ตอนที่ 1633 ต้นกำเนิดของกิเลนเที่ยงแท้

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“เจ้าเป็นใครกันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะควบคุมรังวิญญาณที่สิงร่างได้” เสียงสตรีดังออกมาจากปากของกิเลนสีเขียว แม้ว่าคำพูดจะเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง แต่ฟังดูแล้วก็ยังคงไพเราะนัก

 

 

นั่นก็คือหญิงสาวนามว่าเซียนเซียน

 

 

หลังจากที่หญิงสาวผู้นี้เข้าไปในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ไม่ทันได้หาสิ่งที่ต้องการพบ บุรุษแซ่กุยก็ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นรังวิญญาณที่แต่เดิมควรจะหลับใหลอยู่ก็กลายร่าง คาดไม่ถึงว่าจะกลืนนางเข้าไปภายในคำเดียว

 

 

หากไม่ใช่เพราะนางเตรียมตัวมาอย่างพรั่งพร้อม กลืนยาลูกกลอนลับที่หลอมมาโดยเฉพาะลงไปทันที จากนั้นก็ให้กิเลนเที่ยงแท้สำแดงอิทธิฤทธิ์สิงร่าง กลายเป็นเงาลวงตากิเลนตรงหน้า เกรงว่าก็คงถูกรังวิญญาณกลืนลงไปจริงๆ

 

 

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมีความเป็นมาอย่างไร ข้าแค่อยากถามว่าเจ้ามีต้นกำเนิดของกิเลนเที่ยงแท้มาจากรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้หรือ?” บุรุษแซ่กุยกลับเอ่ยถามอย่างน่าสะพรึงกลัว

 

 

“หึๆ ข้ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร! รังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้นี้พวกเจ้าคิดว่ายังมีผู้ใดรู้อีกหรือ?” เสียงหัวเราะอย่างเย็นชาดังออกมาจากปากของใบหน้าประหลาดยักษ์ ฟังดูแล้วดูคลุมเครือ แต่ก็เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ทำให้คนฟังขนลุกซู่

 

 

ส่วนร่างกายครึ่งหนึ่งที่ระเบิดออกของมัน ก็เปล่งแสงสีดำสว่างวาบแล้วฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพเดิมในพริบตา ราวกับว่าอาการบาดเจ็บเมื่อครู่ไม่เป็นปัญหาเลยสักนิด

 

 

บุรุษแซ่กุยได้ยินคำนี้กลับหน้าเปลี่ยนสี

 

 

ส่วนกิเลนสีเขียวกลับเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

 

 

“อะไรนะ เจ้าก็เป็น….ไม่ผิด! นอกจากพวกเราแล้ว ไม่อาจมีคนอื่นที่รู้รังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้แน่” เงาลวงตากิเลนกวาดสายตาไปทางบุรุษแซ่กุยแวบหนึ่ง หลังจากสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้น

 

 

“หึ ข้าและเจ้าสิ่งไร้ค่าครึ่งหนึ่งของเจ้านั้นไม่เหมือนกัน สิงร่างเผ่าผลึกที่อ่อนแอคนหนึ่ง แล้วยังล้มเหลว ข้าสิงร่างมังกรวารีสีเงินตัวหนึ่งอย่างสมบูรณ์” บุรุษแซ่กุยตวัดตามองค้อน แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ

 

 

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ของบุรุษแซ่กุย แววตาของเงาลวงตากินเลนก็ฉายแววโกรธเกรี้ยว แต่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ : “สิงร่างสำเร็จ ก็แค่โชคดีเท่านั้น ตอนนั้นพวกเราล้วนเป็นหนึ่งในแสนของเศษเสี้ยวจิตวิญญาณ จะแตกต่างอะไรกัน ข้ากลับรู้สึกว่าการดำรงอยู่คู่กันก็ไม่ได้แย่ไปกว่าการสิงร่างเท่าใดนัก ขอแค่หญิงสาวเผ่าผลึกผู้นี้ฝึกฝนผ่านเคราะห์สวรรค์จนบรรลุได้ ข้าก็สามารถฟื้นฟูร่างของกิเลนเที่ยงแท้และพลังปราณได้เช่นกัน”

 

 

“บรรลุ! ฝันกลางวันน่ะสิ แค่เผ่าผลึกจิ๊บจ๊อยคนหนึ่ง ยังกล้าคิดเรื่องนี้!” บุรุษแซ่กุยมุมปากกระตุก แล้วเอ่ยอย่างเยาะเย้ยออกมา

 

 

“จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร หากได้ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ต่อให้ได้ก้อนเดียว ก็มีหวังจะบรรลุขึ้นไปแดนเทพเซียนแล้ว” กิเลนสีเขียวกลับเผยความเคร่งขรึมเป็นอย่างมากออกมา

 

 

“พลังต้นกำเนิดของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ระดับนี้ ให้เผ่าผลึกคนหนึ่งกินเข้าไป มันช่างสิ้นเปลืองนัก หากให้ข้าที่มีร่างของมังกรวารีสีเงินกินเข้าไป ขอแค่มีสภาพการณ์แค่หมื่นกว่า ข้าก็สามารถหลุดจากร่างมังกรวารี กลายเป็นร่างของมังกรเที่ยงแท้ได้แล้ว” บุรุษแซ่กุยไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเงาลวงตากิเลน แต่ยังคงเอ่ยอย่างดูแคลน

 

 

“ที่เจ้าพูด หรือว่าอยากให้ข้ามอบต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ให้กับเจ้า แม้ว่าเดิมทีเจ้ากับข้าจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ตอนนี้มันผ่านมาหลายปี มันกลายเป็นตามลำพังตั้งนานแล้ว ราวกับเดินคนละเส้น และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขายอมถอยให้ จากนี้ผู้นี้ก็คงไม่มีทางเจียมเนื้อเจียมตัวแน่ ในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้เมื่อครู่ มันอยากกลืนเจ้าและข้าลงไป” แววตาของกิเลนสีเขียวพลันมัวหม่น หลังจากมองไปทางสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์แวบหนึ่งแล้ว ก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา

 

 

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะสิงร่างรังวิญญาณอย่างไร และมีแผนการใด ตอนนี้ส่งไอของจิตวิญญาณเที่ยงแท้มาให้ข้า ข้าจะไปทันที มิเช่นนั้นอย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจ” แม้ว่าบุรุษแซ่กุยจะฟังเจตนาท้าประลองของอีกฝ่ายออก แต่หางตาก็กระตุกเล็กน้อย ยังคงเอ่ยลงมาด้านล่างอย่างเย็นชา

 

 

“อยากได้ต้นกำเนิดของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แน่นอนว่าได้ ขอแค่พวกเจ้าสองคนเข้าไปในท้องข้าและรวมร่างกับข้า ก็ได้มันแล้ว” ใบหน้ายักษ์กลับเปล่งเสียงหัวเราะคิกคิกออกมา

 

 

“อะไรนะ กลืนลงไปแล้ว! ไม่สิดูดซับต้นกำเนิดของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ได้ มีเพียงร่างจริงเท่านั้น ร่างของรังวิญญาณจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!” บุรุษแซ่กุยมีท่าทีไม่เชื่อถือ

 

 

“ใครบอกพวกเจ้า ข้าคือร่างของรังวิญญาณ พวกเจ้าสองคนคิดว่าตนเป็นผู้ที่มาที่นี่คนแรกหรือ?” ครั้งนี้ใบหน้ายักษ์พลันเงียบขรึม แล้วถึงได้ตอบกลับอย่างโหดเ**้ยม

 

 

“หมายความว่าอย่างไร?” ผิวของกิเลนสีเขียวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วตกตะลึงระคนลังเล

 

 

“ก็เหมือนกับพวกเจ้า ข้ากลืนมันลงไปสามสี่อันแล้ว ตอนนี้ขอแค่กลืนพวกเจ้าสองคนลงไป ประกอบกับที่มีโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้จำนวนมาก อีกไม่นานข้าก็จะสามารถมีร่างของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ พวกเจ้าให้ข้ากิน กลายเป็นส่วนหนึ่งของข้า แน่นอนว่าก็รู้ทุกเรื่องแล้ว” สัตว์ประหลาดยักษ์ดูเหมือนว่าจะไม่อยากพูดมาก ผิวของมันเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง ประจุไฟฟ้าสีดำสองสามเปล่งแสงสว่างวาบพลางพุ่งออกมา

 

 

มองไกลๆ ดูเหมือนทวนยักษ์สีดำสองด้าม หมายจะทะลวงผ่านเงาลวงตากิเลนและบุรุษแซ่กุย

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของใบหน้าประหลาด บุรุษแซ่กุยก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้ เมื่อเห็นสัตว์ประหลาดจะโจมตีเข้าจริงๆ ความโกรธแค้นในใจมีเท่าไหร่แค่คิดก็รู้แล้ว และไม่เห็นว่าเขาพูดอะไร ร่างกายพลันพลิ้วไหว กลายเป็นสามร่างที่เหมือนกันอย่างไรอย่างนั้น

 

 

หนึ่งในนั้นชูมือข้างหนึ่งขึ้น กระบี่บินสีเงินเล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมา กลายเป็นกระบี่ลำแสงสีเงินความยาวสิบจั้งเศษ แค่กะพริบวาบก็สับลงมาทำลายอัสนีดำที่พุ่งเข้ามา

 

 

เงาลวงตากิเลนสีเขียวอีกด้านกลับอ้าปากกว้าง ฉับพลันนั้นหัวก็ขยายขนาดขึ้นสองสามเท่า จากนั้นก็กลืนลงไป คาดไม่ถึงว่าโจมตีไปหาประจุไฟฟ้าสีดำด้วยการสูบเข้ามา

 

 

เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ แววตาของร่างแยกร่างหนึ่งของบุรุษแซ่กุยก็วาวโรจน์ ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยว่า : “เคล็ดวิชากลืนกิน! ดูแล้วอิทธิฤทธิ์ของเจ้าคงไม่อ่อนแอ มีคุณสมบัติพอที่จะร่วมมือกับข้า พวกเรามาร่วมมือกันทำลายเจ้าสิ่งนี้เถิด แล้วค่อยนำต้นกำเนิดของกิเลนเที่ยงแท้มาแบ่งปัน ต้นกำเนิดของจิตวิญญาณเที่ยงแท้นั้นเป็นของระดับไหน ต่อให้ถูกเขากลืนกินไปก็ไม่อาจหลอมได้อย่างหมดจด”

 

 

“ตกลง ว่ากันตามนี้” กิเลนสีเขียวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตัดสินใจรับคำ

 

 

เขาในยามนี้แม้ว่าจะเป็นร่างของเซียนเซียน และพลังจิตสัมผัสกิเลนเที่ยงแท้รวมร่างกัน แต่ความกระหายในต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้นั้นกลับมีเหมือนกัน แม้ว่าจะรู้สึกหวาดกลัวบุรุษแซ่กุยเป็นอย่างมาก แต่เจ้าตัวที่สิงรังวิญญาณด้านล่างก็เป็นศัตรูที่จำต้องกำจัดทิ้ง

 

 

จากนั้นผิวของกิเลนสีเขียวก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างกายเปล่งแสงเจิดจ้าจนมีขนาดร้อยจั้งเศษอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันพลังที่น่าตกตะลึงก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

 

บุรุษแซ่กุยเห็นเช่นนั้น ร่างทั้งสามก็พลิ้วไหว ตนหนึ่งมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นเหนือศีรษะ ไอกระบี่ยักษ์สิบจั้งเศษปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตนหนึ่งสองมือถูกันไปมา ลูกไฟสีแดงสดปรากฏขึ้นรอบๆ กายหลายดวง

 

 

ตนสุดท้ายหมุนวนไปบนพื้น ชั่วขณะนั้นพลันสะบัดหัวสะบัดหาง เผยร่างเดิมของมังกรวารีสีเงินออกมา

 

 

เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดด้านล่าง ทั้งสองต่างตั้งมั่นพร้อมรับกับศัตรู ไม่กล้าดูแคลนเลยสักกระผีก

 

 

ครั้งนี้ใบหน้าประหลาดด้านล่างกลับหัวเราะประหลาดๆ ออกมา :

 

 

“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าต่อต้าน เยี่ยมมาก หากไม่หนี ข้าก็จะได้ประหยัดแรง ทว่าก่อนที่จะจัดการพวกเจ้า ข้าก็ต้องเรียกแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกสองคนมาก่อน“

 

 

สิ้นเสียงประจุไฟฟ้าสีดำสิบกว่าสายที่หนาที่สุดก็เปล่งเสียงฟ้าร้องคำรามออกมา สับลงมากลางอากาศอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อนเลยสักนิด

 

 

ประจุไฟฟ้าสีดำยังไม่ทันร่อนลงมา พลังแรงกดมหาศาลก็กดลงมาราวพายุหมุน

 

 

ส่วนทางด้านเงาสีเงินที่อยู่กลางอากาศพลางเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนร่างกายอรชรอ้อนแอ้นปรากฏขึ้น จากนั้นพลันพลิ้วกาย กลายเป็นสายรุ้งสีเงินสายหนึ่งพุ่งออกไป

 

 

แต่ในยามนั้นเองเสียงฟ้าผ่าพลันดังสนั่นขึ้น สั่นสะเทือนบรรยากาศโดยรอบ ประจุไฟฟ้าหนาๆ สิบกว่าสายผนึกรวมตัวกัน กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีดำความยาวร้อยจั้งเศษ แค่กะพริบวาบ ก็ทำให้สายรุ้งสีเงินที่สั่นสะเทือนเพราะเสียงฟ้าร้องลดระดับความเร็วแล้วถูกโจมตีจนสลายหายไป

 

 

แม้กระทั่งเงาร่างคนอรชรอ้อนแอ้นในสายรุ้งสีเงิน ก็ยังไม่ทันได้เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา

 

 

แน่นอนว่าเงาร่างคนผู้นี้ย่อมเป็นผู้ที่อาศัยเคล็ดวิชาอำพรางกาย อสูรมารแปลงกายระดับสูงที่ไล่ตามหานลี่มาโดยตลอดอย่าง ‘จิ่วเยี่ย’

 

 

สตรีผู้นี้มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง แต่ภายใต้การโจมตีด้วยกระบี่ยักษ์สีดำ กลับไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

 

 

เมื่อเห็นความน่ากลัวของกระบี่ยักษ์ค้ำฟ้า ร่างแยกของบุรุษแซ่กุยและกิเลนยักษ์ก็ตกตะลึงไปพร้อมกัน เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา

 

 

และหลังจากที่ได้กระบี่มาอยู่ในมือ ไม่ทันได้เก็บกลับหรือโจมตีคู่ต่อสู้ก็พลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีดำยักษ์สับลงมายังพื้นใกล้ๆ กัน

 

 

นี่จึงทำให้บุรุษแซ่กุยและกิเลนสีเขียวพลันตกตะลึง

 

 

มองเห็นสายรุ้งสีดำร่อนลงไปอย่างรุนแรง พอที่จะทำให้พื้นดินแยกออกเป็นสองส่วน บนพื้นดินกลับมีเสียงไพเราะดังขึ้น ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันมีกระบี่สีเขียวเจ็ดสิบสองเล่มพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน

 

 

กระบี่บินเหล่านี้มีขนาดสองสามชุ่น แต่เมื่อรวมตัวกันกลางอากาศ ก็กลายเป็นกระบี่ยักษ์ยักษ์สีเขียวขนาดสองสามจั้ง หลังจากเปล่งเสียงฟ้าร้องออกมาพร้อมๆ กัน ก็มีประจุไฟฟ้าสีทองเจิดจ้าดีดออกมา จากนั้นก็โจมตีไปยังกระบี่ยักษ์สีดำอย่างไม่ยอมเผยความอ่อนแอออกมา

 

 

หลังจากเสียง “ตูมๆ” ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น ประจุสายฟ้าสีทองและดำสองสีก็ตัดสลับกันไปมา ทั้งสองต่างมีท่าทีไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน

 

 

แม้ว่ากระบี่ยักษ์สีดำจะมีขนาดที่น่าตกตะลึง แต่กระบี่ยักษ์สีเขียวที่อยู่ด้านล่างก็ดูเหมือนจะแหลมคมเป็นอย่างมาก ประจุไฟฟ้าสีทองที่พ่นออกมาก็มีอานุภาพที่น่าตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีท่าทีตกเป็นรองเลยสักนิด

 

 

ใบหน้ายักษ์สีขาวเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา แต่ทันใดนั้นก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา ผิวมีลำแสงสีดำสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าสีดำยี่สิบสามสิบสายขยายใหญ่ขึ้น และดูเหมือนจะดีดตัวพุ่งเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

แต่ในยามนั้นเอง เสียง ‘สวบ’ พลันดังขึ้น กระบี่บินสีเขียวพุ่งออกมาจากใต้ดิน ฉับพลันนั้นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งออกมา

 

 

และแทบจะในเวลาเดียวกันกระบี่ยักษ์สีดำก็เปล่งแสงเจิดจ้า กระบี่ลำแสงสีดำอีกสายหนึ่งปรากฏขึ้นราวกับเงา จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่เหนือสายรุ้งสีเขียว และสับลงมาอย่างรุนแรง

 

 

เสียง “เกร๊ง” ดังสนั่นขึ้น

 

 

สายรุ้งสีเขียวหม่นแสง ที่เดิมมีม่านลำแสงประหลาดราวกับผลึกวารีปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง กระบี่ลำแสงสับลงมากลับแฉลบผ่านด้านข้างไป

 

 

ในม่านลำแสงผลึกวานร เงาร่างคนสายหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น สองมือไพล่หลังกัน

 

 

นั่นก็คือผู้ที่ก่อนหน้าถูกศิลาภูเขาทับเอาไว้ หานลี่

 

 

แต่หลังจากที่กวาดสายตาไปยังใบหน้าประหลาดยักษ์ บุรุษแซ่กุยรวมทั้งเงาลวงตากิเลนแล้ว ก็กวักมือข้างหนึ่งโดยไม่ปริปาก

 

 

ชั่วขณะนั้นดอกบัวสีทองขนาดเท่ากำปั้นดอกหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากใต้ดิน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งมาหาเขา