“ใช่! ผมต้องการยาชีวเภสัชภัณฑ์!”
“พ่อหนุ่ม ผมชื่นชมคุณมาก หากคุณยอมจำนนต่อพรรคชิงเฉิงของเรา และต่อจากนี้ไปเคารพฝ่ายพรรคชิงเฉิง ผมจะพิจารณาไว้ชีวิตคุณ!”
แตกต่างจากเจิ้นเซ่าเฉิน การพิจารณาของเสิ่นหัวนั้นมากกว่าเรื่องในปัจจุบัน
ในเมื่อตอนนี้เขาได้ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนแล้ว และยังนำพรรคชิงเฉิงออกมา แค่ต้องการยาชีวเภสัชภัณฑ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้แล้ว
ตามจินตนาการของแขกที่มาร่วมงาน สิ่งที่เขาต้องการก็คือทั้งเมืองเจียงหนัน!
แม้ว่าเย่เทียนจะทำให้ตระกูลเจิ้นเสียหายอย่างมาก แต่ตระกูลเจิ้นเป็นเพียงสุนัขของพรรคชิงเฉิง มันไม่ยากเกินไปสำหรับพรรคชิงเฉิงที่จะปั้นตระกูลเจิ้นอื่นออกมา
แต่เย่เทียนไม่เหมือนกัน หลังจากที่รู้ถึงตัวตนของเขาแล้ว เขาก็ยังสามารถรักษาความสงบ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เขาประทับใจ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นตัวแทนของพรรคชิงเฉินขึ้นเหนือลงใต้ และได้เห็นรุ่นเยาว์หลายคนที่มีตำแหน่งสูง แต่เมื่อพวกเขารู้ถึงตัวตนของเขา ต่างก็รู้สึกตกตะลึง
ภายใต้ความแตกต่างที่มากเช่นนี้ เขามีความอยากรู้จักเย่เทียนมากขึ้น
แม้กระทั่ง หากเย่เทียนยอมจำนนจริงๆ เสิ่นหัวก็ยอมเขี่ยตระกูลเจิ้นออกไปและให้เย่เทียนมาแทนที่ตระกูลเจิ้น!
ซู่!
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา แขกที่มาร่วมงานหลายคนอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ และสีหน้าของพวกเขาก็เริ่มแปลกกับข้อเสนอของเสิ่นหัว และมีความอิจฉาริษยาเล็กน้อย
พวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับยาชีวเภสัชภัณฑ์ของตระกูลเฉินไม่มากก็น้อย แม้ว่ายาชีวเภสัชภัณฑ์จะหายาก แต่ถ้าสามารถจับเกาะขอของพรรคชิงเฉิงได้ ธุรกรรมนี้ก็ไม่ขาดทุน!
เพราะว่า พรรคชิงเฉิงเป็นมหาอำนาจที่โงดัง หากพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากพรรคชิงเฉิง ตระกูลเฉินจะเจริญรุ่งเรืองกอย่างแน่นอน
“ท่านเสิ่นนี่คุณ…”
เจิ้นเซ่าเฉินรู้สึกกังวลเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
ตลกละ เย่เทียนทำลายแผนการของเขาหลายครั้งติดต่อกัน และทำให้ตระกูลเจิ้นเสียหายมามาก ถ้าเขาปล่อยเขาไปจริงๆ ตระกูลเจิ้นจะมีหน้าอยู่ในสังคมได้อย่างไร?
“หุบปาก!”
น่าเสียดาย ไม่รอให้เจิ้นเซ่าเฉินพูดจบ เสิ่นหัวก็ขัดจังหวะอย่างเย็นชาโดยไม่หันกลับมามอง จ้องไปที่เย่เทียนด้วยสายตาขุ่นเล็กน้อย รอคอยคำตอบจากเขา
เจิ้นเซ่าเฉินที่เคยหยิ่งยโสและทุกคนหวาดกลัว ไม่กล้าพูดอะไรอีก หน้าของเขาแดงก่ำ และเขารู้สึกอัดอั้นอย่างยิ่ง
“ต้องบอกว่า เงื่อนไขของคุณน่าดึงดูดมาก แต่น่าเสียดาย…”
เย่เทียนเบะปาก เผยให้เห็นฟันขาวขนาดใหญ่สองสามซี่ และพูดด้วยรอยยิ้มที่สดใส“ผมชินกับความขี้เกียจและเป็นอิสระ ไม่สามารถทนต่อการจำกัดใดๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรับคำสั่งจากผู้อื่น”
“เย่เทียน ผมหวังว่าคุณจะคิดเรื่องนี้ดีๆ”
เสิ่นหัวขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาของเขาเย็นชา “ผมยอมรับว่าคุณอาจมีความแข็งแกร่ง แต่ในสายตาของพรรคชิงเฉิงของเรา คุณก็แค่มดที่ค่อนข้างแข็งแกร่งกว่ามดตัวอื่นหน่อยเท่านั้น”
“หากพรรคชิงเฉิงของเราต้องการฆ่าคุณ มันเป็นเรื่องง่ายดาย!”
“เหรอ?”
เย่เทียนไม่ได้เกรงกลัวคำขู่ของเสิ่นหัวเลย และหัวเราะอย่างล้อเลียน “มาๆๆ อย่าพูดว่าคุณจะฆ่าผมให้ตาย ถ้าคุณสามารถทุบผมล้มลงบนพื้นได้ ชื่อของผม เย่เทียนจะเขียนกลับหัวและใช้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!”
“ท่านเสิ่นเย่เทียนช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง คุณยังจะเสียเวลากับเขาทำไม!”
เจิ้นเซ่าเฉินได้ยินเช่นนี้ และพูดอย่างกล้าหาญว่า “เชือกไก่ให้ลิงดูยังดีกว่าเลย และทำให้คนอื่นเกรงกลัว!”
“นี่คุณหาเรื่องใส่ตัวเองนะ!”
คราวนี้ เสิ่นหัวไม่ได้ตำหนิเจิ้นเซ่าเฉิน แต่ส่งเสียงอย่างเย็นชาไปทางเย่เทียน และมีชี่ทิพย์หนาทึบปกคลุมร่างกายของเขา กวาดไปทางเย่เทียนอย่างทรงพลัง
ห้องโถงจัดเลี้ยงทั้งห้องดูเหมือนจะมีลมแรงในทันที และผ้าปูโต๊ะก็ปลิวไปตามลมแรง ถ้าไม่ใช่เพราะมีอาหารวางไว้บนโต๊ะ อาจปลิวกระจายไปแล้ว
อันที่จริง ไม่ใช่แค่ผ้าปูโต๊ะเท่านั้น แต่เสื้อผ้าของแขกที่มาร่วมงานจำนวนมากก็ถูกเป่าขึ้นเล็กน้อย ทำให้ผู้คนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในสายตาของพวกเขา ภาพลักษณ์ของเสิ่นหัวดูสูงขึ้นในขณะนี้ ราวกับว่ามันได้กลายเป็นภูเขาสูงตระหง่าน ทำให้ผู้คนกลัวที่จะมองโดยตรง
และเจิ้นเซ่าเฉินที่ใกล้ชิดกับเสิ่นหัวที่สุดก็ยิ่งหวาดกลัว และถอยกลับไป 2 ก้าว ขาของเขาสั่นสะท้าน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัว
ระดับดำก็เพียงพอแล้วที่จะชนะคนเกือบครึ่งประเทศ และพลังของระดับดำสูงสุด ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถสบตามองได้โดยตรง!
อย่างไรก็ตาม เย่เทียนเหมือนหยั่งรากลึกเข้าไปในดิน และใบหน้าของเขายังคงมองเสิ่นหัวด้วยรอยยิ้มที่เหมือนยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้รับผลกระทบเลย!
ณ ตอนนั้น บรรยากาศก็ดูอึดอัดเล็กน้อย
หากเขาไม่สังเกตเห็นปฏิกิริยาของผู้ชมที่เหลือ เสิ่นหัวเกือบจะสงสัยว่าเขาได้ปลดปล่อยชี่ทิพย์ออกไปกดจริงหรือไม่
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้อย่างไร? ออร่าชี่ทิพย์ระดับดำของผม จะไม่มีผลกับคุณเลยหรือ?”
แสงสว่างวาบในหัวของเขา เมื่อมองไปยังเย่เทียนที่กำลังเหมือนยิ้มไม่ยิ้ม เสิ่นหัวก็นึกถึงความจริงที่ว่าหมาป่าโลภนั้นพ่ายแพ้ให้กับเย่เทียน และนึกถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัว สีหน้าของเขาก็เริ่มแย่ลง
“หรือ หรือว่า… ไม่! เป็นไปไม่ได้! คุณอายุแค่เท่าไหร่เอง นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
“ดั่งที่คนดังพูด อย่าพูดว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!”
รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เทียน และเขาพูดอย่างดูถูก “มันน่าเสียดายที่ผมคิดว่าคุณที่เป็นธรรมบาลฝั่งซ้ายของพรรคชิงเฉิงจะเก่งกาจแค่ไหนเชียว ความแข็งแกร่งแค่ระดับดำ”
ตอนที่อยู่ในฝึกพลังชั้นสี่ เย่เทียนก็สามารถชนะทุกคนที่ต่ำกว่าระดับดำ ถ้าเขาฝึกฝนถึงฝึกพลังชั้นห้าแล้ว เขาจะเห็นเสิ่นหัว ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของระดับดำอยู่ในสายตาได้อย่างไร
เนื่องจากฉินเจิ้งและคนอื่นๆที่เคารพต่อพรรคชิงเฉิง ทำให้เย่เทียนคิดว่าธรรมบาลฝั่งซ้ายเสิ่นหัวนั้นไม่ธรรมดา
เพราะว่า สำนักกากกากในโลกบูโด ผู้อาวุโสทั้งสามของสำนักหวู่หันล้วนอยู่ในระดับดำ เนื่องจากพรรคชิงเฉิงสามารถอยู่ในอันดับที่ 20 แรกๆ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เสิ่นหัวจะอยู่ในแดนระดับดิน
ภายใต้ความคิดที่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้เห็นมาก่อนเช่นนี้ เย่เทียนจะต้องระมัดระวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า ภายใต้ชื่อเสียงที่ใหญ่เช่นนี้ มันเป็นเรื่องยากที่จะให้ความสามารถเทียบเทียนกับชื่อเสียง
ถ้าเขารู้ว่าเสิ่นหัวมีความสามารถเพียงเท่านี้ เขาคงไม่เสียเวลากับเขามากขนาดนี้ ขึ้นไปทุบหน้าเขาโดยตรง
“ผมไม่เชื่อว่าคุณอยู่ในระดับดินในวัยเท่านี้จริงๆ!”
เสิ่นหัวคำรามด้วยความโกรธ และยกไม้ค้ำในมือออก มันคือดาบไม้ค้ำที่ส่องแสงเย็นเฉียบคมและพุ่งเข้าหาเย่เทียนราวกับสายฟ้า
“ถ้าคุณสามารถทำร้ายผมของผมแม้แต่เส้นเดียว ผมจะถือว่าผมแพ้!”
เย่เทียนยกริมฝีปากของเขาขึ้นอย่างดูถูก และคัมภีร์หวงในร่างกายของเขากำลังหมุน ก่อตัวเป็นโล่ทิพย์ป้องกันชี่ทิพย์ที่มองไม่เห็นที่ด้านนอกของร่างกาย
คนธรรมดาไม่รู้ว่าเย่เทียนทำอะไร ในสายตาของพวกเขา เย่เทียนดูเหมือนจะตกใจจนแทบบ้า และยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับ ทุกคนต่างก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์
“เย่เทียน คงไม่ใช่เพราะตกใจจนเอ๋อไปแล้วใช่ไหม?”
“ตายแล้วๆ ดูเหมือนว่าเย่เทียนจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆแล้ว”
” ธรรมบาลฝั่งซ้ายแห้งพรรคชิงเฉิง ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะหลบด้วยซ้ำ ช่างน่ากลัวจริงๆ!”
ไม่ทันรอให้พวกเขาจะถอนหายใจจนจบ ดาบไม้สังหารอันน่าขนลุกอยู่ห่างจากใบหน้าของเย่เทียนเพียงห้านิ้ว แม้ว่าเสิ่นหัวจะใช้สุกกำลัง แต่ก็ยังยากที่จะแทงเข้าไปได้…