ตอนที่ 263 นกพิราบส่งสารของจวนซู่อ๋อง
เฉินยางไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้คนในจวนรู้ เฝิงเยี่ยไป๋บอกนางแล้ว เวลานี้ในจวนเต็มไปด้วยสายตาของฮ่องเต้ ไม่แน่คนใดก็เป็นหูเป็นตาของพระองค์ ตอนที่นางเดินไปก็มองซ้ายมองขวา เห็นรอบๆ ไม่มีใคร ตอนเดินกลับไปก็กระวนกระวาย สาวใช้สองคนเห็นนางกลับมา ก็บ่นว่าวันนี้อากาศร้อน จะเปลี่ยนชุดให้นาง
เปลี่ยนก็เปลี่ยนเถอะ ชุดของนางถอดไปได้ครึ่งหนึ่ง นางก็พัดมือบอกว่าร้อน แล้วสั่งให้สาวใช้สองคนนั้นไปเตรียมน้ำอาบให้นาง จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครสังเกต เอาม้วนกระดาษที่ซ่อนไว้อยู่ในแขนเสื้อออกมายัดไว้อยู่ใต้หมอน
ที่ใดก็ไม่ปลอดภัยสู้ห้องตัวเอง นางนอนอยู่ที่นี่ทั้งบ่าย ไม่ออกไปแม้เพียงก้าวเดียว คิดว่าก็คงไม่มีใครรู้
นางเพิ่งซ่อนกระดาษเสร็จ สาวใช้คนหนึ่งไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีก ถามนางว่าจะแช่อยู่ในห้องหรือไปแช่ที่บ่อ นางซ่อนของไว้เรียบร้อยแล้ว ย่อมแช่อยู่ในห้องอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นหากระหว่างนี้มีคนเข้ามาหยิบไปแล้วจะทำอย่างไรดี
“เช่นนั้นแล้วก็แช่อยู่ในห้องเถิด ข้างนอกร้อน ข้าไม่อยากออกไปแล้ว” นางไล่สาวใช้นั้นไปอีกครั้ง แล้วนอนลงบนเตียง อดคิดไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าส่งมาถึงจวนท่านอ๋อง นกพิราบส่งสารจำเพียงบ้าน เจ้าของบ้านเปลี่ยนคนไปแล้ว แต่สถานที่ยังไม่เปลี่ยน หรือว่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของซู่อ๋อง ก็ไม่น่าจะใช่ หากเป็นผู้ใต้บังคับของซู่อ๋อง จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจวนนี้ได้เปลี่ยนเจ้าบ้านแล้ว จะส่งนกผิดมาก็คงไม่ใช่กระมัง
อย่างไรเสียนางก็คิดอะไรไม่ออก จึงไม่คิดเสียเลย เรื่องที่เปลืองสมองเช่นนี้นางทำไม่ไหว อย่างไรก็รอให้เฝิงเยี่ยไป๋กลับมาค่อยถามเขาเถอะ!
กลับมาพูดถึงเว่ยหมิ่น เรื่องที่เฝิงเยี่ยไป๋เริ่มเข้าฟังราชกิจนั้นนางมองแล้วก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก ราชโองการนางเคยดู เพียงแต่นางก็ไม่รู้ฮ่องเต้คิดอะไรอยู่ วันนี้ตอนเช้าเพิ่งจะประหารขุนนางใหญ่คนหนึ่ง ได้ยินว่าเป็นเพราะก่อกวนเฝิงเยี่ยไป๋ต่อเบื้องพระพักตร์ถึงได้ถูกประหาร หากแต่เหลียงอู๋เย่ว์กลับไม่เข้าใจ “ฮ่องเต้ไม่ใช่ว่าอยากจะฆ่าเฝิงเยี่ยไป๋หรือ ไฉนตอนนี้ดูเหมือนว่ากลับเข้าข้างเขาเสียเล่า”
เว่ยหมิ่นมองตาขวางใส่เขา “หากความคิดของฮ่องเต้ใครคิดจะเดาก็เดาออกได้ เช่นนั้นแล้วฮ่องเต้ก็คงใกล้จบสิ้นแล้ว ใครจะรู้ว่าที่พระองค์ทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด”
“พระองค์ไม่กลัวว่าจะเลี้ยงเสือเป็นภัยหรือ” ที่เหลียงอู๋เย่ว์เป็นห่วงคือเฝิงเยี่ยไป๋ พวกเขามีความผูกพันมาหลายปีเช่นนี้ เขาเป็นคนที่รู้นิสัยของเฝิงเยี่ยไป๋ที่สุด หากเจอกับเรื่องที่แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกว่าลำบากก็จะไม่บอกเขาอย่างแน่นอน แม้ปกติเขาจะพูดจาดูถูกตนอย่างหนัก แต่ในใจกลับเป็นห่วงอยู่ เรื่องที่จะทำให้คนอื่นลำบากเขาไม่ทำแน่ๆ
เว่ยหมิ่นถอนหายใจช้าๆ “พูดอะไรอยู่นั่น ก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้คิดแผนชั่วอะไรอยู่ ตอนนี้เฝิงเยี่ยไป๋ก็อยู่ในฐานะถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว คาดว่าเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าในราชโองการเขียนอะไรไว้อยู่ รอให้เขากลับจากวังแล้ว ข้าต้องหลบคนไปหาเขาแล้วพูดเรื่องนี้ให้ได้”
เหลียงอู๋เย่ว์ก็ไม่อยากปัดเรื่องไม่สนใจ เมืองหลวงนี้เขามาก็มาแล้ว จะไม่ยุ่งเลยก็ไม่ได้ ถ้าให้เว่ยหมิ่นไปเขาไม่วางใจ จึงเสนอตัวขึ้นมา “ให้ข้าไปเถอะ ในเมื่อต้องแอบ ผู้ชายอย่างพวกเรามือเท้าว่องไว เจ้าฝากเรื่องที่จะบอกไว้กับข้า ข้าจะไปบอกเขาให้”
“เวลาสั้นๆ แค่นี้จะให้ข้าพูดข้าก็พูดไม่จบหรอก เรื่องเช่นนี้ ต้องพูดต่อหน้าถึงจะได้ ข้าคิดว่าที่จวนพวกข้านี้ไม่น่าจะมีสายตามากมายนัก มีคนหนึ่งไว้ยังสามารถรับมือได้ หากไปทั้งสองคนแล้ว เกิดในจวนมีเรื่องจะลำบาก”
เหลียงอู๋เย่ว์บ่นเล็กน้อย “จะให้ข้าไปไม่ได้หรือ เจ้าไม่เป็นวิชาเสียหน่อย ระหว่างทางก็ยังมีระยะอยู่พอสมควร หากเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร”
——
ตอนที่ 264 อำนาจฮ่องเต้ไม่อาจพ่าย
เว่ยหมิ่นทำหน้าบึ้งสั่งสอนเขาขึ้นมา “เจ้าโตขนาดนี้แล้วยังทำตัวนิสัยเป็นเด็กอีกหรือ ตอนเด็กๆ อยู่กับพวกเจ้าเรื่องแย่ๆ อะไรไม่เคยทำบ้าง เพียงแค่แอบย่องจากจวนท่านหญิงไปจวนอ๋อง เจ้าวางใจเถอะ ข้าไปกลับไม่มีใครรู้แน่ๆ”
เหลียงอู๋เย่ว์ถูกคำพูดของนางที่ว่า ‘นิสัยเป็นเด็ก’ ทำเอาโกรธ เขาเคาะโต๊ะเตือนนางว่า “อะไรนิสัยเป็นเด็ก ข้านี่ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงเจ้าหรือ” คราวนี้ก็ทำท่ากระฟัดกระเฟียดกับนางว่า “ในเมื่อเจ้ายืนกรานจะไป ข้าก็ไม่ห้ามเจ้าไว้ เจ้าไปเสียเถอะ ที่จวนข้าจะดูแลให้เจ้าเอง”
ตอนนี้ยังไม่ถึงเพลาตะวันตกดิน แต่ในวังนอกวังกลับเงียบผิดปกติ ไม่ใช่เงียบกริบไร้สุ้มเสียง แต่หมายถึงเรื่องการหารือที่ตำหนักไท่เหอ ตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่าฮ่องเต้จะสู้รบกับซู่อ๋องแล้ว ในหมู่ประชาชนต่างมีข่าวลือ ฮ่องเต้ไม่ยอมลงมือกับพี่น้องแท้ๆ ใจอ่อนอยู่หลายครั้ง นี่ก็สู้รบกันมาอยู่หลายครั้ง ถึงกับแพ้ไปทุกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้จะเป็นอย่างไร จะชนะได้หรือไม่
เฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่พูดแทรกอะไรเลย เขาได้ยินความคิดเห็นของเหล่าขุนนางนั้น หากไม่ใช่เผยอปากโดยไม่แสดงออกมา ก็พยักหน้าเบาๆ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรสีหน้าของเขา แม้แต่ความเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่มือล้วนแต่อยู่ในสายพระเนตร เหล่าขุนนางที่อยู่ข้างล่างพูดไปมากมายจนจบแล้วโค้งตัวประสานมือทูลว่า “ขอฝ่าบาททรงมีพระราชโองการด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถึงได้ตั้งสติกลับมา ตั้งแต่ยามห้าจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสามสี่ชั่วยามแล้ว พูดไปพูดมาก็ไม่มีวิธีที่ใช้ได้เลยแม้เพียงวิธีเดียว ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ด้วยความหงุดหงิด แล้วทรงเรียกขันทีมา ขันทีจึงตะโกนว่า “เลิกประชุมราชกิจ”
เหล่าขุนนางต่างโล่งใจแล้วถอยออกจากตำหนักไท่เหอ ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ชี้ไปที่เฝิงเยี่ยไป๋ “ท่านอ๋องอยู่ก่อน เรามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
เฝิงเยี่ยไป๋ตอบรับ รอให้เหล่าขุนนางไปจนหมดแล้ว ถึงได้ทูลว่า “ฝ่าบาทให้กระหม่อมอยู่ต่อเพียงคนเดียว ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ที่ผ่านมาสามสี่ชั่วยามนี้ พระองค์ทรงประทับอยู่ก็ยังรู้สึกเหนื่อย แต่พอทอดพระเนตรไปที่เฝิงเยี่ยไป๋ สีหน้าเป็นปกติ มองไม่เห็นความเหนื่อยล้าใดๆ เลย พระองค์ที่เป็นถึงฮ่องเต้นั้น จะแพ้อำนาจของบรรยากาศไม่ได้ จึงตั้งสติใหม่ขึ้นมา แล้วพูดกับเขาว่า “เรื่องของวันนี้เจ้ามองว่าอย่างไรบ้าง ที่ยากไม่ใช่บุกตีเมือง แต่เป็นเหล่าประชาชนที่อยู่ในเมือง ล้วนเป็นประชาชนของเรา ให้เราไปทำลายชีวิตของพวกเขา เราทำไม่ลงจริงๆ ”
ทำไม่ลงหรือ เป็นถึงฮ่องเต้มีอะไรที่ทำไม่ลงบ้าง เพื่อตำแหน่งฮ่องเต้แล้วพี่น้องแท้ๆ ของตนเองก็ยังลงมือได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าประชาชนเลย พระองค์เพียงกลัวว่าจะถูกประชาชนใต้ฟ้าแอบนินทา น้ำสามารถใช้ล่องเรือได้ย่อมสามารถทำให้เรือจมได้ หากเสียความนับถือจากประชาชนไป ต่อให้ชนะแล้วจะเป็นอย่างไรอีก ไม่ช้าก็จะถูกล้มล้างอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้กับซู่อ๋องใครจะชนะใครจะแพ้เขาไม่สนใจ และก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขามากนัก เพียงแต่ในเมื่อพระองค์คิดจะทำร้ายเขา เขาก็จะไม่ยอมถูกกระทำได้ง่ายๆ ตอนนี้ฮ่องเต้มาขอความคิดจากเขา วิธีใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่อาศัยอะไรจะต้องช่วยพระองค์ด้วย
เขาดึงสติแล้วรีบทูลว่า “กระหม่อมโง่เขลานัก คิดวิธีดีๆ ไม่ออกจริงๆ เรื่องการทหาร ฝ่าบาทหารือกับเหล่าแม่ทัพเสียจะดีกว่า เหล่าแม่ทัพผ่านศึกมานาน ฮ่องเต้ทรงพระปรีชาสามารถ จะจัดการกับซู่อ๋องไม่ใช่ว่าง่ายดายนักหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฟังออกว่า เฝิงเยี่ยไป๋กำลังด่าพระองค์อ้อมๆ อยู่ หากง่ายดายเช่นนั้นนัก ตอนนี้จะยังหารือไม่ได้ผลอีกหรือ เขาช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก จะยังขาดวิธีไปได้หรือ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตน เมื่อครู่ที่เหล่าขุนนางทูลอยู่นั้น เราเห็นเจ้าทั้งยิ้มทั้งส่ายหน้า หากมิใช่เพราะรู้สึกว่าวิธีของพวกเขานั้นไม่เหมาะ ไฉนถึงได้ทำสีหน้าเช่นนั้น”