ตอนที่ 259 ท่านอ๋องเข้าฟังราชกิจ
ที่เฝิงเยี่ยไป๋เป็นท่านอ๋องนั้น ตอนแรกก็มีแต่คนดูหมิ่น โดยเฉพาะขุนนางใหญ่โตเหล่านั้น แต่ละคนล้วนทะนงตน รู้สึกว่าเขาเป็นเพียงท่านอ๋องจอมปลอม ไม่ช้าก็ต้องถูกฮ่องเต้กำจัด แต่จะมีใครรู้ว่า วันนี้เขาสวมชุดราชการ ถึงกับปรากฏตัวอยู่ที่โถงราชกิจ
แม้ในใจจะไม่ยอมเช่นไร สีหน้าจะดูถูกอย่างไร ตำแหน่งของเขานั้นก็ยังอยู่ อย่างไรก็ต้องคำนับให้เขา ตอนนี้คนเหล่านี้เริ่มจะไม่รู้จุดประสงค์ของฮ่องเต้แล้ว ฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ยังไม่เสด็จมา หลี่เต๋อจิ่งมาแจ้งราชโองการให้เข้าตำหนักไท่เหอหารือราชกิจ มีบางคนที่ใจร้อนเดาพระทัยไม่ออก ดึงหลี่เต๋อจิ่งมาถามว่า “ผู้ดูแลใหญ่ นี่…ฝ่าบาทตอนนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ ไม่ใช่ว่าไม่ให้เฝิงเยี่ยไป๋เข้าร่วมฟังราชกิจไม่ใช่หรือ ไฉนวันนี้กลับ…”
หลี่เต๋อจิ่งได้ยินคำว่า ‘ผู้ดูแลใหญ่’ ก็รู้สึกดีไปทั้งตัว เขาแกล้งทำเป็นวางมาดพูดว่า “ข้าขอเตือนใต้เท้าทุกท่านระวังปากตัวเองเสียเถอะ พระทัยยากจะคาดเดา พวกเราเป็นเพียงบ่าวจะกล้าถามความคิดของฝ่าบาทได้อย่างไร ปรนนิบัติอย่างระวังไม่ผิดแน่นอน”
คำพูดนี้พูดไปก็เหมือนไม่ได้พูด ไม่ได้มีข่าวที่เป็นประโยชน์เลยแม้เพียงประโยคเดียว ที่จริงแล้วหลี่เต๋อจิ่งก็ไม่รู้ว่าในนั้นซ่อนความลับอะไรอยู่ ตั้งแต่ที่เอาราชโองการนั้นจากไทเฮามา ก็มีเพียงฮ่องเต้พระองค์เดียวที่ได้ทอดพระเนตร หลังจากที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปสีพระพักตร์ก็เริ่มไม่ดี คิดคนเดียวอยู่นาน คาดว่าคงคิดอะไรไม่ออก สุดท้ายถึงได้เรียกเขาเข้าไปถาม เพียงแต่อ้ำอึ้งอยู่นานก็ไม่ได้พูดอะไรที่เต็มประโยคเลย ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ผิดสังเกตนัก เขาคาดเดาว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากราชโองการ เพียงแต่ไม่รู้ว่าในราชโองการนั้นเขียนอะไรเอาไว้
เรื่องของราชโองการย่อมเป็นเรื่องที่คนยิ่งรู้น้อยก็ยิ่งดี ฮ่องเต้ไม่ให้คนอื่นดู คาดว่าก็คงเป็นเพราะหวาดกลัวกระมัง ส่วนหวาดกลัวอะไรนั้น ตอนนี้ดูแล้ว คงจะไม่ใช่เรื่องที่เฝิงเยี่ยไป๋ได้ดีในตำแหน่งราชการนี้กระมัง
ในวันนี้ ที่ท้องพระโรงหารือเพียงเรื่องหลักเรื่องเดียว…ซู่อ๋องอวี่เหวินยาง ตอนนี้อวี่เหวินยางตั้งตนอยู่ที่เมืองเหมิง ได้รับความนิยมจากประชาชน ใช่ว่าราชสำนักไม่เคยส่งทหารไปล้อมตี เพียงแต่เมืองเหมิงป้องกันง่ายบุกเข้าตียาก บวกกับในมืออวี่เหวินยางยังมีแม่ทัพฝีมือเก่งกาจหลายนาย ยังมีประชาชนที่ปกป้องด้วยชีวิต มักจะใช้กำแพงคนขวางดาบเอาไว้ อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังเป็นประชาชนของต้าเยี่ย ฮ่องเต้สามารถที่จะไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขา แต่ไม่อาจไม่สนใจคำพูดของเหล่าประชาชนใต้ฟ้านี้ พระองค์สามารถสั่งทหารม้าหุ้มเกราะเหล็กพุ่งเข้าใส่ ฆ่าเหล่าประชาชนที่ไร้ทางสู้นั้นก็เป็นเรื่องง่ายดาย เพียงแต่หลังจากฆ่าไปแล้วเล่า ชนะคือชนะแล้ว ใจประชนชาก็เสียจนหมดสิ้น ตอนแรกคนที่อยู่ข้างอวี่เหวินยางก็มีมาก หากพระองค์ทำเช่นนี้ไม่เท่ากับเสริมความยิ่งใหญ่ให้คนอื่นหรอกหรือ
แต่จะปล่อยไว้เช่นนี้ก็ไม่ได้ นี่เป็นไข้พระทัยของพระองค์ หากไม่จัดการเสียวันหนึ่ง ตำแหน่งฮ่องเต้ของพระองค์นั้นก็จะนั่งไม่สุขวันหนึ่ง
ฮ่องเต้ประทับอยู่บนที่สูง กุมหน้าผากแล้วถอนหายใจว่า “เราเลี้ยงพวกเจ้า ก็คือให้พวกเจ้ามาถอนหายใจอยู่ที่นี่หรือ ไม่มีใครมีวิธีดีๆ เลยหรืออย่างไร ปกติเวลาแย่งชิงตำแหน่งแต่ละคนล้วนฉลาดทั้งสิ้น วิธีมีร้อยแปดพันอย่าง ทำไมหรือ ตอนนี้ถึงเวลาที่ได้ใช้พวกเจ้าแต่ละคนกลับกลายเป็นใบ้เสียเช่นนั้น หา!”
ข้างล่างนั้นล้วนแต่คุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัว ตะโกนว่า “ขอฝ่าบาททรงอภัย” ฮ่องเต้กริ้วจนตบโต๊ะขึ้นมา “ทรงอภัยๆ นอกจากคำนี้แล้วพวกเจ้ายังพูดอะไรเป็นอีก เราบอกพวกเจ้าให้ วันนี้หากใครคิดหาวิธีไม่ได้ ก็อย่าได้คิดจะเดินออกจากประตูตำหนักไท่เหอทั้งที่มีชีวิตอยู่เลย ราชสำนักแต่ละปีจ่ายเบี้ยเลี้ยงมากมาย ไม่ใช่ให้พวกเจ้าไปเสพสุข หากยังคิดหาวิธีไม่ได้ ก็ลากออกไปประหารให้หมด!”
——
ตอนที่ 260 ไม่มีจิตใจจะช่วยคน
พระหัตถ์ฮ่องเต้กุมชะตาชีวิต จะฆ่าคนไม่ใช่เพียงเรื่องเอ่ยปากเท่านั้นหรือ เพียงแต่คนเหล่านี้แต่ละคนล้วนเจ้าเล่ห์เสียยิ่งกว่าอะไรอีก ไม่มีใครยอมออกหน้า บวกกับที่คิดวิธีอะไรไม่ออกอยู่จริง แต่จะมัวยืนรอความตายก็ไม่ได้ จึงมีคนออกมากราบทูล แล้วผลักเฝิงเยี่ยไป๋ออกไป ฮ่องเต้จะฆ่าเฝิงเยี่ยไป๋เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้กันดี ไม่แน่ก็ได้สมดั่งพระทัยฮ่องเต้ ฆ่าเฝิงเยี่ยไป๋ไปเลยก็ไม่แน่
พอคิดไปเช่นนั้นก็รู้สึกมีเหตุผล จึงยืนออกมา ประสานมือทูลว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินว่าท่านกู้หลุนอ๋องได้ทั้งบู๊ทั้งบุ๊น เมื่อก่อนเรียนอยู่สำนักศึกษาในวังก็ยังถูกอดีตฮ่องเต้ชมว่าเป็นเสาหลักของแคว้น อนาคตจะต้องมีผลงานยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นกระหม่อมคิดว่า ท่านอ๋องจะต้องมีวิธีช่วยแบ่งเบาความไม่สบายพระทัยของฝ่าบาทได้ เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเหล่าขุนนางอย่างพวกข้าพ่ะย่ะค่ะ”
เฝิงเยี่ยไป๋เลิกคิ้วขึ้นมา ในใจคิดว่านี่เท่ากับผลักเขาเข้ากองไฟชัดๆ ฮ่องเต้กำลังกริ้วอยู่ ตอนนี้จะสั่งประหารคนสองคนก็ไม่มีโอกาสให้ได้ร้องขอชีวิต ฮ่องเต้อยากจะฆ่าเขา เหล่าขุนนางผู้ภักดีของพระองค์ก็ได้คิดหาข้ออ้างที่จะประหารเขาไว้เรียบร้อยแล้ว ช่างเป็นนายบ่าวใจเดียวกันเสียจริง!
พูดถึงว่าต้องตาย ที่จริงแล้วก็ไม่มีใครอยากตาย คำพูดนี้ก็พูดได้ถูกใจพวกเขาพอดี อย่างไรเสียก็ได้ผลักเขาไปอยู่ริมหน้าผาแล้ว ผลักไปเสียอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร ทันใดนั้นเสียงส่งเสริมก็ดังขึ้นไม่หยุด
ฮ่องเต้คิดอยากจะฆ่าเฝิงเยี่ยไป๋ไม่ผิด เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ หากจู่ๆ ฆ่าเขาไป ไม่แน่อาจจะสร้างปัญหาตามมาไม่หยุดอีก พอคิดดีๆ แล้ว ก็ยังต้องเก็บเฝิงเยี่ยไป๋ไว้ก่อน กลับเป็นพวกคนที่พระองค์เลี้ยงเอาไว้นั้น ล้วนเป็นพยาธิ ถึงเวลาที่จะต้องแสดงความคิดเห็นต่างก็ทำตัวเป็นเต่าหดหัว ความฉลาดน้อยนั้นล้วนไม่ใช้ให้ถูกทาง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พระคลังของพระองค์ก็คงถูกคนเหล่านี้กินหมดเสียแน่ๆ !
แถมแต่ละคนยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นขุนนางผู้ภักดี นี่ก็คือขุนนางผู้ภักดีของพระองค์ ฮ่องเต้คิดไปแล้วก็รู้สึกกริ้ว พระองค์ตบโต๊ะเรียกทหารองครักษ์ที่ประตูเข้ามา แล้วคว้าแท่นฝนหมึกบนโต๊ะขว้างลงไป “เก่งเสียจริงๆ เลยพวกเจ้า เราให้พวกเจ้าคิดหาวิธี พวกเจ้าแต่ละคนล้วนมากลบเกลื่อนเราเช่นนั้นหรือ ได้ วันนี้เราจะให้พวกเจ้าได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ทหาร! ลากมันออกไปประหาร!”
คนที่เมื่อครู่ออกมาทูลตกใจคุกเข่าลงพื้นพูดว่า “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต… ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต…” ว่าแล้วความคิดฮ่องเต้คาดเดาเอาเองไม่ได้ คราวนี้คาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผิด พาลจะทำให้แม้แต่ศีรษะตนเองก็รักษาไว้ไม่อยู่ ทหารองครักษ์เข้ามาจับคนแล้ว เขาตกใจจนทำตัวไม่ถูก รีบคลานเข้าไปกอดขาเฝิงเยี่ยไป๋พูดว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมผิดไปแล้ว ขอให้ท่านอ๋องช่วยชีวิตกระหม่อมเถิด!”
เขาบ้าไปแล้วหรืออย่างไร จะให้ช่วยคนหนึ่งที่ผลักตัวเองไปยังแท่นประหารงั้นหรือ ไม่ได้ฆ่าเขาด้วยตนเองก็ถือว่าน่าเสียดายแล้ว เขาไม่ใช่เทพเซียนเสียหน่อย ไม่ได้มีจิตใจที่จะช่วยคนเล่นแก้เบื่อ เขายกเท้าเตะคนผู้นั้นออกไป แล้วสะบัดแขนเสื้อพูดด้วยท่าทางรังเกียจว่า “เป็นถึงขุนนางก็ควรจะแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท ที่ใต้เท้าทำก็ไม่ถูกใจจริงๆ ในเมื่อฝ่าบาททรงมีพระราชโองการลงมาแล้ว เช่นนั้นข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ ขอให้ใต้เท้าไปสู่สุคติ ชาติหน้าได้เกิดใหม่ดีๆ เถิด!”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่เขาด้วยสายพระเนตรซับซ้อน หากเขาช่วยคนเอาไว้ถึงจะแปลก พระองค์รู้ เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ใช่คนที่จะถูกจัดการได้ง่ายนัก หากเก็บเอาไว้ใช้ประโยชน์ให้กับตนเองได้ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่ได้ ก็ต้องรีบกำจัดทิ้งเสีย เพียงแต่พอนึกถึงราชโองการนั้น ฮ่องเต้ก็เครียด ตอนนี้ซู่อ๋องถึงจะเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเฝิงเยี่ยไป๋เสียอีก
“พวกเจ้าเล่า” ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์ชี้ไปที่เหล่าขุนนางซึ่งอยู่ข้างล่างด้วยท่าทางหวาดผวา “ยังมีใครอยากเป็นเหมือนเขา ก็ให้กลบเกลื่อนเราเต็มที่ เราฆ่าคนหนึ่งคือฆ่า ฆ่าสิบคนก็คือฆ่า ต่อให้ราชสำนักไม่มีคนให้ใช้ ก็ยังดีกว่าเลี้ยงพยาธิที่ไร้ประโยชน์!”