่าเธอทะเลาะกับลั่วเซ่าเชิน จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็พาถังโจวโจวกลับไป ต่อมาเธอก็รู้สึกแน่นที่หน้าอก จากนั้นก็ดูเหมือนว่า…เธอจะหมดสติไป เรื่องราวต่อจากนั้น คุณแม่ลั่วก็จำอะไรไม่ได้แล้ว 

 

 

“คุณเป็นลม อวี้ฮุ่ย สุขภาพคุณยังไม่ค่อยดี อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนั้นเลย” คุณพ่อลั่วรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าคุณแม่ลั่วเอาร่างกายของตัวเองมาล้อเล่น 

 

 

แน่นอนว่าคุณแม่ลั่วก็รู้ว่าต้องรักษาสุขภาพตัวเอง แต่ตอนนั้นเธอโมโหมากเหลือเกิน และเมื่อเธอหันหน้าไปมอง เธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินยืนอยู่ตรงหน้าเตียงของเธอ แววตาที่เจือปนไปด้วยความห่วงใยทำให้คุณแม่ลั่วรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

อย่างไรก็ตาม คุณแม่ลั่วก็ยังโกรธเขาอยู่ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ เธอเห็นว่าเขาเอาแต่ช่วยคนนอก โดยที่ไม่นึกถึงความรู้สึกของเธอเลย คุณแม่ลั่วเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากเห็นหน้าลั่วเซ่าเชิน 

 

 

“แม่ครับ เป็นยังไงบ้างครับ” ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ลั่วมองเห็นเขาแล้ว แต่เธอกลับไม่ยอมพูดกับเขา เขาจึงถามด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น 

 

 

“ยังไม่ตาย!” พูดไปพูดมา คุณแม่ลั่วก็เริ่มมีน้ำโห 

 

 

คุณพ่อลั่วลูบหน้าอกของเธอ เพื่อให้เธอสงบสติอารมณ์ “เอาละๆ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย ดูแลสุขภาพให้ดีก่อน” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินยืนอยู่เงียบๆ และเมื่อคุณแม่ลั่วสงบลง จากนั้นเขาจึงเริ่มพูดว่า “แม่ครับ แม่มีอคติกับโจวโจวมากเกินไป ตอนนี้แม่ยังไม่หายดี และผมเองก็ไม่อยากทะเลาะกับแม่ แม่รักษาสุขภาพนะครับ ส่วนเรื่องของอนาคต เราค่อยคุยกันทีหลัง” 

 

 

“แม่มีอคติกับเธอตรงไหน…” 

 

 

“พอๆๆ หยุดพูดได้แล้ว! คุณหยุดเลย ไม่รักตัวเองแล้วหรือไง?!” เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าคุณพ่อลั่วเริ่มโมโหบ้างแล้ว เธอก็เงียบปากลงในที่สุด แต่เธอก็ยังคงไม่พอใจ เธอคิดแค่ว่าวันหน้าเธอจะต้องหาทางสั่งสอนถังโจวโจวให้ได้ ให้ผู้หญิงคนนั้นได้รู้จักความร้ายกาจของเธอเสียบ้าง! 

 

 

“เซ่าเชิน แกไม่ต้องเถียงกับแม่แกแล้ว ตอนนี้เธอยังไม่หายดี แต่ถ้าแกไม่อยากให้เธอหายดี แกก็พูดต่อไปเถอะ!” 

 

 

บรรยากาศภายในห้องหนักอึ้งไปชั่วขณะ หลังจากที่คุณพ่อลั่วปรับระดับความสูงของเตียงเสร็จแล้ว เขาก็เอาหมอนหนุนไว้ที่หลังของคุณแม่ลั่วสองใบ 

 

 

เมิ่งชิงซีเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้ามาพร้อมกับโจ๊กอีกสามถุง และเมื่อเธอเห็นว่าคุณแม่ลั่วฟื้นแล้ว เธอก็เดินเข้าไปหาอย่างดีอกดีใจ “คุณป้าฟื้นแล้ว! หนูซื้อโจ๊กมาด้วย คุณป้าคุณลุง เซ่าเชิน ทานกันสักหน่อยนะคะ” 

 

 

เมิ่งชิงซีวางถุงลงบนโต๊ะ ลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมิ่งชิงซีอีกต่อไป “แม่ครับ ในเมื่อแม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว ผมก็ขอตัวก่อนนะครับ” 

 

 

“เซ่าเชิน คุณจะไปไหนคะ เอ่อ…ฉันหมายถึงว่าคุณทานอะไรสักหน่อยก่อนไปสิคะ” เมิ่งชิงซีตระหนักได้ว่าน้ำเสียงของเธอไม่ค่อยไพเราะนัก ดังนั้นเธอจึงรีบแก้คำของตัวเองในทันที 

 

 

“โจวโจวกำลังรอให้ผมไปรับ คุณเก็บไว้กินเองเถอะ พ่อครับ แม่ครับ ผมไปก่อนนะครับ” ลั่วเซ่าเชินหมุนตัวเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วยในทันทีที่พูดจบ และเมื่อเห็นว่าเขาไม่หันหลังกลับมามองเลยสักนิด คุณแม่ลั่วก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอีก 

 

 

เมิ่งชิงซีรู้สึกหงุดหงิดใจ แต่เธอก็กลัวว่าคุณพ่อคุณแม่ลั่วจะเห็นเข้า เธอจึงทำได้แค่ก้มหน้าต่ำ คุณแม่ลั่วนึกว่าเมิ่งชิงซีเสียใจ เธอจึงรีบเอ่ยปลอบใจว่า “ชิงซี อย่าไปสนใจเขาเลยนะลูก เขาจะไปหาผู้หญิงสารเลวคนนั้นก็ช่าง เรามากินข้าวด้วยกันเถอะ!” 

 

 

มุมปากของเมิ่งชิงซีที่ตกลงรีบยกขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้ยินคุณแม่ลั่วพูดเช่นนั้น “ค่ะ คุณป้า เรามาทานข้าวกันเถอะค่ะ เซ่าเชินไม่อยากทาน ก็ถือว่าเขาไม่มีบุญ แต่คุณป้าต้องทานเยอะๆ นะคะ จะได้หายไวๆ” 

 

 

คุณแม่ลั่วกุมมือของเมิ่งชิงซี พลางมองดูท่าทางที่ไร้เดียงสานั้น ตัวเองเสียใจอยู่แท้ๆ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเป็นห่วงเธอ เธอยิ่งรู้สึกพอใจในตัวของเมิ่งชิงซีมากขึ้นไปอีก คุณแม่ลั่วแอบสาบานอยู่ในใจ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เธอจะต้องไล่ถังโจวโจวออกไปให้ได้ แล้วเธอเอาชิงซีเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ของเธอ 

 

 

คุณพ่อลั่วหยิบโจ๊กออกมา เขาตักมันขึ้นมาหนึ่งช้อนและยื่นไปที่ปากของคุณแม่ลั่ว คุณแม่ลั่วเปิดปากออกเล็กน้อย และโจ๊กก็ถูกส่งเข้าไปในปาก คุณพ่อลั่วทำแบบนี้ซ้ำๆ 

 

 

เมิ่งชิงซีพูดอย่างชื่นชมว่า “คุณป้าคะ คุณลุงดีกับคุณป้าจังเลยค่ะ ถ้าเซ่าเชินดีกับหนูเหมือนกับที่คุณลุงดีกับคุณป้าได้สักครึ่งหนึ่ง หนูก็พอใจแล้วค่ะ” เมิ่งชิงซีรีบปิดปากในทันทีที่พูดจบ “คุณป้าคะ เมื่อครู่นี้หนูพูดผิดไป คุณป้าอย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลยนะคะ คิดซะว่าหนูไม่ได้พูดก็แล้วกัน” 

 

 

คุณแม่ลั่วได้ยินในสิ่งที่เมิ่งชิงซีพูดเต็มสองรูหู มันจะไม่เคยเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อได้ยินเมิ่งชิงซีพูดว่าคุณพ่อลั่วดีกับเธอ ใบหูของเธอก็ค่อยๆ แดงขึ้น เธอรู้สึกเขินอายเป็นอย่างมาก แต่คุณแม่ลั่วก็ยังรู้สึกพอใจมากกว่า ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ ก็คือการที่เธอได้พบกับเหวินอวี๋ 

 

 

คุณแม่ลั่วนึกถึงการกระทำของเธอเมื่อสมัยยังสาว พ่อกับแม่ไม่อยากให้เธออยู่ด้วยกันกับเหวินอวี๋ แต่เธอค้านหัวชนฝา แม้ว่าพ่อกับแม่จะไล่เธอออกจากบ้าน เธอก็ไม่เสียใจ และแม้ว่าหลังจากนั้นพ่อกับแม่จะเห็นด้วยอย่างจนใจ แต่คุณแม่ลั่วก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ผิดเลยสักนิดกับพฤติกรรมที่เธอเคยได้ทำลงไปในตอนแรก 

 

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คุณแม่ลั่วก็เชื่อแล้วว่า การตัดสินใจของเธอในครั้งนั้นไม่ได้ผิดพลาด คุณพ่อลั่วดีกับเธออย่างที่สุด เธอรู้ดีกว่าใคร คุณแม่ลั่วรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมาก ยกเว้นลูกชายที่ไม่ได้เรื่องของเธอทั้งสองคน 

 

 

หลังจากที่คุณพ่อลั่วป้อนโจ๊กหมดแล้ว เขาก็เช็ดมุมปากให้คุณแม่ลั่ว “อิ่มแล้วใช่ไหม” 

 

 

“อิ่มแล้วค่ะ”