ตอนที่ 455 เหตุฆาตกรรมที่เกิดจากหมั่นโถวหนึ่งลูก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 455 เหตุฆาตกรรมที่เกิดจากหมั่นโถวหนึ่งลูก

เมฆสีเทาหม่นได้ปกคลุมไปทั่วท้องนภาของเมืองจินหลิง

ละอองหิมะได้ตกลงมาอีกครา

แสงไฟจากหลายหลังคาเรือนในเมืองจินหลิงได้สว่างโร่ขึ้นมา เรือสำเภาของหงซิ่วจาวได้จุดโคมไฟสีแดงขึ้นมา

หงซิ่วจาวในคืนนี้ดูเหมือนจะคึกคักเร็วกว่าในอดีตเสียเล็กน้อย ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังขึ้นไปยังหงซิ่วจาว ก็ได้ยินเสียงจอแจดังมาจากอาคารสามชั้น

“พวกเจ้าคงมิรู้ ข้าเพิ่งใช้เงินที่หามาได้อย่างยากลำบากในการซื้อหุ้นจำนวน 1,000 หุ้น…”

“สิ่งที่เรียกว่าหุ้นคือสิ่งใดกัน ? ”

“จุ๊ ๆ ๆ กงซุนช่างมิสนใจเรื่องภายนอกอย่างแท้จริง นั่นคือสิ่งที่ท่านฟู่เสี่ยวกวนทำออกมาด้วยตนเอง 1 หุ้น 2 ตำลึง จัดจำหน่าย 4,000,000 หุ้น และขายหมดภายในเวลามิถึงหนึ่งวัน ! ”

“…” กงซุนเค่อตกตะลึงไปชั่วขณะ เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย นั่นคือของที่อาจารย์เป็นผู้ทำออกมา ย่อมเป็นของที่ดีอย่างมากเป็นแน่ ในช่วงหลายวันมานี้เขาได้แต่หมกมุ่นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจ จึงได้พลาดเรื่องที่ดีนี้ไปเสียแล้ว

ฮั่วหวยจิ่นและหนิงหยู่ชุนนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งในหงซิ่วจาว เดิมทีได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนมาที่นี่เพื่อฟังเพลงและร่ำสุรา แต่มิคาดคิดว่าจิ้นซื่อรุ่นนี้จะมาฉลองกันที่นี่

มีผู้คนมากเกินไปอย่างแท้จริง มิใช่สถานที่ที่ดีสำหรับการสนทนาเท่าใดนัก ดังนั้นทั้งสองจึงได้สบสายตากัน ลุกขึ้นยืนและเดินออกมาจากอาคารสามชั้น ก็ได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่ชั้นสองอย่างพอดิบพอดี

“น่าเสียดาย พวกเราได้เปลี่ยนสถานที่แล้ว คิดว่าจะไปที่หอซื่อฟางแทน”

“ด้วยเหตุอันใดกัน ? ”

“วันนี้ได้มีการเข้ารับตำแหน่ง จิ้นซื่อจึงได้จัดงานฉลองขึ้นมาที่นี่ และที่แห่งนี้ก็ถูกเหล่าศิษย์ของสำนักศึกษาจองไปทั้งหมดแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังและเดินออกมาทันที กล่าวไปแล้วเขาก็เป็นอาจารย์ผู้สอนในสำนักศึกษา หากอาจารย์เดินเข้าไป ลูกศิษย์เหล่านั้นจะสนุกกันได้เยี่ยงไร

ทั้งสามคนขึ้นฝั่ง นั่งรถม้าคันเดียวกัน และตรงไปยังหอซื่อฟางทันที

“จอหงวนปีนี้คือผู้ใดกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม

แต่ฮั่วหวยจิ่นกลับมิได้สนใจเรื่องนี้ ดังนั้นหนิงหยู่ชุนจึงตอบยิ้ม ๆ ว่า “จอหงวนกงซุนเซ่อ ปั๋งเหยี่ยนซังเหลียง ทั่นฮวาซือหม่าหนาน…”

หนิงหยู่ชุนหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวว่า “จะว่าไปทั้งสองก็คือคนที่ติดตามเจ้าไปยังราชวงศ์อู๋ แต่ที่บังเอิญยิ่งกว่านั้นก็คือ ยามที่ทำการทดสอบคาดมิถึงว่าหัวข้อนโยบายที่ฝ่าบาทยกมานั้นจะเกี่ยวข้องกับนโยบายใหม่ทั้งสิ้น

หัวข้อนั้นมีนามว่า ‘ข้อดีข้อเสียของนโยบายใหม่แห่งแคว้นหยู’ กล่าวกันว่าคำตอบของทั้งสามยอดเยี่ยมยิ่ง และได้รับการยอมรับจากฝ่าบาท หลังจากที่สอบเสร็จก็มีคำกล่าวในสำนักศึกษาว่า เกี่ยวกับเรื่องนโยบายใหม่ ระหว่างการเดินทางไปราชวงศ์อู๋ เจ้าได้อบรมบัณฑิตเหล่านั้นอย่างมากมาย ดังนั้นมุมมองของทั้งสองจึงค่อนข้างแปลกใหม่ และตรงกับพระทัยของฝ่าบาทอย่างพอดิบพอดี”

สำหรับกงซุุนเซ่อและซังเหลียง ฟู่เสี่ยวกวนย่อมจดจำได้ เพียงแต่ “ซือหม่าหนานคือผู้ใดกัน ? ”

“ซือหม่าแห่งหญิงชิว หวางซุน ณ เปี้ยนเหอ ซางเสียงของตระกูลหลู่ และหลินจื๋อโจ่งหยู นี่คือตระกูลพ่อค้าที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์หยู พ่อค้าแบบเจ้านี่มิเป็นมืออาชีพเอาเสียเลย”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ แล้วเอ่ยถามว่า “นี่มิได้หมายความว่ามีแค่สี่หรือ ? ”

“หลินจื๋อโจ่งหยู ในที่นี้หมายถึงตระกูลโจ่งและตระกูลหยู”

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน หญิงชิวอยู่ที่เจียงหนานตงเต้า เปี้ยนเหออยู่ที่เส้นทางหวยหนาน ซางเสียงอยู่ที่ซานหนานตงเต้า และหลินจื๋ออยู่ที่เจี้ยนหนานตงเต้า

ทั้งสี่สถานที่นั้นมีเส้นทางคมนาคมที่ยอดเยี่ยม สภาพแวดล้อมก็เหมาะสม เมืองเหล่านั้นต่างก็เป็นเมืองใหญ่ ความเจริญรุ่งเรืองของการค้าจึงเป็นเรื่องที่ปกติ ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้เอ่ยถามให้มากความ

เนื่องจากซือหม่าหนานเกิดในตระกูลพ่อค้า ย่อมสนับสนุนนโยบายใหม่นี้อย่างแน่นอน สิ่งที่เขาได้รับมาย่อมเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับการค้า

ทั้งสามคนต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนใจในทันที และตัดสินใจได้แล้ว เขาจะคว้าทั้งสามคนนี้มาไว้ในมือให้จงได้

ทั้งสามคนขึ้นไปบนหอซื่อฟาง และยังคงนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวบนชั้นสาม

หลงจู๊ของหอซื่อฟางในยามนี้ได้เข้ามาปรนนิบัติฟู่เสี่ยวกวนด้วยตนเอง ผู้มีอำนาจคนใหม่แห่งเมืองหลวง เป็นลูกค้าที่โดดเด่นยิ่ง

“ในวันนี้พวกข้ามากันสามคน อาหารไม่ต้องมากมายนัก ทำออกมาให้ปราณีตอีกเล็กน้อย แล้วก็นำน้ำชามาหนึ่งกาก่อน”

“ขอรับ ข้าน้อยจะไปจัดการในทันที ! ”

หลงจู๊ได้เดินลงไป ฮั่วหวยจิ่นจึงกล่าวขำ ๆ ขึ้นมาว่า “ในตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นคนมีครอบครัวไปแล้ว อยากจะเชิญเจ้าออกมาทานอาหารดื่มสุราก็เริ่มมีความกังวลบ้างแล้ว… เหล่าน้องสะใภ้มีขัดแย้งบ้างหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ “มิมีอันใดเลย เหล่าบุรุษสมรสไปแล้วแต่ยามต้องดื่มสุราก็คือดื่ม”

“ประโยคนี้ยอดเยี่ยมยิ่ง ! ” หนิงหยู่ชุนเอ่ยชื่นชม “ข้าแก่กว่าพวกเจ้ามากนัก แต่ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน มันมิมีเหตุผลอันใดที่จะต้องให้สตรีมาควบคุม ! ”

จากนั้นหนิงหยู่ชุนก็ได้เปลี่ยนเรื่อง แล้วหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยถามว่า “หุ้นของเจ้า เจ้าได้ขายจนหมดแล้ว ข้าขอกล่าวกับเจ้าโดยแท้จริงว่า วันนี้มีคนจำนวนมากวิ่งมาที่ว่าการเขตเพื่อขอร้อง ทั้งหมดเกือบจะเป็นพ่อค้ารายใหญ่ในเมืองหลวงแทบทั้งสิ้น… เยี่ยงนั้นทำออกมาขายอีกสักแปดล้านดีหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองหนิงหยู่ชุน “จะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“แล้วเหตุใดจึงเป็นไปมิได้กัน ? ใช้กระดาษแลกเป็นเงิน มีเรื่องดี ๆ แบบนี้ที่ใดในใต้หล้ากันเล่า ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอธิบายว่า “นี่มิใช่เรื่องการแลกเปลี่ยนกระดาษให้เป็นเงิน คราแรกที่ตั้งต้นขึ้นมานั้นอยู่ที่สี่ล้านหุ้น แล้วหมุนเวียนมาเป็นแปดล้านตำลึง และจะกระจายไปยังมณฑลนำร่องทั้งสิบหกแห่งหลังต้นปี ต่อจากนั้นในเวลาครึ่งปี เม็ดเงินที่แจกจ่ายออกไปเหล่านี้จะมิสามารถสร้างกำไรอันใดได้ทั้งสิ้น เพราะต้องสร้างโรงงาน”

“ดังนั้นสองไตรมาสแรกของปีหน้าจะมิมีเงินปันผล จะมีหลังจากที่สินค้าผลิตออกมาและถูกขายไปแล้วเท่านั้น จึงจะเกิดกำไรขึ้นมา ข้าประเมินไว้คร่าว ๆ ว่าหากต้องการได้รับเงินปันผล อย่างน้อยก็ต้องรอไปจนถึงสิ้นปีหน้า”

“แล้วเหตุใดจึงมิสามารถขายของสิ่งนี้ออกไปได้สุ่มสี่สุ่มห้าน่ะหรือ เพราะพวกเราต้องรับผิดชอบต่อนักลงทุนทุกคน ยิ่งขายหุ้นได้มากเท่าใด เงินปันผลต่อคนก็จะมากขึ้นเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นก็จะแบ่งเงินได้เพียงมิมากเท่าใดนัก หลังจากที่หุ้นนี้ขายทอดสู่ตลาดทั้งยังขายได้มิมากเท่าใดนัก… พวกเจ้าลองกล่าวสิว่า ผู้ใดกันที่จะยังเชื่อมั่นในหุ้นของซีซาน ? ”

“หากในภายภาคหน้าต้องระดมทุนอีกเพื่อขยายกำลังการผลิต ผู้ใดจะกล้ามาซื้อหุ้นของซีซานอีกกัน ? ”

หนิงหยู่ชุนและฮั่วหวยจิ่นนิ่งเงียบไปชั่วครู่ และได้เข้าใจความหมายคร่าว ๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้

กระดาษนี้ มิสามารถแลกเป็นเงินอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้โดยแท้จริง !

ทั้งสามสนทนากัน สุราและอาหารถูกยกขึ้นโต๊ะ แต่ยังมิทันที่จะได้ดื่มจอกที่สอง ก็ได้มีเสียงดังตึง ๆ ดังขึ้นมาจากทางบันได

จิงหยูเว่ยนายพันกองรักษาการณ์จากจวนผู้ว่าเขตจินหลิงได้วิ่งเข้ามาด้านในด้วยความรีบร้อน

เขาโค้งคำนับ

“นายท่านขอรับ สลัมทางเหนือของเมืองเกิดการจลาจลขอรับ”

หนิงหยู่ชุนคิ้วขมวด “สถานการณ์ร้ายแรงถึงเพียงใด ? ”

“ตายสาม และถูกเพลิงไหม้ไปห้าหลังคาเรือนขอรับ”

“เหตุจูงใจเล่า ? ”

“…หมั่นโถว…หนึ่งลูกขอรับ ! ”

จินเชียนฮู่ได้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดโดยละเอียด

เด็กชายเจ็ดขวบผู้หนึ่งได้ขโมยหมั่นโถวหนึ่งลูกในร้านหมั่วโถวทังจี้ในช่วงพลบค่ำ เมื่อถูกทังปู้ยงเจ้าของร้านทังจี้พบเข้า เขาย่อมมิยอม ดังนั้นจึงถือมืดตัดก๋วยเตี๋ยวแล้ววิ่งตามไป

เขาจับเด็กชายตัวน้อยเอาไว้ หากเด็กชายตัวน้อยคืนหมั่นโถวลูกนั้นให้แก่เขา ก็จะมิเกิดเรื่องอันใดแล้ว

แต่เด็กชายผู้นั้นกลับปกป้องหมั่นโถวลูกนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งยังกัดทังปู้ยงเข้าให้ ทังปู้ยงจึงเดือดดาลเป็นอย่างมาก จึงแทงมีดเข้าที่ท้องของเด็กชายตัวน้อย

ทันใดนั้นชาวบ้านในสลัมก็ได้ก่อความวุ่นวาย บิดาของเด็กชายและชาวบ้านในสลัมได้รุมล้อมเอาไว้ ทุบตีจนทังปู้ยงถึงแก่ความตาย และในยามที่ทังปู้ยงใกล้ตายก็ได้แทงชายผู้หนึ่งที่เข้ามาช่วยไว้อีกด้วย

ดังนั้นความเดือดดาลของชาวบ้านในสลัมจึงพุ่งสูงขึ้นไปอีก พวกเขาปรี่เข้าไปในร้านหมั่นโถวทังจี้ และขโมยหมั่วโถวในที่แห่งนั้นไปจนหมด ทั้งยังจุดไฟเผาร้านอีกด้วย

ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด “สลัมนี้… ยากจนถึงเพียงนั้นเลยหรือ ? ”

เขามิได้ถามไร้สาระ เพราะเหตุผลที่ไร้สาระคือความจน !

“เป็นสถานที่ผุพัง เป็นสถานที่ที่เลวร้ายในเมืองหลวงแห่งหนึ่ง ปีนี้มีผู้ลี้ภัยจากสองฝั่งแม่น้ำหวงเหอเพิ่มมากขึ้น เฮ้อ…พวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่น่าสงสาร ! ”