ตอนที่ 622

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ใบหน้าของผู้คนรอบข้างกลายเป็นแปลกประหลาด

จอมยุทธที่สามารถมายืนอยู่ที่นี่ได้จะเป็นเพียงจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้อย่างไร พวกเขาล้วนแต่เคยไปโบราณสถานต่างๆมาแล้ว รวมถึงได้พบเจอกับสิ่งแปลกประหลาดมามากมาย แต่กระต่ายที่สามารถพูดกับมนุษย์ได้นั้น ก็ยังแปลกประหลาดจนทำให้พวกเขาตกตะลึงอยู่ดี

ยิ่งกว่านั้นกระต่ายตัวนี้ยังอุกอาจจนถึงกับเตะมู่หลงชิงจนล้มคว่ำ พลังต่อสู้ของกระต่ายตัวนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้

‘ฟุบ’ มู่หลงชิงลุกพรวดขึ้นมาและมองไปยังรอบๆ “ใครกล้าเตะบิดาผู้นี้?”

เมื่อเห็นสายตาของทุกคนที่จ้องมองไปยังกระต่ายตัวใหญ่สีขาว ใบหน้าของมู่หลงชิงก็อดที่จะกระตุกและอุทานออกมาไม่ได้ “มาดูกันว่ากระต่ายที่ตายแล้วจะยังพูดได้รึไม่?”

“ตระกูลเจ้าน่ะสิที่ตาย!” กระต่ายขาวพุ่งกระโจนออกไปด้วยขาคู่และโจมตีใส่มู่หลงชิง “ระวังทักษะเหยี่ยวสิบแปดขาของนายท่านกระต่ายให้ดี!”

“เจ้ากระต่ายบัดซบ ข้าไม่เคยไปบาดหมางกับเจ้าเลยแท้ๆ!” มู่หลงชิงเกรี้ยวกราด

“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาตะโกนใส่นายท่านกระต่ายผู้นี้? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?” กระต่ายคำราม

หนึ่งคนหนึ่งกระต่ายกระโดดขึ้นสูงไปบนท้องฟ้าและเริ่มปะทะกันอย่างดุเดือด

“ไม่ต้องไปสนใจพวกนั้น” หลิงฮันยิ้มและปล่อยให้ทั้งสองคนสู้กันไป

“เดี๋ยวสู้กันจนพอใจแล้วพวกนั้นก็หยุดกันเอง” จูเสวียนเอ๋อเรียนรู้รูปแบบการพูดของหลิงฮัน

หลิงฮันและจักรพรรดิพิรุณพูดคุยกับเกี่ยวกับเหตุการณ์การต่างๆในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทันใดนั้นจักรพรรดิพิรุณก็กล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครไล่ล่าเจ้าเพราะมรดกของเขตแดนลี้ลับอีกแล้ว”

“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?” หลิงฮันมีท่าทีสงสัย

“เหวินอีเจี้ยนมาถึงภูมิภาคเหนือเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมกับไปเยือนนิกายดาบสวรรค์ นิกายกระบี่ไร้เทียมทานและนิกายโบราณนิกายอื่นๆ ตอนนี้นิกายเหล่านั้นได้ประกาศร่วมกันแล้วว่าห้ามใครลงมือสังหารเหวินอีเจี้ยน ไม่เช่นนั้นจะต้องกลายเป็นศัตรูของมหานิกายทั้งหลาย และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการคุ้มกัน เหวินอีเจี้ยนจะต้องเล่าอธิบายทุกสิ่งในพระราชวังมรดกแก่พวกเขา” จักรพรรดิพิรุณอธิบาย

‘โอ้ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?’

เมื่อหลิงฮันนึกให้ดีแล้ว เขาก็ต้องยอมรับว่าเหวินอีเจี้ยนคงตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแล้วจริงๆ

อีกฝ่ายไม่มีหอคอยทมิฬ ซึ่งไม่ต้องให้จอมยุทธระดับทลายมิติลงมือ แค่การไล่ล่าของจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาก็ทำให้อีกฝ่ายต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแล้ว เพราะงั้นหากยังเก็บงำเรื่องราวของมรดกในพระราชวังต่อก็มีแต่จะรั้งความก้าวหน้าของตัวเขาเองเปล่าๆ

ถ้าหากต้องให้เขาหลบซ่อนอยู่ในหุบเขาไปตลอดชีวิต ในอนาคตเขาจะสามารถกลายเป็นระดับทลายมิติหรือระดับพระเจ้าได้รึ?

ในเมื่อไม่สามารถเป็นได้ แล้วมรดกศักดิ์สิทธิ์จะมีประโยชน์อะไร?

ถ้าหลิงฮันไม่มีหอคอยทมิฬ บางทีเขาก็อาจจะต้องทำอย่างเหวินอีเจี้ยน

ตอนนี้ข้อมูลเกี่ยวกับมรดกศักดิ์สิทธิ์ได้ตกอยู่ในมือของนิกายโบราณหลายนิกายแล้ว การที่คนอื่นๆจะไล่ล่าพวกหลิงฮันหรือเหวินอีเจี้ยนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์

การกระทำครั้งนี้ของเหวินอีเจี้ยนนั้นเป็นการช่วยให้วิกฤตของหลิงฮันหายไปด้วยเช่นกัน

“เหวินอีเจี้ยนมีคุณสมบัติที่จะเข้าสำนักสวรรค์ได้โดยตรง” จักรพรรดิพิรุณกล่าวอีกครั้ง

หลิงฮันพยักหน้า ไม่ว่าจะด้วยพรสวรรค์ของเหวินอีเจี้ยนหรือความดีความชอบที่เขาบอกข้อมูลมรดกศักดิ์สิทธิ์ให้กับเหล่านิกายโบราณก็สามารถทำให้เขาเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย

“เจ้ารู้กฎกติกาในการเข้าร่วมสำนักรึเปล่า?” หลิงฮันถาม

“ในตอนนี้ยังไม่แน่ชัดนัก แต่ในเมื่อมันเกี่ยวกับพรสวรรค์วรยุทธของเหล่าอัจฉริยะ กติกาก็คงหลีกหนีไปจากการต่อสู้ไม่ได้” จักรพรรดิพิรุณพูดอย่างไม่แยแสและปลดปล่อยกลิ่นอายอันองอาจออกมา

หลิงฮันพยักหน้า สิ่งที่จักรพรรดิพิรุณขาดอยู่ก็คือทักษะบ่มเพาะที่จะช่วยให้เขาสามารถก้าวหน้าไปยังระดับทลายมิติ ส่วนในด้านทักษะยุทธนั้น เขาได้สร้างทักษะหมัดของตนเองขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาไม่ต้องการทักษะยุทธใดๆอื่นอีก มีเพียงทักษะศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ของเขาได้

เวลาผ่านไปซักพักหลิงฮันก็นำหม้อออกมาและเริ่มทำอาหาร กลิ่นหอมที่เกิดขึ้นไม่ได้ดึงดูดแค่เพียงผู้คนที่อยู่รอบข้างแต่ยังสายตาของหนึ่งคนหนึ่งกระต่ายที่อยู่บนฟ้าก็ยังต้องจ้องลงมาที่ฝาหม้อ

ฮุหนิวกระโจนพรวดขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด “อย่าแม้แต่จะคิดที่จะขโมยอาหารของหนิว!”

หลังจากปรุงอาหารเสร็จแล้วทุกคนก็เริ่มลงมือกิน กลุ่มของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยจอมยุทธที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นหลิงฮัน ฮูหนิว จักรพรรดิพิรุณหรือมู่หลงชิง พวกเขาล้วนแต่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์ ตอนนี้เมื่อทั้งสี่คนอยู่ด้วยกัน แม้ศัตรูจะเป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็ยังต้องถูกจัดการทิ้งอย่างง่ายดาย แล้วใครกันจะกล้ายั่วยุพวกเขา?

เพราะงั้นแล้ว ถึงแม้ผู้คนรอบข้างจะมองดูอย่างน้ำลายสอก็ไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนพวกเขา

บรรยากาศรอบๆนั้นคึกครื้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการต่อสู้ให้เห็นทุกวัน แม้บางคนจะไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์ พวกเขาก็มาที่นี่เพื่อตั้งแผงขายสิ่งของต่างๆ

ในวันถัดมา จักรพรรดิพิรุณกับมู่หลงชิงได้เข้าไปสำรวจป่ารอบๆเพื่อค้นหาสัตว์อสูร หากโชคดีพวกเขาอาจจะได้รับสมบัติอย่างเช่นแร่เหล็กหรือแก่นอสูรกลับมาด้วยก็ได้ ทำไมพวกเขาจะต้องนั่งรออยู่ที่นี่นิ่งๆเป็นเวลากว่าครึ่งปีด้วย?

หลิงฮันที่เพิ่งมาถึงที่นี่ก็เดินเที่ยวชมสินค้าอย่างคึกคัก บริเวณรอบนอกมีแผงลอยตั้งวางขายสินค้าอยู่เป็นจำนวนมาก

สินค้าที่วางขายอยู่มีทั้งโอสถระดับต่ำ สมบัติจากยุคโบราณที่ขุดขึ้นมาจากซากศพ พวกมันมีทั้งสินค้าที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์

จูเสวียนเอ๋อนั้นเดินตามติดหลิงฮันมาด้วย ในขณะที่ฮูหนิวเดินจับมือหลิงฮันโดยที่เด็กสาวได้พยายามคะยั้นคะยอให้เขาไปจากบริเวณแผงลอยแห่งนี้เสียที จนหลิงฮันอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าการเดินเที่ยวซื้อของไม่ใช่งานอดิเรกของหญิงสาวรึไง?

หลังจากเดินไปได้ซักพัก เขาก็มองเห็นกลุ่มคนกำลังมุงอยู่ที่แผงลอยเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเขาดูมีท่าทางคึกคักอย่างมาก

หลิงฮันไปยืนมุงดูด้วยและพบว่ากลุ่มคนเหล่านี้กำลังให้ความสนใจไปยังขวดบางอย่าง

มันเป็นขวดที่ดูเก่าแก่ บริเวณกลางขวดเต็มไปด้วยรอยสกปรก รูปแบบอาคมที่ประทับเอาไว้ก็เรือนราง แถมปากขวดยังแตกหักอีก แต่ถึงอย่างนั้นขวดใบนี้ก็ปลดปล่อยน่าเกรงขามออกมา

เจ้าของร้านแผงลอยคือชายวัยกลางคนที่มีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณ ดังนั้นถึงแม้จะมีคนอยากลักขโมยขวดนี้ไปก็ไม่สามารถทำได้

“เฒ่าแก่ สมบัติชิ้นนี้คืออะไรกัน?” หลิงฮันถาม

“ขวดหลอมกลั่นเซียนอำมฤต!” ชายชรากล่าว

หลิงฮันชะงัก หลอมกลั่นเซียนอำมฤต? ช่างเป็นคำพูดที่อวดดียิ่งนัก ไม่ว่าจะมองยังไงขวดที่เก่าแก่ขวดนี้ก็ไม่น่ามีอำนาจขนาดถึงขนาดหลอมเซียนได้ แถมอักขระที่ประทับเอาไว้ก็ดูเหมือนจะเกือบจะจางหายไปหมดแล้วด้วย

“ขายยังไง?” หลิงฮันถามต่อ ถ้าราคาของมันไม่สูงเกินไปเขาก็ยินดีที่จะจ่าย

“แลกเปลี่ยนกับสมบัติที่สามารถยืดอายุขัยได้” ชายชรากล่าว แม้เขาจะมีพลังบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็แก่ชรามากแล้ว พลังชีวิตของเขาเริ่มหดหาย เห็นได้ชัดว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่ปี

ด้วยสภาพเช่นนี้ สิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับเขาคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากสมบัติที่ช่วยยืดอายุขัย

แต่ใครบ้างจะไม่ต้องการมีอายุขัยยืนยาว สมบัติที่มีคุณสมบัติเช่นนั้นย่อมเป็นโอสถหรือไม่ก็ยาอายุวัฒนะที่แสนล้ำค่า มันไม่สามารถตีค่าได้ หลิงฮันไม่แปลกใจเลยที่ทำไมถึงมีผู้คนมามุงดูมากมายแต่ไม่มีใครเสนอแลกเปลี่ยนสมบัติกับขวดตรงหน้าเลยสักคน ข้อเสนอของชายชรานั้นสูงเกินจนมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอื้อมถึง

แต่ถึงแม้จะครอบครองสมบัติที่ยืดอายุขัยได้อยู่จริงๆ มันจะคุ้มรึที่จะนำไปแลกเปลี่ยนกับขวดที่ผุพังเช่นนั้น?