ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 66.1 ตอนอวสาน (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

วาจาของเขาดุจสายอสนีบาตที่ฟาดลงกลางศีรษะซูหลี เหตุใดจึงมีคนชั่วช้าสามานย์ถึงเพียงนี้อยู่บนโลก? เสียงหัวเราะนั้นพาให้ผู้คนขนลุกขนชัน ทุกคนมองหน้าเขาราวกับกำลังมองปีศาจจากขุมอเวจี ต่างพูดอะไรไม่ออก

 

จั้นอู๋จี๋ได้เห็นหัวใจนางแตกสลาย เจ็บปวดทรมานสมดังปรารถนา ก็พลันรู้สึกเบิกบาน เขาตะโกนเสียงดัง “อ้อ ใช่สิ ข้าควรจะบอกให้เจ้ารู้ ว่าข้าฆ่าหลางฉ่างอย่างไร หลังจากงานชุมนุมไป่จี๋ เขาก็มีองครักษ์คอยคุ้มกันอย่างแน่นหนาอยู่ตลอดเวลา เพื่อสังหารเขา กองทัพหวนคืนเสียหายไปกว่าครึ่ง สุดท้ายข้าก็เลยสร้างเรื่องว่าเจ้าตกอยู่ในกำมือข้า เพื่อล่อให้เขาไขว้เขว จนสังหารเขาสำเร็จในที่สุด เห็นได้ชัดเลยว่า น้องสาวเช่นเจ้าสำคัญกับเขาถึงเพียงใด! และเจ้า เพื่อคนที่ตายไปแล้วอย่างเขา ต้องทนทุกข์ทรมานกับความรักที่ไม่อาจสมหวังได้นานถึงสามปี ก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”

 

รู้ทั้งรู้ว่าเขาพูดเรื่องพวกนี้เพื่อกระตุ้นโทสะนาง และทำให้นางเจ็บปวด แต่ซูหลีก็ยังสั่นไปทั้งตัวอย่างไม่อาจควบคุม เสด็จพี่ของนาง ตายเพราะนางจริงๆ ด้วย! หัวใจนางเจ็บปวดรวดร้าว ยากจะควบคุม ความเจ็บพลันจู่โจมท้องขนาดใหญ่ของนาง นางร้องคราง ขดตัวต่ำ หลับตา และพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อจะคลายจุดลมปราณอีกครั้ง

 

สายตาของจั้นอู๋จี๋ไหวระริก เขาชะโงกหน้าเข้าใกล้นาง หัวเราะแล้วกล่าวว่า “เรื่องที่เจ้าอยากรู้ ข้าก็บอกหมดแล้ว ข้าเองก็มีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมานาน ต้องการให้เจ้าช่วยไขข้อข้องใจที ตอนนั้นเจ้าเป็นเพียงบุตรีสายรองของจวนอัครเสนาบดี แต่กลับกัดคดีการตายของหลีซูไม่ยอมปล่อย กระทั่งคิดจะสังหารข้าด้วยตนเอง! เจ้าเกลียดแค้นข้าถึงเพียงนี้ เพราะอะไรกัน? วาจาเหลวไหลเช่นวิญญาณเข้าฝัน มีแค่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อ ในอดีตบิดาของฮ่องเต้แคว้นเฉิงไม่อยากซักไซ้ไล่เลียง จึงไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม บอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่? ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่ซูหลี!”

 

เขาจ้องหน้านางอย่างไม่ยอมละสายตา

 

ซูหลีเจ็บจนเหมือนท้องจะแตก แต่กลับพยายามควบคุมตนเองอย่างสุดความสามารถ นางเงยหน้าแล้วยิ้ม “ข้าไม่ใช่ซูหลีจริงๆ ข้าคือหลางชิง ฮ่องเต้แคว้นติ้ง!”

 

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังไม่ยอมรับอีกหรือ เจ้าเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นติ้งแล้ว ไม่มีใครกล้าเอาผิดกับเจ้า แล้วทำไมยังไม่กล้าพูดความจริงอีก? เจ้าคือหลีซู ตอนนั้นเจ้าสับเปลี่ยนร่างและมีชีวิตรอดมาได้อย่างไรกัน?!”

 

เหล่าขุนนางแคว้นเฉิงที่ยืนออกันตรงปากหุบเขาได้ยินก็ตกตะลึง

 

ซูหลีอดทนต่ออาการเจ็บท้อง สูดหายใจลึกๆ แล้วหันไปยิ้มแปลกๆ ให้เขา

 

จั้นอู๋จี๋นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา รู้สึกเพียงเสียวสันหลังวาบ ทว่ากลับกัดฟันแล้วยิ้ม “เจ้าไม่บอกก็ช่างเถิด ถึงอย่างไรมีชีวิตต่อได้เพียงไม่กี่ปี เจ้าก็ยังต้องตายด้วยน้ำมือข้าอีกครั้งอยู่ดี!”

 

คมกริชในมือเขาแนบชิดใบหน้านาง กลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงปากหุบเขาตะโกนด้วยความตกใจ

 

“…จั้นอู๋จี๋! ข้าจะฆ่าเจ้า!” ฮั่วเสี่ยวหมานที่ตกใจกับสถานการณ์ที่พลิกผันไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งสติได้ในที่สุด นางตะเกียกตะกายลุกขึ้น แล้ววิ่งเข้าใส่จั้นอู๋จี๋อย่างบ้าคลั่ง

 

ซูหลีร้องตะโกนเสียงดังด้วยความร้อนใจ แต่สายไปเสียแล้ว ฮั่วเสี่ยวหมานยังวิ่งมาไม่ถึงตัวจั้นอู๋จี๋ ก็ถูกชายชุดดำคนหนึ่งใช้ดาบเสียบทะลุหน้าอก

 

เลือดสีแดงพุ่งทะลักกระจายเต็มพื้น แดงสะดุดตาจนน่ากลัว

 

ฮั่วเสี่ยวหมานล้มลงไป นางหันมามองซูหลี วินาทีสุดท้ายในชีวิต ไม่มีความแค้น มีเพียงความเสียใจและรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง “ข้า…ขอโทษ…นะ ฉาง…เล่อ…” น้ำตาหลั่งไหลออกจากนัยน์ตางาม ก่อนจะจางหายไปพร้อมกับชีวิตอันเยาว์วัยของนาง

 

ซูหลีล้มตัวลงนั่งบนพื้น อาการเจ็บท้องจู่โจมนางอีกครั้ง ทำให้นางขดตัวกลมอย่างทนไม่ไหว นางมองหน้าฮั่วเสี่ยวหมานที่สิ้นใจทั้งที่ยังเบิกตากว้าง หัวใจเจ็บปวดทรมาน พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

 

โลหิตสีแดงไหลทะลักออกจากกายนาง ทุกคนร้องขึ้นด้วยความตกใจ “เลือด! ฝ่าบาท…เด็ก!”

 

ตงฟางเจ๋อเป็นตายไม่ทราบแน่ชัด ชีวิตของซูหลีเกี่ยวโยงถึงความอยู่รอดของทั้งสองแคว้น กลุ่มคนพลันแตกตื่นลนลาน

 

หยางเซียวตะโกนเสียงดัง “จั้นอู๋จี๋ ตงฟางเจ๋อก็ตายไปแล้ว เจ้ายังไม่ปล่อยนางอีก?! หรืออยากให้กองทัพของพวกเราทั้งสามแคว้นสังหารเจ้าให้ตายโดยไม่เหลือแม้แต่เศษเล็บ?!”

 

จั้นอู๋จี๋เองก็ตกใจเช่นกัน เขาดึงซูหลีให้ลุกขึ้น เห็นใบหน้านางซีดเผือดไร้สีเลือดฝาด โลหิตสีแดงไหลทะลักออกจากร่างกาย ก็พลันตึงเครียด เขาลังเลครู่หนึ่ง แล้วตะโกนว่า “ตงฟางเจ๋อตายหรือไม่ ข้ายังไม่เห็นศพเขา ในเมื่อเด็กคนนี้เองก็อยากจะรีบออกมารับความตายนัก…”

 

หวั่นซินทั้งร้อนใจและโกรธเกรี้ยว “จั้นอู๋จี๋! เจ้าคิดจะให้หยกและศิลาแหลกลาญไปพร้อมกันงั้นหรือ?! หากฝ่าบาทตาย เจ้าก็อย่าคิดว่าจะได้เห็นดวงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้อีกเลย!”

 

จั้นอู๋จี๋มองหน้านางด้วยสายตาเย็นยะเยือก “กล้าขู่ข้างั้นหรือ?! พวกเจ้ายังอยากให้เด็กนี่มีชีวิตอยู่หรือไม่?!”

 

ความเจ็บปวดทุเลาลงหนึ่งส่วน เหงื่อเย็นอาบท่วมศีรษะซูหลี นางตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง ฝืนตนเองให้ใจเย็น “จั้นอู๋จี๋! หาก หาก…เด็กคนนี้ไม่อาจคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย เจ้าจะยึดครองโลกใบนี้ได้อย่างไร?!”

 

จั้นอู๋จี๋ตะลึงงัน ไม่นานก็หัวเราะเสียงดัง “ดี ดีเหลือเกิน เจ้าคิดจะหาทางรอดให้เด็กคนนี้ ข้าจะสงเคราะห์เจ้าเอง ทหาร ลากนางออกไป ให้นางคลอดว่าที่กษัตริย์ที่จะรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งคนนี้ออกมา”

 

“จั้นอู๋จี๋!” เจียงหยวนตะโกนเสียงดัง “พระวรกายของฝ่าบาทอ่อนแอ มีเพียงข้าที่รู้ว่าต้องรักษาอย่างไร หากเจ้าต้องการให้นางคลอดอย่างราบรื่น ก็ให้ข้าไปด้วย!”

 

“ไม่ได้” จั้นอู๋จี๋ปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว ด้วยวรยุทธ์และความสามารถในการใช้พิษของเจียงหยวน หากยอมให้เขาไปด้วยก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้ตนเอง

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวด้วยความร้อนใจ “ให้ข้าไปเถิด ข้าไม่เป็นวรยุทธ์ เจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะสร้างปัญหาอะไร”

 

“ข้าด้วย!” โม่เซียงรีบตะโกนขึ้นทันที “ข้าก็ไม่เป็นวรยุทธ์เช่นกัน…ขอร้องละ ให้ข้าไปด้วยเถิด ฝ่าบาทรอต่อไปไม่ไหวแล้ว!”

 

จั้นอู๋จี๋มองหน้าพวกนางสองคนด้วยความลังเล ไม่พูดอะไร

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวเสริมว่า “หากฝ่าบาทคลอดอย่างราบรื่น มีแต่จะดีกับเจ้า หากนางสองแม่ลูกตายที่นี่ เจ้าจะเหลืออะไรอีก? เจ้าจะยังมีแผ่นดินมีอำนาจอีกหรือ? แคว้นติ้งและเฉิงของพวกเราจะต้องสังหารเจ้า ไม่ตายไม่เลิกราอย่างแน่นอน!”

 

หยางเซียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รวมแคว้นเปี้ยนด้วย แม้แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล แต่จะไม่มีที่ให้เจ้ายืนอีก ข้าหยางเซียวพูดได้ ย่อมทำได้!”

 

จั้นอู๋จี๋มองหน้าพวกเขาทีละคน จากนั้นจึงค่อยส่งสัญญาณให้ชายชุดดำปล่อยพวกนางสองคนเข้ามา

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกับโม่เซียงรีบวิ่งไปหาซูหลี ประคองนางให้เอนกายด้านหลังก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง จั้นอู๋จี๋เห็นว่าด้านข้างเป็นหน้าผาสูง คิดว่าพวกนางสามคนคงเล่นลูกไม้อะไรไม่ได้อีก จึงเพียงสั่งให้ชายชุดดำสองคนยืนเฝ้าพวกนางไว้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของก้อนหิน

 

โม่เซียงปูฟูกบนพื้น กำลังจะประคองซูหลีให้เอนกายนอนลง เห็นชายชุดดำสองคนนั้นยังคงจ้องซูหลีไม่ละสายตา ก็ตวาดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวทันที “มองอะไรของพวกเจ้า! ไม่เคยเห็นคนคลอดลูกหรือ ยังไม่รีบหันไปอีก!”

 

ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สองคนถูกเด็กสาวตัวเล็กตวาดใส่ ใบหน้ากลับแดงก่ำ พวกเขามองหน้าจั้นอู๋จี๋ เห็นเขาไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด จึงทำได้เพียงหันหลังให้หินขนาดใหญ่ก้อนนั้น แล้วเงี่ยหูฟังเสียงเคลื่อนไหวข้างหลังอย่างละเอียดแทน

 

ซูหลีเอนกายบนฟูก รู้สึกเพียงมือและเท้าเย็นดุจน้ำแข็ง อาการเจ็บท้องรุนแรงจนนางรู้สึกเหมือนร่างกายจะฉีกเป็นชิ้นๆ นางกุมมือซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแน่น ทรมานสุดแสน แต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นพิเศษ “หากถึงคราวจำเป็น…ก็จงผ่าท้องเอาเด็กออกมา ไม่ต้องห่วงข้า…”

 

“เหลวไหล!” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยที่เป็นคนอ่อนช้อยเสมอมาทั้งตกใจและโกรธจัด นางกุมมือซูหลีตอบ “เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร! จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน เชื่อข้า แล้วก็จงเชื่อตัวเจ้าเอง อีกอย่าง…” นางก้มหน้ากระซิบข้างหูซูหลีด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน “เจ้าต้องเชื่อในตัวฮ่องเต้แคว้นเฉิงด้วย”

 

ตงฟางเจ๋อ…

 

ถ้าบอกว่าตอนที่พิษเย็นในร่างกายเขากำเริบครั้งนั้น ซูหลียังสามารถเชื่อมั่นว่าเขาจะต้องฟื้นขึ้นมาได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นคราวนี้ ภายใต้สระน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ เขาจะเป็นหรือตาย นางแทบไม่อาจคาดเดา ยามนี้หัวใจเหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่อาจใคร่ครวญอะไรได้อีก แม้แต่ความเจ็บปวดก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ห่างไกลออกไป นัยน์ตาเริ่มเลื่อนลอยไร้จุดหมาย

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเห็นเช่นนั้นก็พลันลนลาน รีบประคองใบหน้านางขึ้นมา กระซิบเสียงเบาทว่าหนักแน่น “เจ้าอย่าได้คิดฟุ้งซ่าน เจ้าต้องเชื่อว่า เขาจะไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าไว้อย่างนี้แน่นอน! แล้วก็ไม่มีทางทิ้งลูกด้วย…”

 

ตงฟางเจ๋อไม่มีทางทิ้งซูหลีไว้ไม่เหลียวแล เขาไม่เคยทำอย่างนั้นเลยสักครั้ง

 

ในที่สุดสายตาของซูหลีก็ไหวระริกเล็กน้อย สติสัมปชัญญะหวนกลับคืนมา ความเจ็บปวดทางกายโจมตีเข้ามา เจ็บจนเหมือนร่างกายจะขาดเป็นสองท่อน

 

ลูก! ลูกของนางกับตงฟางเจ๋อ…จะต้องลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัย

 

“อวิ๋นฮุ่ย ช่วยข้า” ครั้นจิตตั้งมั่น นางก็คล้ายมีพลังอันแข็งแกร่งที่ไม่มีวันล้มขึ้นมา

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพยักหน้าอย่างมุ่งมั่น นี่ต่างหากคือซูหลีที่นางรู้จักดี ทั้งกล้าหาญและแข็งแกร่ง ไม่มีทางยอมแพ้ในตัวเอง

 

ครั้นเห็นซูหลีกัดปากแน่นจนแทบเลือดออก ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก็ปวดใจยิ่งนัก รีบล้วงผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อของตัวเองออกมายัดใส่ปากนาง ซูหลีกัดไว้เต็มแรง ณ เวลานี้ อยู่ต่อหน้าศัตรู นางจะไม่มีทางแสดงความอ่อนแอให้พวกเขาเห็น นั่นเป็นศักดิ์ศรีสุดท้ายที่นางต้องรักษาไว้ให้ได้