บทที่ 385 สภาสูงแวมไพร์
ดาวส่องแสงระยิบระยับราวกับเพชรบริสุทธิ์เรืองรองบนผ้ากำมะหยี่สีดำ

ภาพท้องฟ้ายามราตรีที่งดงามจนน่าตกตะลึงราวกับความฝันอยู่เหนือดินแดนภูเขายังคงอยู่เป็นนิรันดร์

ท่ามกลางความมืดมีแสงสว่างเล็กๆ จากแสงดาว ลูเซียนทิ้งภาพฉายของปราสาทผู้สังเกตการณ์ไว้เบื้องหลัง

ภายใต้เงามืดของต้นไม้ เขาสวมหน้ากากแปลงกาย แล้วตัวเขาก็สูงขึ้น ผิวของเขากระจ่างและซีดจางขึ้น สีของดวงตาเปลี่ยนเป็นสีพระจันทร์สีเงิน และผมของเขาก็กลายเป็นสีเงิน

ภายในไม่กี่วินาที ลูเซียนก็แปลงกายเป็นไรน์ รวมเสื้อเชิ้ตสีแดงและสูทสีดำตามแบบฉบับของไรน์

เมื่อขยับหูกระต่ายให้เข้าที่ ลูเซียนก็มุ่งหน้าไปยังปราสาทแวมไพร์อีกแห่งที่ตั้งอยู่ไกลออกไปด้วยความเร็วเหนือมนุษย์

ปราสาทแห่งนั้นเป็นที่พำนักของมาร์ควิสลาแซร์ แวมไพร์ผู้ทรงพลังมีอายุยืนยาวมากว่าห้าพันปี เขาเป็นผู้ดูแลขุดเชื่อมอวกาศที่เชื่อม ‘ภูเขารัตติกาล’ ไปยังทะเลทรายทางตอนใต้ของอาณาจักรกัสตา

ตอนที่ลูเซียนอยู่ในห้องเก็บสมบัติ เขาก็เลือก ‘ดาบยุติธรรมจืดจาง’ มาติดตัว ไม่เพียงเพราะสามารถต้านทานพลังลบทั้งหมด แต่เพราะดาบเล่มนี้จะแสดงพลังเทียบเท่าอุปกรณ์เวทตำนานระดับหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายต่างๆ!

ตอนนี้ ลูเซียนต้องต่อกรกับแวมไพร์ทรงพลังหลายต่อหลายตน ดังนั้น เขาต้องเลือกอาวุธที่มีประโยชน์ต่อเขามากที่สุดในตอนนี้

สำหรับข้อจำกัดที่ให้ผู้มีพลังเทียบเท่ากับอัศวินอาภาระดับหกเท่านั้นที่ใช้ดาบได้ ลูเซียนก็หาวิธีแก้ปัญหานี้ โดย ‘ถุงมือยักษ์กินคน’ ลูเซียนจะมีพลังเทียบเท่าอัศวินหลวงระดับห้า บวกกับเวทมนตร์ระดับกลางหรือระดับล่างสองสามบทที่ใช้เพิ่มพลัง เช่น เวทมนตร์ระดับสี่ ‘เวทบ้าพลัง’ และเวทมนตร์ระดับสอง ‘เวทแรงวัว’ ลูเซียนก็สามารถเพิ่มพลังของตนให้เทียบเท่าระดับพลังขั้นต่ำในการหยิบดาบเล่มนี้

แม้ว่าพลังนั้นอาจคงอยู่เพียงไม่กี่นาที แต่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับลูเซียน! ทั้งนี้ทั้งนั้น ในช่วงไม่กี่นาทีนั้น ดาบก็จะฟาดฟันลงบนเป้าหมายไม่มีพลาดเป้า

ในบรรดาเวทมนตร์ระดับหกที่ลูเซียนไม่ได้ศึกษามา ก็เวทมนตร์บทหนึ่งที่ชื่อว่า ‘เวทแปลงกายเปเลอร์’ ซึ่งช่วยให้นักเวทสามารถแปลงกายเป็นอัศวินที่มีพลังในระดับเดียวกัน

อันที่จริง ยังมีแผนอื่นๆ อยู่ในหัวของลูเซียน ดาบอัศวินทรงพลังเล่มนี้อาจใช้เป็นของขวัญ

บางครั้ง ลูเซียนก็ยังถวิลหาอนาคตอันงดงาม

….

ทางด้านซ้ายของปราสาทรูปร่างประหลาด มีปราสาทใหญ่ที่มีเสาหินและพื้นปูที่ราบเรียบหลังหนึ่งตั้งอยู่

ในสายตาของลูเซียน ปราสาทหลังนี้มีลักษณะคล้ายๆ กับอารยธรรมกรีกโบราณบนโลกเดิม

เสียงเดินสวบๆ ของรองเท้าหนังย่ำบนพื้นดังมาจากระยะไกล และแวมไพร์ร่างกายกำยำสูงใหญ่ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าลูเซียน

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” แวมไพร์ตนนั้นถามด้วยท่าทางโอหัง

ลูเซียนที่ตอนนี้ก็คือไรน์ ยิ้มตอบกลับ “ข้ามาขอใช้วงเวทจุดเชื่อมอวกาศ”

“ท่านมาร์ควิสอนุญาตหรือยัง?” แวมไพร์ถาม

ลูเซียนพยายามสงบนิ่ง “ตามมติของสภาสูงแวมไพร์ เราทั้งหมดมีสิทธิใช้จุดเชื่อมอวกาศส่วนใหญ่ในภูเขารัตติกาล ที่นี่ยกเว้นอย่างนั้นหรือ?”

เขาไม่อยากอยู่ที่นี่นานเกินไป เนื่องจากลูเซียนรู้ว่าไรน์เป็นสมาชิกสภาสูง และหากเจ้าชายแวมไพร์ตนอื่นโผล่เข้ามา นั่นจะทำให้เราตกอยู่ในความเสี่ยงเกินไป

แวมไพร์ตนนี้รู้ดีว่านั้นเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ยังตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เราจับผู้ทรยศได้ และท่านอาจเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน หากไม่มีการอนุญาตจากท่านมาร์ควิส ข้าต้องตรวจสอบอย่างละเอียด”

ขณะแวมไพร์กำลังพูดอยู่ มือขวาของเขาก็เคลื่อนเป็นรูปสัญลักษณ์ช้าๆ ราวกับว่าเขาขออะไรบางอย่าง

ลูเซียนรู้ว่าแวมไพร์ตนนี้กำลังทำอะไร แต่บทบาทที่เขาสวมอยู่ในตอนนี้เป็นแวมไพร์ผู้สูงส่งและทะนงตน ดังนั้น ไม่มีทางที่ลูเซียนจะติดสินบนเขา

หากมาร์ควิสลาแซร์รู้เรื่องนี้เข้า ลาแซร์จะรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่เจ้าชายแวมไพร์ไรน์ตัวจริง

ดวงตาสีเงินของลูเซียนหรี่ลงเล็กน้อย และเขากำลังจะตะเพิดแวมไพร์ตนนั้นไม่ให้ขวางทาง เขาก็ได้ยินเสียงชายชราคนหนึ่ง “นานมากตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ไม่ได้เจอหน้ากัน ท่านผู้สังเกตการณ์”

เขาน่าจะเป็นมาร์ควิสลาแซร์! ลูเซียนพยายามควบคุมไม่ให้ใจเต้นเร็วมากเกินไป ในจังหวะนั้น เขาหวังเพียงว่าลาแซร์คงไม่ได้รู้จักไรน์ดีมากนัก มิฉะนั้น ลาแซร์อาจจับได้ว่าเขาเป็นตัวปลอม!

“ท่าน… ผู้สังเกตการณ์?” แวมไพร์ตนที่พยายามเรียกค่าผ่านทางจากเขาตกตะลึง และสั่นไปทั้งตัว เขาไม่รู้ว่าแวมไพร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ แล้วเป็นถึงเจ้าชายแวมไพร์ เพียงแค่แวมไพร์ชั้นตำนานตนนี้หรี่ตา ก็อาจเป็นจุดจบของเขาแล้ว!

ลูเซียนยังคงเล่นบทเป็นกันเองและสุขุมอยู่ต่อไป “ลาแซร์ เขาจะไปทะเลทรายใต้เสียหน่อย” เขาพยายามพูดทุกอย่างให้สั้นและเข้าประเด็น และไรน์บอกเขาให้เรียกชื่อมาร์ควิสออกไปตรงๆ “ท่านผู้สังเกตการณ์ เจ้าชายแดรกคูลากำลังรอพบท่านอยู่” ลาแซร์พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มปริศนา เขาเป็นแวมไพร์ในร่างชราที่ยังดูสง่างามซึ่งจะถือไม้เท้าด้ามงามในมือเสมอ

“เขามีเรื่องอะไร?” ลูเซียนหันกลับไปยิ้มตามแบบฉบับของไรน์

ลาแซร์คิดว่าไรน์คงแกล้งโง่ เจ้าชายแดรกคูลาอิจฉาพลังของไรน์มาตลอด ซึ่งพลังที่สามารถยืมพลังจากแวมไพร์ต้นกำเนิด

“เจ้าชายแดรกคูลาต้องการพบท่านในการประชุมสภาสูงครั้งต่อไป เรื่องความขัดแย้งภายในสภาแห่งความมืด” ลาแซร์ใช้ข้ออ้างเรื่องอื่นซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญจริงๆ

มีข่าวว่ากันว่าไรน์ ‘เคานต์เนตรเงิน’ หายตัวไปเป็นเวลานานก็เพราะเขาได้รับความเจ็บสาหัสจากแวมไพร์ระดับตำนาน และตอนนี้เขากำลังซ่อนตัวฟื้นฟูสภาพร่างกาย ดังนั้น เจ้าชายแดรกคูลาจึงกระสันที่จะชิงลงมือในจังหวะนี้ เพราะพลังของเขาสามารถกลืนกินและยึดครองพลังของแวมไพร์ตนอื่น

เจ้าชายแดรกคูลารู้สึกผิดหวังมาตลอดที่ ‘อัลเทอร์นาจันทราสีเงิน’ ให้ความเมตตากับไรน์มากกว่าเขา แต่เขาก็เป็นเจ้าชายแวมไพร์ที่ทรงพลังที่สุด และกำเนิดเป็นแวมไพร์ก่อนใครๆ

ไรน์แสร้งยิ้มเป็นกันเอง เขาตอบกับแวมไพร์ระดับแปดตนนี้ “ข้าก็ไม่เคยเข้าประชุมอยู่แล้ว ข้าว่าไม่เข้าประชุมอีกสักครั้งก็คงไม่ใช่ปัญหา”

การพูดจาเลียนแบบไรน์เป็นเรื่องยากจริงๆ ลูเซียนเชื่อว่าให้เขาสวมบทเป็นเฟอร์นันโด อาจารย์ของเขา ยังง่ายเสียกว่า เพราะเขาก็แค่ตะโกนเสียงดังๆ ออกมาแค่นั้น

“ท่านผู้สังเกตการณ์ เขามั่นใจว่าเจ้าชายแดกคูลาตื่นจากนิทราก็เพราะเขาทราบข่าวว่าท่านกลับมา” ลาแซร์ตอบกลางๆ อย่างไม่ยอมแพ้หรือรุกเร้า “เขาอยากพบและสนทนากับท่านเกี่ยวกับอนาคตของตระกูลแวมไพร์”

“ขออภัย ข้ารีบ” ลูเซียนรู้สึกว่าเขาเริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อลูเซียนกำลังจะเดินไปทางวงเวทจุดเชื่อมอวกาศ ลาแซร์ก็รีบหยุดลูเซียนไว้ “โปรดขอสักหน่อยเถอะ ท่านผู้สังเกตการณ์”

“ลาแซร์…” ลูเซียนหันกลับไปจ้องหน้าลาแซร์ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แต่เขาเรียกชื่อมาร์ควิส

ลาแซร์สัมผัสได้ถึงอันตรายใหญ่หลวงภายใต้รอยยิ้มนั้น เขาผงะถอยหลังไปสองสามก้าวและพูดอะไรไม่ออก

ลูเซียนส่ายหน้าเบาๆ และเดินไปยังจุดเชื่อมอวกาศต่อไป

ลาแซร์พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกไป เขาทำได้เพียงมองไปยังประตูอย่างกระวนกระวาย สงสัยว่าเจ้าชายแดรกคูลาตื่นจากนิทราแล้วหรือไม่

แม้ว่าลูเซียนเดินต่อไปด้วยความเร็วค่อนข้างปกติ เขารู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นลมหมดสติได้ตลอดเวลาจากความตึงเครียดที่ต้องเผชิญ ในที่สุด เขาก็ก้าวหน้าเข้าไปยังวงเวทและเรียกใช้พลัง

ลาแซร์ถอนหายใจออกมา หลังจากเห็นไรน์หายวับไปในวงเวท หากยื้อเวลาได้อีกสักสองสามนาที ลาแซร์อาจสามารถส่งสารไปยังเจ้าชายแดรกคูลา

เขาไม่มีพลังมากพอจะหยุดยั้งเจ้าชายแวมไพร์ เขาผิดหวังที่ไม่ยอมซื้ออุปกรณ์เวทสื่อสารซึ่งสภาเวทมนตร์ประดิษฐ์ขึ้น

ด้านข้างของสุสานขนาดใหญ่รูปร่างเหมือนพีระมิด ลูเซียนลากร่างของสฟิงซ์ตัวหนึ่งไปซ่อนยังมุม หลังจากเฝ้าสังเกตมาสองสามวัน ลูเซียนก็มั่นใจว่าสฟิงซ์ตัวนี้เป็นผู้พิทักษ์สุสานที่ปฏิบัติหน้าที่ในคืนนี้

เขานำเลือดออกมาจากสฟริงซ์หยดหนึ่ง ลูเซียนหยดเลือดลงบนหน้ากาก หน้ากากตัวตลกฉีกยิ้มอย่างแปลกประหลาด และเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ เมื่อหน้ากากหยุดเปลี่ยนหน้า ลูเซียนก็สวมหน้ากาก ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นในทันทีและขาสิงโตสี่ขาและหางก็งอกออกมา

หลังจากซ่อนสฟริงซ์ตัวนั้นให้เรียบร้อยแล้ว ลูเซียนซึ่งในตอนนี้กลายเป็นสฟิงซ์ หยิบลูกดอกขึ้นมาและรีบมุ่งไปยังจุดที่ตั้งค่ายพัก นักบวชชั้นสูงระดับเก้ารูปหนึ่งอยู่ที่นั่น!

ลูเซียนออกจากววงเวทอวกาศ และเดินทางลึกเข้าไปในทะเลทราย

ณ จุดตั้งค่ายพัก สฟริงซ์หลายตัวกำลังเต้นระบำท่าทางแปลกๆ อยู่รอบกองไฟ ก่อนที่จะเริ่มจับคู่ผสมพันธุ์

ขณะลูเซียนกำลังมองภาพเหตุการณ์อยู่ สฟริงซ์ร่างกำยำตัวหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับเขา “ฟิล เช็ดน้ำลายบ้าง ผลัดเจ้าเข้าเวร ไปได้แล้ว!”

ลูเซียนพูดอะไรไม่ออก เพราะเขาไม่ได้รู้สึกน้ำลายไหลอะไรเลย อย่างไรก็ตาม เขาก็หันหลังกลับและวิ่งไปยังสุสาน

“ฟิล ทำไมเจ้าไปทางนั้น?” สฟริงซ์ตัวนั้นถามด้วยความสงสัย

ลูเซียนหยุดในทันที เขาไม่รู้ว่าทำอะไรผิดตรงไหน