บทที่ 123 อารามวิถีสวรรค์

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 123

อารามวิถีสวรรค์

หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา ผู้คนทยอยแยกย้ายกลับไปยังถิ่นฐานของตน เย่เย่ก็ได้ออกคำสั่งให้ซูฉีเจี่ยรวบรวมไพร่พลของเขากรีธาทัพเข้ายึดเมืองจิ้นเฉิงที่ระส่ำระสายจากการแพ้สงครามในทันที

ข่าวศึกสงครามระหว่างทั้งสองเมืองแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค หลินซิวเหยียน หนึ่งในสามยักษาผู้ทรงอิทธิพลเมื่อได้ทราบข่าวก็เริ่มรู้สึกได้ถึงผลกระทบที่ตามมา เขานั่งเอามือเท้าคางพลางครุ่นคิดเกี่ยวกับเย่เย่ผู้ที่ได้กลายเป็นยักษาอีกตนแทนที่มู่หรงตู่เฟิง

“ท่านหลิน พวกเราควรทำอย่างไรกันต่อไปดีขอรับ?” เสี่ยวหยุนหลง เบอร์สองแห่งตำหนักประกายแสงถามผู้เป็นนายขึ้น

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น รอดูสถานการณ์ต่อไป” จ้าวตำหนักประกายแสงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขารู้ดีว่าเมื่อสิ้นตระกูลมู่หรง มูหลงผู้ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคต้องไม่อยู่เฉยเป็นแน่ บัดนี้ทั่วทั้งภูมิภาคกำลังจับตาดูสถานการณ์ระหว่างพวกเขาทั้งสอง ไม่ว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป

หลิวซิวเหยียนก็มีแต่ได้กับได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบผลีผลามทำอะไรมากนัก

“เสี่ยวหยุนหลง เจ้าจงเขียนสาส์นถึงเย่เย่ หากเขายกเมืองจิ้นเฉิงให้ข้า ข้าจะร่วมมือกับเขาทำศึกกับมูหลง”

“ท่านหลินช่างหลักแหลมยิ่งนัก ข้าน้อยขอคารวะ” เสี่ยวหยุนหลงตอบรับคำสั่ง ประสานมือโค้งคำนับแก่จ้าวตำหนัก และเริ่มดำเนินการตามคำสั่งในทันที

ตำหนักประกายแสงของพวกเขาเป็นถึงมหาอำนาจอันดับ 1 แห่งภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ พวกเขาปกครองอาณาเขตถึง 3 เมืองใหญ่ๆด้วยกัน อำนาจของตระกูลมู่หรงเทียบไม่ได้กับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

หลังจากจบศึกกับตระกูลมู่หรงได้ 1 สัปดาห์ เย่เย่จึงจัดพิธีหมั้นกับเสี่ยวหยูอย่างเป็นทางการ โดยมีเหล่าผู้อาวุโสตระกูลเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลครั้งนี้ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีเขาพาเสี่ยวหยูกลับไปเยี่ยมเฟิงเจิ้นซึ่่งเป็นบ้านเกิดของเขาและนาง ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางกลับ หลิงเฉิง

เมื่อหอการค้าหยูเย่ได้รวมหลิงเฉิงให้เป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ ก็ไม่มีใครหน้าไหนในเมืองกล้ามีปากมีเสียงกับพวกเขาอีก นอกจากนี้ผู้คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศในภูมิภาคต่างหลั่งไหลกันเข้ามาขอเข้าร่วมกับเย่เย่อีกด้วย เขาจึงมอบหมายให้เสวี่ยหยูและบรรดาลูกจ้างคนอื่นๆตรวจสอบประวัติของพวกเขาอย่างละเอียดก่อนรับเข้ามาทำงาน เพียงช่วงเวลาสั้นๆขุมกำลังของเขาก็เริ่มขยับขยายใหญ่ขึ้น จนมีอำนาจมากกว่าตระกูลมู่หรงแต่เดิมเสียอีก

เย่เย่ที่ทำธุระเสร็จสิ้น เขาก็เดินกลับขึ้นไปห้องส่วนตัวของเขาที่ชั้น 7 ก่อนที่จะเริ่มฝึกฝนวิชาของเขาต่ออย่างเงียบๆ เนื่องจากกระบี่เทพอัสนีอาวุธคู่ใจของเขาถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี ทำให้ต้องหวังพึ่งกระบวนท่าสลาตันฟ้าคำรามมากขึ้น เขาจึงเร่งขัดเกลาให้มันสมบูรณ์โดยเร็ว

นอกจากนี้เขายังฝึกการใช้อาวุธลับอย่างเข็มดัชนีเยือกแข็ง เขาเริ่มเพ่งสมาธิใช้พลังปราณควบคุมการเคลื่อนไหวของมันไปพร้อมๆกับการฝึกสลาตันฟ้าคำราม

ฟิ้ววว ฟิ้ววววว

อาวุธลับบินว่อนรอบๆห้องอย่างอิสระ ก่อนจะบินเฉี่ยวหน้าเขาไปจนทำให้เกิดรอยแผลเล็กๆบริเวณแก้มข้างซ้ายของเขา ดูเหมือนว่าด้วยระดับวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมทิศทางของมันได้อย่างใจนึก

ระหว่างการฝึกมีบางอย่างดลใจให้เขานึกถึงแหวนที่ เหยียนลี่หยางมอบให้เขาเก็บเอาไว้อย่างลับๆ เขาหยิบขึ้นมาโดยใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ พลางพลิกไปพลิกมาจ้องดูมันอย่างฉงนใจ และสวมมันเข้าที่นิ้วชี้ข้างขวา

ว้าบบบบบบบบบ

ชั่วพริบตาที่เขาสวมแหวน เย่เย่ก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดมหาศาลออกมาจากปลายนิ้วชี้ของตน ราวกับจะกระชากวิญญาณของเขาให้หลุดออกจากกายหยาบ จี้หยกผสานวิญญาณเจิ้งฮุนที่เขาสวมใส่ก็เริ่มส่องแสงขึ้นวิบวับราวกับทำปฏิกิริยาบางอย่างกับแหวน

“เหวอออออออออ” เย่เย่อุทานขึ้นมาอย่างตกใจ เมื่อพบว่าแรงดึงดูดนั้นเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ทันใดนั้นเองกายทิพย์ของเขาก็ถูกดูดเข้าไปในแหวนลึกลับ ปล่อยให้กายเนื้อของเขาล้มลงอย่างอิสระ

วิญญาณของเย่เย่หลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่ง เบื้องหน้าของเขาปรากฏให้เห็นอารามศักดิ์สิทธิ์ตั้งตระหง่าน งดงามราวกับเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้า สถานที่นี้กว้างใหญ่เสียยิ่งกว่าหอการค้า 7 ชั้นของเขาเสียอีก เขาที่ยังคงตกตะลึงอยู่ก็หันซ้ายทีขวาที ก่อนจะมีเสียงของชายผู้หนึ่งดังแทรกขึ้นมา

“ยินดีต้อนรับสู่ห้องโถงชั้นแรกของอารามวิถีสวรรค์ ข้าคือต้าหลิงผู้พิทักษ์แห่งอารามแห่งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปท่านคือประมุขรุ่นที่ 394 ของอารามแห่งนี้!”

เสียงของชายปริศนาดังก้องกังวานทั่วโถงอาราม ก่อนที่เย่เย่จะเงยหน้าไปยังทิศทางต้นเสียงนั้นและถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ข้า? ประมุขของอารามวิถีสวรรค์? ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน!?” เย่เย่ตกตะลึง เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าของเสียงใหญ่พูด

“ท่านคือวิญญาณกลับชาติมาเกิด เมื่อวรยุทธ์ของเจ้าแก่กล้าขึ้นถึงระดับหนึ่ง ทันทีที่เจ้าสวมแหวนนั่นวิญญาณของท่านจะถูกเรียกมายังที่แห่งนี้ในฐานะผู้นำของอาราม” ต้าหลิงไม่ได้ตอบคำถามเย่เย่ในทันที เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น

ทันทีที่เย่เย่ได้ยินดังนั้นความคิดทั้งหลายก็ประเดประดังเข้ามาในหัวของเขาอย่างไม่ขาดสาย เขาตรึกตรองอยู่พักนึง ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆและถามผู้พิทักษ์แห่งอารามขึ้น

“ถ้าหากข้าไม่รับข้อเสนอนั้นล่ะ?”

“ท่านไม่สามารถละทิ้งหน้าที่นี้ได้ จนกว่าท่านจะตาย” ต้าหลิงกระซิบที่ข้างหูเย่เย่อย่างแผ่วเบา เย่เย่หันขวับไปทางต้นเสียงแต่ก็มองไม่เห็นใครอยู่ข้างๆเขาเลย

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าของเย่เย่ ทำให้เขายิ่งทวีความสงสัยในตัวเหยียนลี่หยางมากขึ้นไปอีก เขาอยากจะรู้ให้ได้ว่าเหยียนลี่หยางผู้นี้เป็นใครและต้องการอะไรจากเขากันแน่ แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอารามวิถีสวรรค์แห่งนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เสียก่อน

“อารามแห่งนี้คืออะไร มีต้นกำเนิดมาจากอะไรกันแน่ ในฐานะประมุขข้าควรต้องรู้เอาไว้บ้าง”