ไม่ทันที่โจวจิ้งจะได้พูดอะไร หนุ่มรูปหล่อตรงหน้าก็ชี้ไปยังที่นั่งกลางห้อง**“ตรงนั้นไง”**
“ขอบคุณ”
พอได้สติ เธอก็จำได้ว่าต้องรีบเอากล้องคืนแล้วไปขายตลาดมือสองต่อ จะเสียเวลาชื่นชมหนุ่มๆ ไม่ได้
กล่องของขวัญที่ว่าถูกวางอยู่ในลิ้นชัก ห่อด้วยกระดาษสีชมพู ผูกโบสีแดงอันใหญ่ ฟรุ้งฟริ้งจนโจวจิ้งไม่แน่ใจว่าเป็นของตัวเองรึเปล่า จึงตัดสินใจฉีกกระดาษออกดู
หลังจากเช็คความเรียบร้อย เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่เมื่อหันหลังกลับ ก็พบว่าหนุ่มรูปหล่อทั้งสองยังคงยืนอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วมองการกระทำของเธอด้วยความสงสัย
“จะเปลี่ยนกระดาษห่อของขวัญเหรอ?”
“ว่าไงนะ?”
โจวจิ้งนึกขึ้นได้ว่าเธอคือคนที่ตกหลุมรักหลินเกาอย่างหนักจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมาเอาของขวัญคืน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจวจิ้งก็เริ่มหนักใจ เธอในอดีตคือผู้บริหารระดับสูงที่มีหน้ามีตาในสังคม วันนี้กลับถูกมองเป็นพวกบ้าผู้ชายน่าอับอายเหลือเกิน
โจวจิ้งขยำกล่องเบาๆ แล้วยัดเข้ากระเป๋าที่ตกแต่งด้วยหมุดเหล็ก ขณะเดินผ่านหนุ่มหล่อก็แอบชำเลืองมองป้ายชื่อของเขา ซึ่งเขียนไว้ว่า ‘หยวนคังฉี’
เปลี่ยนกระดาษแล้วห่อใหม่ให้หลินเกาเหรอ? ฝันไปเถอะพวกแกดูถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของฉันมากเกินไปแล้ว ของขวัญนี่เอาไปให้หมายังดีกว่า! เธอก่นด่าในใจ เพราะเหนื่อยที่ต้องเล่นบทตามพฤติกรรมเดิมของเจ้าของร่าง
“ขอบใจมากหนุ่มน้อย” เธอพูดพลางเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของหยวนคังฉีอีกรอบ—เด็กสมัยนี้หน้าตาดีว่ะ
จากนั้นก็สะพายกระเป๋า แล้วเดินออกจากห้องแล็บพร้อมกับเจ้าเขียว
พอทั้งสองคล้อยหลังไป หยวนคังฉีก็หันไปถามเพื่อนที่มาด้วยกัน “เมื่อครู่หล่อนเรียกฉันว่าอะไรนะ?”
‘เฮ่อซวิน’ ที่กำลังก้มหน้าเก็บแบบฝึกหัดในลิ้นชักพูดขึ้นว่า“จะไปเล่นบอลด้วยกันรึเปล่า… หนุ่มน้อย”
ที่อีกฟากของโรงเรียน โจวจิ้งถามเจ้าเขียวขณะรั้งคอเขาเอาไว้ “สองคนนั้นเป็นใคร? ดูเหมือนนายจะกลัวพวกเขามาก”
“พวกเขาคือเด็กกิฟต์ ห้องหนึ่ง” เจ้าเขียวพูดต่อ “ผมกลัวลูกพี่จะถูกเข้าใจผิดว่ามาขโมยของ”
“พวกเขาดูเป็นคนมีเหตุผลดีออก” โจวจิ้งยักไหล่เมื่อคิดถึงตอนที่พวกเขาบอกตำแหน่งโต๊ะของหลินเกาให้
เจ้าเขียวทำหน้าประหลาดใจ “ลูกพี่ชอบด่าพวกนั้นว่าไอ้เด็กเนิร์ดห้องกิฟต์ไม่ใช่เหรอ? ผมว่าหยวนคังฉีนิสัยพอใช้ได้ ไม่เหมือนเจ้าเฮ่อซวิน โชคดีที่วันนี้พวกเขาเดินมาด้วยกัน ไม่งั้นลูกพี่คงถูกโยนออกมาแล้ว”
“เฮ่อซวินน่ะเหรอ?” โจวจิ้งขมวดคิ้ว “พอจะดูออกว่านิสัยไม่ดีเท่าไหร่”
“แต่พวกเขาเป็นเด็กห้องหนึ่ง นิสัยไม่ดียังไงก็มีแต่คนชอบ” เจ้าเขียวพูดด้วยน้ำเสียงปนอิจฉา
“นายอยากเป็นเด็กห้องกิฟต์ใช่ไหม?” โจวจิ้งอดที่จะถามไม่ได้
เจ้าเขียวทำหน้าตกใจแล้วรีบอธิบาย “พวกห้องกิฟต์ชอบคิดว่าตัวเองเก่ง ทำตัวเก๊กไปวันๆ ถ้าไม่อวดรวยก็หาเรื่องแกล้งคนอื่นไปทั่ว พวกเฟก พวกเห็นแก่ตัว หน้าไม่อาย ผมเกลียดพวกมันที่สุดแล้ว!”
“จริงเหรอ?” โจวจิ้งถามอย่างไม่เชื่อหู
“จริงสิ ว่าแต่ทำไมถึงถามแบบนี้?”
“ไม่มีอะไร” เธอส่ายหน้า
เจ้าเขียวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาจับผิด แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ
ช่วงเย็นนักเรียนจะติวหนังสือกันเอง เด็กห้องยี่สิบอย่างโจวจิ้งจึงมานั่งรวมกับคนอื่นๆ ด้วย ถึงจะเอาแต่เล่นมือถือ ก็สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อย
โจวจิ้งนั่งนับจำนวนครั้งที่เพื่อนๆ หันมองเธอ ซึ่งเยอะกว่าจำนวนที่พวกเขาเปลี่ยนหน้าหนังสือเสียอีก แม้แต่เพื่อนร่วมโต๊ะอย่างโต้วหยาก็กลัวจนไม่กล้าส่งเสียง เอาแต่นั่งตัวเกร็ง ไม่แม้แต่จะหายใจเสียงดัง
เธอจ้องเบอร์ 000000 บนหน้าจอมือถือด้วยสีหน้าซังกะตาย—ตั้ง 34 สายแล้ว ยังไม่มีใครรับอีก!
นอกจากจะไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตแบบนี้อีกนานแค่ไหน เธอยังหิวข้าวจนปวดท้องแล้วด้วย
บัตรเครดิตหรือเงินสดก็ไม่มี พ่อแม่เป็นใครก็ไม่รู้ โจวจิ้งที่ไม่ได้สัมผัสกับความลำบากมานานจึงอยากจะหางานพิเศษทำเพื่อไม่ให้อดตาย
จู่ๆ ก็ถูกส่งมาอยู่ในร่างของเด็กเกรียนที่วันๆ เอาแต่ไล่ตามผู้ชาย หาเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ซ้ำยังไม่มีเงินสดติดตัวอีก ช่างเป็นชีวิตที่น่าตื่นเต้นซะเหลือเกิน
คิดได้เช่นนี้ โจวจิ้งก็หยิบหนังสือขึ้นอ่านแก้เซ็ง จะได้กลมกลืนกับเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ
ทันทีที่เอื้อมมือไปแตะหนังสือ สายตาตื่นตะลึงหลายสิบคู่ก็จับจ้องมาที่เธอ พนันได้ว่าถ้าเธอเริ่มอ่าน พรุ่งนี้จะต้องเป็นข่าวโด่งดังอย่างแน่นอน
สมัยที่โจวจิ้งยังเป็นเด็กนักเรียน เธอมีชื่อเสียงในทางที่ดีต่างจากตอนนี้ฟ้ากับเหว
ขณะกำลังย้อนคิดถึงอดีต ประตูก็ถูกเปิดออก ตามด้วยเมี่ยเจวี๋ยที่เดินเข้ามา
เธอกวาดสายตาไปทั่วห้องแล้วหยุดมองเจ้าเขียวตรงแถวหน้าสุด “เคอเสี่ยวฝาน ไปที่ห้องพักครูเดี๋ยวนี้!”
ห้องวิทย์คณิตของมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะมีทั้งหมด 20 ห้อง ซึ่งเรียงจากคะแนนมากสุดไปน้อยสุด ห้องยี่สิบเป็นห้องท้ายแถว เรื่องคะแนนคงไม่ต้องพูดถึง
แม้เมี่ยเจวี๋ยจะเป็นผู้อำนวยการ แต่เธอไม่เคยอยากจะมาเหยียบห้องบ๊วยแห่งนี้ นอกเสียจากมีใครทำผิด
เจ้าเขียวยืนขึ้นอย่างไม่รู้ประสาแล้วเดินตามออกไป
โจวจิ้งมองตามด้วยความสงสัย กระทั่งพวกเขาคล้อยหลังไปเพื่อนๆ ในห้องก็พากันซุบซิบนินทาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
นอกจากเรื่องที่เป็นเกย์ เจ้าเขียวก็ไม่ใช่เด็กเลวร้ายอะไร เมื่อเทียบกับตัวเธอเองที่ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และชอบหาเรื่องชาวบ้านไปทั่ว
เสียงดังอยู่พักหนึ่ง ทุกคนในห้องยี่สิบก็เงียบลง กระทั่งหมดเบรกที่สองของคาบติวช่วงเย็น เจ้าเขียวก็ยังไม่กลับมา
“ฉันจะไปสืบข่าวให้เอง ทุกคนรออยู่ตรงนี้แหละ” เด็กหนุ่มพูดขึ้น ก่อนจะคว้าหนังสือแล้วผลุนผลันออกจากห้อง
ตามแผนคือเขาจะแกล้งทำเป็นไปถามการบ้าน และแอบฟังเรื่องของเจ้าเขียวในห้องพักครู
แค่คิดโจวจิ้งก็อยากจะกัดลิ้นตาย ใครๆ ก็รู้ว่าเมี่ยเจวี๋ยอยู่ห้องฝ่ายปกครอง ส่วนครูที่สอนเขาอยู่ห้องพักครู ซึ่งอยู่กันคนละฝั่ง แล้วไอ้เด็กเวรนี่จะไปสืบกับใคร… ฉลาดเนอะ!
กระทั่งหมดเบรกที่สาม คนสืบข่าวก็ยังไม่กลับมา ทุกคนจึงไม่มีกะจิตกะใจจะติวหนังสือ พากันลงความเห็นว่าเจ้าเขียวอาจกำลังโดนข้อหาแอบเข้าไปฉี่ในห้องน้ำหญิง
แต่โจวจิ้งไม่คิดเช่นนั้น เพราะเขาน่าจะโดนข้อหาแอบเข้าไปฉี่ในห้องน้ำชายมากกว่า
สุดท้ายคนสืบข่าวก็กลับมาด้วยสีหน้ารีบร้อน พอเข้ามาได้ก็เปิดประเด็นทันที
เมื่อรู้ข่าวทุกคนก็พากันตกใจ “เงินของห้องกิฟต์หลายพันหยวนถูกขโมย?”
“มีคนเห็นเคอเสี่ยวฝานป้วนเปี้ยนที่หน้าห้องกิฟต์” เด็กหนุ่มที่ออกไปสืบข่าวตอบ “เมี่ยเจวี๋ยเลยจะโทรไปฟ้องคุณยายของเขา”
“ไม่อยากเชื่อว่าจะขี้ขโมยด้วย!”
โครม!
โจวจิ้งเตะโต๊ะเสียงดังลั่น จนเด็กสาวสองคนที่กำลังนินทาอยู่ผงะถอยหลัง
แม้เจ้าเขียวจะคอยเป็นเงาติดตามโจวจิ้ง แต่เธอไม่เคยออกหน้าแทนเขาสักครั้ง หลายคนจึงมักจะดูถูกและมองว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงของเธอ ต่างจากโจวจิ้งที่บ้านรวยเลยไม่มีใครกล้าดูถูก
“ได้ยินอะไรมาบ้าง?” โจวจิ้งทำเสียงดุ
“เคอเสี่ยวฝานขโมยเงินห้องกิฟต์” เขาตอบอย่างระมัดระวังเพราะไม่รู้เจตนาของอีกฝ่าย
“เห็นกับตาเหรอ?”
“ฉันได้ยินครูที่ฝ่ายปกครองพูดกัน”
“ฉันถาม… ว่านาย… เห็นกับตาเหรอ?” โจวจิ้งทำเสียงกดดัน
เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กลัวจนหัวหด ไม่กล้าพูดต่อ
“ถ้าไม่ได้เห็นกับตาก็หุบปากซะ!” โจวจิ้งค้อนอีกฝ่ายแล้วเดินออกจากห้องไป
“ปกติเธอไม่เคยใส่ใจเคอเสี่ยวฝานเลยนี่?” เสียงเพื่อนร่วมห้องดังขึ้น
“ครั้งที่แล้วเขาโดนต่อยแขนจนหัก ไม่เห็นเธอจะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลย?” เพื่อนอีกคนพูดเสริม
ทุกคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามโจวจิ้งไป เพราะอยากรู้ว่าเธอจะไปที่ไหน
“ดูนั่น ห้องฝ่ายปกครอง!”
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ไฟทั่วทั้งโถงทางเดินถูกเปิด โจวจิ้งเดินอย่างหนักแน่นไปที่ห้องปกครอง จิตวิญญาณของเธอยังคงเป็นผู้บริหารที่แน่วแน่ ฉลาด และไหวพริบดี
“เอาจริงสิ… ขโมยเงินเหรอ?” เธอพึมพำไปตลอดทางเดิน