บทที่ 377 การลงทุนของหวังจง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 377 การลงทุนของหวังจง

“หา? นี่มัน… ทุกท่านขอรับ…”

ฉุยหมิงโหลวเบิกตาโตด้วยความสับสน

ไม่มีใครคิดที่จะไว้หน้าเขาเลยสักคนเดียว

ไม่ว่ามองไปทางไหน ก็ไม่มีใครให้ความร่วมมือ

สุดท้าย ชายหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ หมุนตัวกลับมาพยักหน้ากับเหล่ามือปราบผู้ติดตาม และนำศพคนตายกลับไปที่จวนผู้ว่า เพื่อเตรียมแจ้งเรื่องให้บิดาของตนเองรับทราบต่อไป

ในเวลาเดียวกันนั้น

ตรอกแคบที่อยู่ห่างออกไปประมาณครึ่งลี้

ชาวเมืองหลายสิบคนที่แยกย้ายกระจายตัวกันไปก่อนหน้านี้ ได้กลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง

“ใช่แล้ว นี่คือการทำงานแบบกลุ่มครั้งแรกของพวกเรา ทุกคนสามารถคุ้มครองนายน้อยได้เป็นอย่างดี เข้ามารับรางวัลของพวกเจ้าไปซะ” หวังจงยิ้มแย้มอย่างมีความสุขพร้อมกับแจกจ่ายเหรียญเงินให้แก่กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้น

พ่อค้าร่างกำยำคนแรกที่เดินออกไปยืนขวางหน้าหานเฉิงจนถูกสันกระบี่ฟาดกระเด็น รีบนำพาใบหน้าที่บวมแดงของตนเองเข้ามาพูดด้วยความกระตือรือร้นว่า “ลูกพี่ขอรับ ข้าเป็นคนแรกที่ออกไปอารักขานายน้อย จนทำให้ชาวเมืองอีกหลายคนเกิดความรู้สึกคล้อยตาม… ไม่ทราบว่าข้าน้อยพอจะขอเบี้ยพิเศษได้ไหมขอรับ?”

หวังจงพยักหน้า ลูบเคราสามแฉกของตนเองด้วยความพึงพอใจ “ไม่มีปัญหา ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องเป็นบุคคลที่ใช้ได้ เพราะข้านั้นดูคนไม่เคยพลาด… ส่วนเรื่องเบี้ยพิเศษ ข้าจะกลับไปพูดคุยกับนายน้อยให้ก็แล้วกัน รับรองว่าเจ้าได้เบี้ยเพิ่มเติมแน่นอน!”

“พี่ใหญ่ขอรับ ข้าก็ออกไปคุ้มกันนายน้อยเหมือนกันนะ…”

กงกง ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ก็เดินออกมาเอาความดีความชอบด้วยเช่นกัน

“ข้าเป็นคนตะโกนทำให้ไม่มีใครอยากไปให้ปากคำ…”

“ข้าเป็นคนตะโกนด่าชายหญิงคู่นั้น…”

“ข้าเป็นคนกระโดดออกไปรับสันกระบี่…”

อีกหลายคนเสนอหน้าออกมาเอาความดีความชอบ

“ทุกคนทำได้ดีมาก ตั้งใจทำงานแบบนี้ต่อไปก็แล้วกัน”

หวังจงพูดเสียงดัง “งั้นเอาเป็นว่าพวกเจ้ามานี่ มารับเงินเพิ่มไปอีกคนละเหรียญ”

เมื่อแจกจ่ายค่าจ้างครบถ้วนแล้ว ชายชราก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ในอนาคตหลังจากนี้ พวกเจ้าต้องเชื่อฟังข้าให้ดี เข้าใจหรือไม่? ข้าอยากรู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวทุกอย่างในตัวเมือง ตราบใดที่มีคนนอกมาสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับนายน้อยของพวกเรา พวกเจ้าต้องตรวจสอบดูให้ได้ ไม่ว่ามีข่าวใดเกี่ยวข้องกับนายน้อย พวกเจ้าต้องมารายงานข้าให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้…”

“พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ไว้ใจพวกข้าได้เลย”

“พวกเราจะตั้งใจทำงานแน่นอนขอรับ ถ้าไม่มีพี่ใหญ่ ก็ไม่มีพวกเราในวันนี้ ข้าจะขอทำงานให้แก่นายน้อยด้วยชีวิต”

“พี่ใหญ่ขอรับ ข้าเจอนางคณิกาชั้นสูงในหอนางโลมแห่งหนึ่ง นางสอบถามเกี่ยวกับนายน้อยว่า นายน้อยสนใจที่จะเปิดประมูลกางเกงชั้นในของนายน้อย พร้อมลงนามกำกับด้วยหรือไม่ขอรับ?”

เพี๊ยะ!

“โอ๊ย พี่ใหญ่ตบหัวข้าทำไมขอรับ?”

“กางเกงชั้นในนายน้อยอะไร เรื่องพวกนี้เจ้าจะไปสนใจทำไม!”

“ท่านพี่ ทำไมท่านร้องเสียงดังจังเลยขอรับ?”

เซียวปิงที่หลินเป่ยเฉินช่วยหิ้วปีกกลับมาถึงตำหนักไม้ไผ่ในสถานศึกษากระบี่ที่สามพูดต่อ “ข้าเป็นคนได้รับบาดเจ็บ ที่แขนมีบาดแผลฉกรรจ์ แล้วทำไมท่านถึงทิ้งตัวนอนหมดสภาพแบบนี้ล่ะขอรับ?”

“ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่น่ะ”

หลินเป่ยเฉินนอนแผ่หลาหอบหายใจหมดสภาพอยู่หน้าประตูห้องรับแขก “ก่อนหน้านี้ข้าใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณ แล้วก็ยังต้องแบกเจ้ากลับมาที่นี่อีก พลังลมปราณของข้ายังไม่ฟื้นคืน จึงไม่สามารถใช้วงแหวนวารีรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่เจ้าหรือตัวข้าเองได้ แค่รอดตายกลับมาถึงที่นี่ ก็ถือว่าสวรรค์เมตตาแล้ว เฮ้อ เหนื่อยโว้ย!”

“แต่ข้าไม่เข้าใจเลยขอรับท่านพี่ ตอนที่อยู่ในตลาดเมื่อสักครู่นี้ ข้าเห็นกับตาว่าท่านระเบิดพลังออกมาอย่างดุดัน ข้านึกว่าท่านได้พลังฟื้นคืนกลับมาแล้วเสียอีก”

เซียวปิงถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า ก่อนพูดด้วยสีหน้ากระตือรือร้น “ท่านพี่มีเหงื่อออกท่วมตัวขนาดนี้ ให้ข้าช่วยพาไปอาบน้ำไหมขอรับ?”

หา?

ให้พาไปอาบน้ำงั้นหรือ?

หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มร่างอ้วนแล้วก็ให้ขนลุกเกรียวไปทั่วร่างกาย

ไอ้หมอนี่มีเจตนาคิดไม่ซื่อหรือเปล่าเนี่ย?

ต้องระวังตัวสักหน่อยแล้ว

“ไม่เป็นไร”

หลินเป่ยเฉินปฏิเสธโดยเร็ว “ช่วงหลังข้าหลงๆ ลืมๆ ไม่รู้เสื้อผ้าสำหรับสับเปลี่ยนหายไปไหนหมด ถึงอาบน้ำตอนนี้ข้าก็ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนอยู่ดี…แล้วช่วงนี้ข้าก็เงินทองขาดมือ ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน ไม่ทราบว่าน้องชายหิวแล้วหรือยัง?”

เซียวปิงพยักหน้าด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปหน้าตาเฉยว่า “ถ้าหิวแล้วก็กลับบ้านไปหาอะไรกินซะ”

เซียวปิงพูดอะไรไม่ออก

น้องชาย เจ้าคิดว่าข้าจะเลี้ยงอาหารเจ้าหรือ?

หลินเป่ยเฉินยกน้ำเปล่าดื่มดับกระหาย และก็นึกเสียใจอีกครั้งที่ส่งสองสาวรับใช้ไปเรียนวิชากระบี่

หากตอนนี้มีพวกนางอยู่ที่นี่ ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้

พอไม่มีสาวรับใช้อยู่คอยปรนิบัติเท่านั้นแหละ หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้ว่าความสะดวกสบายที่แท้จริง มันมีค่ามากมายขนาดไหน

“จริงด้วยสิน้องชาย ข้าเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นมานั่งอีกครั้งและถามสิ่งที่เพิ่งนึกออกว่า “ทำไมเจ้าถึงแข็งแรงปานนี้? เจ้าฝึกวิชาอะไรเป็นพิเศษหรือไม่? หรือว่าเจ้าเกิดมาร่างกายก็แข็งแกร่งแต่กำเนิดอยู่แล้ว?”

“กราบเรียนท่านพี่ ตอนที่ข้ายังเป็นเด็กน้อย ครอบครัวของข้ายากจน ไม่มีเงินส่งไปร่ำเรียนวิทยายุทธ์ ข้าทำได้เพียงขโมยคัมภีร์มาฝึกวิชาด้วยตัวเอง… ครั้งนั้นข้าไปทำงานรับจ้างขนของ และแอบขโมยคัมภีร์ที่ชื่อว่ากระบี่เร้นกายมาฝึกฝนเองอยู่หลายปี จนกระทั่งบัดนี้บรรลุถึงขั้นกระบี่กระดูกเหล็กแล้ว …เอ๋ ทำไมท่านพี่ถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะขอรับ?”

เซียวปิงหยุดชะงักทันทีเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของหลินเป่ยเฉิน

“เปล่า… ไม่มีอะไรหรอก”

หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “เจ้าว่าต่อเลย ไม่ทราบว่าบัดนี้เจ้ายังฝึกวิชากระบี่เร้นกายอยู่อีกหรือไม่?”

เซียวปิงตอบรับด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ “พอบรรลุขั้นกระบี่กระดูกเหล็ก ก็ถือว่าบรรลุขั้นสูงสุดของวิชานี้แล้วขอรับ ข้าพยายามตามหาคัมภีร์ฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างกายเล่มใหม่มา 2 ปี แต่ก็ยังหาไม่เจอสักที เกรงว่าถนนเส้นนี้คงถึงทางตันแล้วขอรับ”

หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน

“น้องชายลองรับคัมภีร์เล่มนี้ไปฝึกฝนแทนวิชากระบี่เร้นกายดีหรือไม่?”

เขานำคัมภีร์เสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายที่หลิงเฉินให้ไว้ก่อนออกเดินทางโยนไปให้เซียวปิง

นางให้คัมภีร์เล่มนี้กับเขาในสภาวะที่กำลังจะกลายร่างเป็นปีศาจ

หลินเป่ยเฉินจึงลังเลใจที่จะฝึกวิชานี้ตลอดมา

ถ้าเกิดคัมภีร์เล่มนี้มีปัญหาเล่า?

ลองให้เซียวปิงที่บรรลุขั้นกระบี่กระดูกเหล็กเหมือนกัน เป็นหนูทดลองไปก่อนดีกว่า

ถ้าฝึกได้ดีไม่มีปัญหาก็แล้วไป เขาจะได้ลองเอามาฝึกบ้าง

แต่ถ้าฝึกแล้วมีปัญหา ก็แค่ให้เซียวปิงหยุดฝึกทันที

ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ ช่างเรียบง่ายเหลือเกิน

อีกไม่ช้า หลินเป่ยเฉินก็จะได้รู้แล้วว่าคัมภีร์ที่หลิงเฉินมอบให้กับเขา มันปลอดภัยจริงๆ หรือไม่!