บทที่ 87 เกมเดิมพัน
ในที่สุดวันแห่งการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ก็มาถึง
ตามปกติพวกเขาจะเริ่มต้นด้วยการทดสอบรากฐานการบ่มเพาะรายคน โดยในขณะที่ทุกคนพูดคุยและหัวเราะอย่างมีความสุข พวกเขาก็จะทำการทดสอบเพื่อดูว่าลูกและหลานของใครมีความก้าวหน้า และพยายามหนักที่สุดในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามวิธีการทดสอบของปีนี้ ได้แตกต่างจากปีก่อน ๆ อยู่บ้าง
เฉพาะ 3 อันดับแรกเท่านั้นที่จะถูกตัดสินโดยรากฐานการบ่มเพาะ และการจัดอันดับที่เหลือจะต้องต่อสู้เพื่อกำหนดตำแหน่งของพวกเขาเอง
มักจะมีคนพูดอยู่เสมอว่าการทดสอบไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
แต่ในความเป็นจริง เมื่อการทดสอบไม่ได้เอื้อประโยชน์อะไรแก่ผู้ที่มีอำนาจ การทดสอบก็อาจจะกลายเป็นเรื่องเล่น ๆ ได้เช่นกัน
การประเมินสิ้นปี เปลี่ยนไปทุกครั้ง
ซูเฉินเคยเห็นมาแล้ว
หากครั้งหนึ่งเคยเรียกได้ว่าซูเฉินคาดหวังบางอย่างจากตระกูลหรือคนที่เขารัก ในตอนนี้ก็กล่าวได้ว่าเขายอมแพ้ในเรื่องนี้ไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
ขอทานชราพูดถูก
ดวงตาคู่ใหม่ที่ขอทานชรามอบให้ซูเฉินไม่เพียงแค่ทำให้เขามองเห็นได้มากขึ้น แต่ยังทำให้เขาได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของโลกอีกด้วย
เช่นเดียวกับที่ซูเค่อจี่เคยไม่สนใจแก่นวิญญาณไม้เขียว ตอนนี้ซูเฉินเองก็ไม่สนใจแก่นวิญญาณไม้เขียวนี้อีกต่อไปแล้ว
แต่การไม่สนใจไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมแพ้
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นซูเฉินหรือซูเค่อจี่ พวกเขาต่างก็กำลังต่อสู้เพื่อความภาคภูมิใจของตัวเอง
ที่เบื้องหน้าศิลากำเนิดดาราสูญ ลูกหลานตระกูลซูคนแรกได้เริ่มการทดสอบแล้ว
ดวงดาวที่ส่องประกายสว่างไสวเหล่านั้น บ่งบอกถึงความพยายามอย่างหนักของพวกเขาในปีที่ผ่านมา และยังส่งผลกระทบต่อหัวใจของผู้เฝ้าดูแลพวกเขา
ตามกฎแล้ว ผู้ที่มีผลการแข่งขันดีที่สุดจะอยู่ในอันดับสุดท้าย ในฐานะผู้ครองอันดับ 1 ในครั้งก่อนซูเฉินจึงได้นั่งสบาย ๆ อยู่ในที่ของเขา ฟังผู้อาวุโสขานตัวเลขระดับ
ในบางครั้งก็จะมีเสียงเชียร์ดังขึ้นจากฝูงชน นั่นเปรียบเป็นคำชมที่ดีที่สุดสำหรับนายน้อยที่ทำผลงานได้เหนือความคาดหมาย
“ดูเหมือนว่าการประเมินในปีนี้ จะดุเดือดยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ” เสียงใครบางคนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของซูเฉิน
ต่อให้ไปต้องหันไป ซูเฉินก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม “แน่นอน แม้แต่น้องหญิงสิบสองของเรายังพยายามจนมาถึงขั้นที่ 7 ของด่านหลอมกายาแล้ว แล้วผู้อื่นจะกล้าย่อนยานได้อย่างไรกัน”
เด็กสาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาข้าง ๆ ซูเฉิน “พี่ชายสี่ นี่ท่านกำลังดูถูกข้าอยู่หรือเปล่า? ขั้นที่ 7 ของด่านหลอมกายามันวิเศษมากขนาดนั้นเลย ? ข้ายังห่างไกลจากท่านกับพี่ชายสอง และคนอื่น ๆ อีกตั้งเยอะ”
เด็กสาวผู้งดงามและมีเสน่ห์ นางสวมชุดสีแดงสวยสดปักดอกลายโบตั๋น พร้อมรองเท้าปักขอบด้วยด้ายสีทอง ผมของนางมัดเป็นมวยทัดไว้ด้วยเครื่องประดับหยก ที่ดูจะไม่สั่นเลยยามที่นางเคลื่อนไหว
ชื่อของนางคือซูหลิงเอ่อร์ หากซูเฉินเป็นชายผู้ครองอันดับ 1 ของรุ่นที่ 3 เช่นนั้นซูหลิงเอ่อร์ก็เป็นสตรีผู้ครองอันดับ 1 ของรุ่นที่ 3 ของตระกูลซู
แม้ว่าใบหน้าของนางจะน่ารักมาก แต่บุคลิกของซูหลิงเอ่อร์นั้นค่อนข้างจะฉลาดกว่าผู้ที่อยู่ในวัยเดียวกัน
ตอนนั้นเองซูเฉินก็พูดขึ้น “เจ้ายังอายุเพียงแค่ 14 ปี เมื่อยามข้าอายุ 14 ข้าก็อยู่ในระดับเดียวกับเจ้า”
ซูหลิงเอ่อร์ตอบกลับว่า “พี่ชายสี่ อย่ามาหลอกข้าเลย นั่นก็เป็นเพียงเพราะท่านไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเท่านั้น นับตั้งแต่ที่ท่านสูญเสียการมองเห็น ท่านได้รับทรัพยากรอะไรบ้าง นอกเหนือจากที่ได้ไปจากการประเมิณสิ้นปี”
ซูเฉินยิ้ม “ไม่จำเป็นจะต้องไปจริงจังกับเรื่องบางเรื่องให้มากนักหรอก”
“ท่านช่างใจกว้างเสียจริง ๆ ”
“อย่างไรเสีย อันดับ 1 ของรุ่นที่ 3 ของตระกูล มันก็ยังคงเป็นข้าอยู่นี่”
ซูหลิงเอ่อร์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยักไหล่
“นั่นก็จริง ท่านยังไม่ได้อยู่ในจุดที่ข้าต้องเข้าไปปลอบใจหรือสู้เพื่อทวงความเป็นธรรมให้ บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ข้าไม่ชอบอยู่กับท่านเท่าไหร่ อยู่กับท่านแล้วข้ารู้สึกเครียดเกินไป ดูสิว่าพี่ซิ่งเก่งแค่ไหน แม้ว่าจะอายุมากกว่าข้า แต่พื้นฐานการฝึกฝนกลับไม่สูงเท่าข้า เมื่อข้าบอกว่าจะตีมันข้าก็จะตีมัน ตอนนี้หากข้าอยากให้ไปทางตะวันออกมันก็ไม่กล้าไปทางตะวันตกหรอก”
“ส่วนท่าน แม้ว่าท่านจะเป็นคนตาบอดและเราทุกคนควรเป็นฝ่ายคอยดูแลท่าน แต่นี้อะไร ? ความจริงคือท่านแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเราทุกคนเสียอีก มันหมายความว่าอะไร ? มันหมายความว่าท่านสามารถเอาชนะพวกเราทุกคนได้ แม้ว่าจะหลับตาอยู่ก็ตาม ความรู้สึกนี้ช่างน่ารำคาญจริง ๆ “
ซูหลิงเอ่อร์ได้กล่าวคำพูดแทนความในใจของผู้คนมากมายแล้ว
นี่คือเหตุผลที่หลายคนในตระกูลซูไม่ชอบซูเฉิน การดำรงอยู่ของเขามันแสดงให้เห็นถึงความไร้ความสามารถของผู้อื่น
ซูหลิงเอ่อร์เป็นเด็กดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะต้องมาคอยเห็นอกเห็นใจ ชื่นชอบและช่วยเหลือซูเฉิน … มันไม่มีอะไรที่นางจะช่วยเขาได้แล้ว
นางจึงทำได้เพียงแค่เฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ อย่างมากนางก็จะเข้ามาทักทายเขาเป็นครั้งคราว และจากไปหลังจากคุยกันเล็กน้อย
ไม่ใช่ศัตรู แต่ก็ไม่ใช่เพื่อน
พวกเขาทั้ง 2 ถูกกำหนดให้เดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างและไม่ได้พบปะกันมากนัก
หลังจากกล่าวจบซูหลิงเอ่อร์ก็หันกายเดินจากไป นางได้แวะมากล่าวคำทักทายเสร็จแล้ว และกำลังจะไปจัดการเรื่องต่าง ๆ บนเส้นทางของตัวเอง
ที่เบื้องหน้าของศิลากำเนิดดาราสูญ ลูกหลานตระกูลซูค่อย ๆ ถอยกลับไปทีละคน หลังจากที่แสดงรากฐานการบ่มเพาะของพวกเขาเสร็จ
จำนวนคนเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ แต่คนที่เหลือล้วนแข็งแกร่งยิ่งกว่า
ซูถงจากคน 3 สุดท้ายที่เหลืออยู่ก้าวขึ้นไปบนเวที
ในการประเมินสิ้นปีครั้งก่อนเขาได้อันดับที่ 3 เมื่อซูถงวางมือลงบนศิลากำเนิดดาราสูญ แสงดาวสีขาวพร่างพราวทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจ
“โอ้ว!” ฝูงชนทั้งหมดถูกทำให้อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
จุดสูงสุดของด่านหลอมกายา!
เมื่อเทียบกับการประเมินครั้งก่อนของซูถง นี่ถือเป็นผลลัพธ์ที่น่าทึ่งจริง ๆ
ทุกคนต่างก็พยายามอย่างหนัก และในท้ายที่สุดทุกคนต่างก็ก้าวหน้าขึ้น
ซูถงชูมือขึ้นฟ้าอย่างตื่นเต้นและก้าวลงจากเวที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
อย่างไรก็ตามเมื่อซูชิงขึ้นสู่เวที แสงสีเหลืองเปล่งประกายก็ทำให้ทุกคนพูดไม่ออก
“หลานสอง เจ้ามีลูกชายที่ดีจริง ๆ” ผู้อาวุโสคนที่สองซูฉางชิงกล่าวชื่นชม
ซูเค่อจี่หัวเราะพลางตอบว่า “ช่างน่าเสียดายที่พรสวรรค์อันยิ่งใหญ่นี้ปรากฏขึ้นมาช้าเกินไป หากมันตื่นขึ้นมาเร็วกว่านี้ เราก็คงไม่จำเป็นต้องเสียทรัพยากรมากมายเหล่านั้นไปโดยเปล่าประโยชน์”
ซูเค่อจี่แฝงความหมายบางอย่างเอาไว้ในคำพูดของเขา
สีหน้าของซูเฉิงอันแข็งค้าง ส่วนซูเฟยหูก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “ช่างกล้าพูด ‘พรสวรรค์อันยิ่งใหญ่นี้ปรากฏขึ้นมาช้าเกินไป’ เช่นนั้นแล้วทรัพยากรของแดนลวงตาประกายทรัพย์ไม่นับเป็นทรัพยากร? อย่าคิดว่าเราไม่รู้ว่าเจ้าทำอะไรให้ซูชิง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ยังมีเด็กคนไหนได้รับทรัพยากรน้อยกว่าซูเฉินอยู่อีกรึ? ทั้งหมดที่เจ้าทำทั้งวันคือวางแผนเพื่อแก่นวิญญาณไม้เขียวจำนวนน้อยนิด หน้าไม่อาย!”
ใบหน้าของซูเค่อจี่เปลี่ยนสี “น้องสาม เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
ซูเฟยหูกำลังจะตอบโต้กลับ การแสดงออกของซูฉางเช่อกลายเป็นแข็งกร้าว “พอ”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ
ซูฉางเช่อกล่าวว่า “ซูเฉินเป็นเด็กดี แต่ไม่ว่ามันจะโดดเด่นแค่ไหน มันก็ยังคงตาบอดและไม่ที่จะฝึกฝน ข้าเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เฟยหูพูดก็ถูกต้องเช่นกัน ในเมื่อมันไม่มีความสามารถที่จะชนะ เช่นนั้นก็อย่าไปกังวลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นเลย เพียงแค่แก่นวิญญาณไม้เขียวไม่กี่ขวด มันคุ้มค่าแล้วรึ?”
ขณะที่พูดน้ำเสียงของซูฉางเช่อฟังดูโกรธเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ว่าแสดงออกมาทางสีหน้าเลยก็ตาม
ทุกคนหน้าแดงด้วยความอับอายและหยุดการโต้เถียงลง
ตอนนั้นเองแสงสีเหลืองเปล่งประกายก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
และเป็นอีกครั้งที่เสียงสูดหายใจด้วยความประหลาดใจดังขึ้น ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องประหลาดใจอีกครั้ง
คราวนี้ที่วางทาบอยู่บนศิลากำเนิดดาราสูญเป็นมือของซูเฉิน
“ตามที่คาดไว้ เฉินเอ่อร์เองก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดไปแล้วสินะ” ซูฉางเช่อไม่ได้แปลกใจเลย
ไม่เพียงแค่ซูฉางเช่อเท่านั้น แม้แต่ซูจางเฉิง ซูฉางชิง ซูหม่าตง ซูเม่ยฉีและผู้อาวุโสทั้งสี่ของตระกูลซูต่างก็แสดงออกอย่างสงบและไม่สนใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่ซูเค่อจี่เท่านั้นที่เดาว่าความแข็งแกร่งของซูเฉินเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ซูเฉิงอันผู้เป็นพ่อกลับตกตะลึงไปทันทีเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าของเขา
ซูเฉิงอันไม่เคยคาดคิดว่าลูกชายของเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอย่างเป็นทางการไปแล้ว
นอกจากการประเมินสิ้นปีแล้ว ซูเฉินไม่มีทรัพยากรใด ๆ มาช่วยเขาเลย หากแต่เด็กหนุ่มก็ยังมาได้จนถึงขั้นนี้ !
“อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดการต่อสู้ยังคงเป็นตัวกำหนดชัยชนะ” ซูฉางชิงกล่าวอย่างเย็นชา ขณะที่เขาจ้องมองไปที่ซูเฉินด้วยความเกลียดชัง
“มันจะไม่แพ้ในการต่อสู้” ซูเฟยหูตอบโต้อย่างเย็นชา คำพูดเหล่านี้เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทำให้คนกลุ่มหนึ่งหันกลับมาจ้องมองที่เขา
ซูฉางชิงกัดฟันและพูดว่า “ครั้งนี้ซูเฉินจะต้องแพ้”
“หืม?” ซูเฟยหูยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “ในเมื่อท่านอาสองมั่นใจขนาดนี้ งั้นเรามาเดิมพันกันดีหรือไม่?”
“จะเดิมพันอย่างไร?” ซูเค่อจี่ถาม
ซูเฟยหูหัวเราะ “หุ้นของพี่สองทั้งหมดอยู่กับท่านพ่อไปแล้ว เจ้าคงจะไม่มีอะไรให้มาลงเดิมพันมากนัก หากซูเฉินแพ้ ข้าจะจ่ายหินต้นกำเนิดให้ 5,000 ก้อน แต่หากซูเฉินชนะ ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าจ่ายเงินให้ข้า ตราบใดที่เจ้ายอมคลานเป็นวงกลมรอบ ๆ เวทีนี้ เช่นนี้เป็นอย่างไร?”
ใบหน้าของซูเค่อจี่กลายเป็นมืดมน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะค่อนข้างมั่นใจในตัวมันเสียจริงนะ”
“ข้าเพียงแค่ไม่มั่นใจในตัวซูชิงเลยแม้แต่น้อย” ซูเฟยหูยกยิ้มมุมปาก “ขยะก็ยังคงเป็นขยะ มันจะมาชนะมังกรที่ท่ามกลางมนุษย์ได้อย่างไร?”