บทที่ 328-2 สวี่ชีอัน ไม่มีใครดึงขนแกะของข้าได้ (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 328 สวี่ชีอัน ‘ไม่มีใครดึงขนแกะของข้าได้’ (2)

หนานกงเชี่ยนโหรวรุดข้ามลานกว้างและเข้ามาในห้องทรงพระอักษรด้วยการนำของขันที

เขาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มสองคนในชุดเกราะเบายืนอยู่บนพรมสีแดงสด นอกจากนี้ก็ไม่มีใครอื่นอีก

หนานกงเชี่ยนโหรวรู้จักเด็กหนุ่มทั้งสอง ในกองทหารรักษาวัง คนหนึ่งมาจากตระกูลสูงศักดิ์ อีกคนหนึ่งเป็นนักวรยุทธ์รากหญ้าที่โดดเด่น

เมื่อสองคนนั้นเห็นหนานกงเชี่ยนโหรว นัยน์ตาพลันฉายแววประหลาดใจ

หนานกงเชี่ยนโหรวกับพวกเขาไม่ได้มีมิตรภาพใดๆ ต่อกัน นิสัยส่วนตัวยังไม่ชอบสุงสิงกับใครจึงไม่ได้กล่าวทักทาย เพียงแค่ยืนเงียบอยู่ข้างกัน

ไม่นานจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เดินเข้ามาพลางมองคนทั้งสาม สุดท้ายก็มาหยุดตรงหน้าพวกเขาแล้วกล่าวเสียงขรึม “รู้หรือไม่ว่าข้าเรียกพวกเจ้าทั้งสามคนมาด้วยเหตุใด”

หนานกงเชี่ยนโหรวไม่ตอบ นักวรยุทธ์รากหญ้าก้มศีรษะเล็กน้อย ส่วนเด็กหนุ่มจากตระกูลสูงศักดิ์กำมือ “ฝ่าบาทโปรดชี้แนะด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าแล้วกล่าวช้าๆ “อีกสามวันจะเกิดศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะออกไปขัดขวาง…”

เขาบอกผลดีผลเสียของเรื่องนี้แก่ทั้งสาม จากนั้นก็ถามว่า “พวกเจ้ามีใครเต็มใจบ้าง ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็จะได้เลื่อนหนึ่งขั้น”

ทั้งสามคนนี้คือนักวรยุทธ์ขั้นสี่ที่หนุ่มที่สุดในเมืองหลวงและเป็นนักวรยุทธ์ขั้นสี่ของราชสำนัก

ภายนอกนั้นนักวรยุทธ์ขั้นสี่หาได้ยากยิ่ง ทั้งสิบสามมณฑลของต้าฟ่ง หนึ่งมณฑลมีขั้นสี่นับนิ้วได้ แต่ในฐานะศูนย์รวมอำนาจแห่งต้าฟ่ง เมืองหลวงมียอดฝีมือขั้นสี่มากกว่าที่คาดไว้มาก

ทว่านักวรยุทธ์ขั้นสามนั้นมีเพียงอ๋องสยบแดนเหนือผู้เดียว นักวรยุทธ์ขั้นสามที่สามารถตัดแขนขาแล้วได้เกิดใหม่หลุดจากนิยามความเป็นมนุษย์ไปแล้ว และยังแตกต่างจากขั้นสี่ราวฟ้ากับเหว

หนานกงเชี่ยนโหรวยังคงเผยสีหน้าไร้อารมณ์

นักวรยุทธ์รากหญ้าฉายความโกรธเคืองวาบผ่านดวงตา ทว่านักวรยุทธ์จากตระกูลสูงศักดิ์กลับหวาดกลัวและระแวง

จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวเสียงขรึม “เลื่อนสองขั้น”

ความโกรธเคืองในดวงตานักวรยุทธ์รากหญ้าลุกโชนขึ้นอีก นักวรยุทธ์จากตระกูลสูงศักดิ์ดูสนใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้าพลางเอ่ยเสียงเบา “ขอประทานอภัยฝ่าบาท กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่อาจรับหน้าที่นี้ได้”

นักวรยุทธ์รากหญ้ากำมือประสาน “กระหม่อมไม่อาจรับหน้าที่นี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าปกติ “พวกเจ้าสองคนออกไปเถิด หนานกงเชี่ยนโหรวอยู่ก่อน”

ทั้งสองคนโล่งใจพร้อมถอยออกจากห้องทรงพระอักษร

จักรพรรดิหยวนจิ่งก้าวกลับไปที่บัลลังก์แล้วนั่งลง ผ่านไปสิบกว่าลมหายใจถึงเปิดปากพูด “พวกเขาสองคน คนหนึ่งไม่พอใจที่ข้าออกหน้าแทนนิกายมนุษย์ จึงสรุปได้ว่าไม่พอใจกับการฝึกเต๋าของข้า

“ส่วนอีกคนหนึ่งก็รักตัวกลัวตาย ฐานะก็ร่ำรวยอยู่แล้วจึงไม่อยากเข้าไปพัวพันกับข้อพิพาทของทั้งสองนิกาย”

หนานกงเชี่ยนโหรวมองจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างเรียบเฉย “ฝ่าบาทรั้งกระหม่อมไว้เพราะคิดว่ากระหม่อมจะทำหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “หนานกงเชี่ยนโหรว ข้ารู้ตัวตนของเจ้าและรู้ว่าเจ้าต้องการอะไร”

หนานกงเชี่ยนโหรวดวงตาหดแคบ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติทันควัน

จักรพรรดิหยวนจิ่งจ้องเขา “ขอเพียงเจ้าจัดการเรื่องนี้ให้ข้า ข้าจะให้เจ้ายืมทหารชั้นยอดสองหมื่นนาย”

หนานกงเชี่ยนโหรวสีหน้าวูบไหวราวกับสนใจมาก แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะปฏิเสธ “ฝ่าบาท กระหม่อมสัญญากับเว่ยกงแล้ว จนกว่าจะได้ชื่อของข้าคืนมา ข้าไม่อาจไปจากเขาได้

“อีกอย่าง หลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่น หรือกับใครข้าก็ไม่กลัวทั้งสิ้น แต่หากพวกเขาทั้งสองร่วมมือกัน ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพื่อทำตามพันธสัญญาระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์ตามกำหนด พวกเขาต้องร่วมมือกันเพื่อไล่คนนอกออกไปก่อนอย่างแน่นอน มิใช่ว่าข้าไม่เต็มใจ แต่ข้าไร้ความสามารถ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่ดึงดันจึงโบกมือ

หนานกงเชี่ยนโหรวกำมือประสานแล้วถอยออกจากห้องทรงพระอักษร

จักรพรรดิหยวนจิ่งสั่งการด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บอกท่านราชครู ข้าไร้ความสามารถ ให้นางจัดการเองเถิด”

สตรีดื้อรั้นเช่นนี้ ยอมเผชิญหน้ากับศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ แต่ไม่ยอมบำเพ็ญคู่กับเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปตัดสินแพ้ชนะกับผู้นำเต๋านิกายสวรรค์เถิด

อารามรัตนะ

ขันทีหนุ่มโค้งคำนับแล้วกล่าวเสียงเล็กแหลม “ท่านราชครู ฝ่าบาทก็ไร้หนทางขอรับ ในเมืองหลวง ยอดฝีมือขั้นสี่ต่างไม่ต้องการเจ้าไปแทรกแซงศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์

“ท่านก็รู้ ฝ่าบาทบังคับพวกเขาไม่ได้”

ลั่วอวี้เหิงไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง แต่กล่าวเสียงเบา “ข้ารู้แล้ว”

ขันทีไม่กล้ารั้งอยู่นาน หลังจากโค้งคำนับแล้วจึงจากไปอย่างรวดเร็ว

อีกหนึ่งเค่อถัดมา แมวสีส้มตัวผอมก็ปรากฏตัวบนรั้วของเรือนเล็ก นัยน์ตาสีอำพันหดแคบเป็นแนวตั้งจ้องมองสตรีในสระน้ำ

“ศิษย์น้องหญิง!”

ลั่วอวี้เหิงไม่ได้เงยหน้ามอง แต่พูดด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ “ท่านมาทำอะไร”

แมวส้มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเชิงปรึกษา “ขอถามสักเรื่อง นิกายมนุษย์มียาชิงตันอยู่ในครอบครองหรือไม่ ยานี้ยากต่อการปรุง ประเมินค่าไม่ได้…”

ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขัด “ในเมื่อรู้ว่าหายาก แล้วยังจะถามอีกหรือ ท่านเป็นผู้นำเต๋านิกายปฐพี จะเอายาชิงตันไปเพื่ออะไรกัน”

แมวส้มเลิ่กลั่ก “ในสายตาศิษย์น้องหญิง อาตมาเป็นเพียงญาติจนๆ ไม่น่ามองใช่หรือไม่ ยาชิงตันนั้นข้าไม่ได้ใช้เอง ข้ามาถามแทนคนอื่นต่างหาก”

ลั่วอวี้เหิงส่งเสียง ‘เหอะ’ แล้วเยาะเย้ย “ท่านไม่ใช่ญาติจนๆ แต่เป็นนักพรตไร้ยางอายน่ารังเกียจ ท่านพ่อข้าเคยปรุงยาชิงตันไว้หม้อหนึ่ง สองส่วนในนั้นถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งเอาไป ส่วนสุดท้ายอยู่ที่ข้า

“แต่ยานี้ทั้งปรุงยากทั้งล้ำค่า ข้าไม่ให้ท่านหรอก นอกจากเจ้าจะเอาเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีมาแลก”

เศษหนังสือปฐพีจะให้เจ้าได้อย่างไร นิกายมนุษย์อย่างเจ้าก็ใช้ไม่ได้…แมวส้มบ่นในใจ ก่อนจะพูดอย่างเสียใจ “ช่างเถิด เดิมทีข้าอยากไปขอความช่วยเหลือให้ศิษย์น้องหญิง คนที่สามารถชะลอศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ได้ อีกฝ่ายมีเพียงคำขอเดียว ก็คือยาชิงตัน ในเมื่อศิษย์น้องหญิงไม่เห็นด้วย อาตมาก็ทำได้เพียงปฏิเสธเขา”

ลั่วอวี้เหิงผุดลุกขึ้นแล้วตะโกน “กลับมานะ”

ฝ่ามือทรงพลังคว้าแมวส้มบนกำแพงไว้ในมือแล้วโยนมันลงบนก้อนหินข้างสระ จ้องมองมันตาเป็นประกายแล้วรีบซักไซ้ทันที

“อีกฝ่ายเป็นใคร เจ้ามั่นใจแค่ไหน เจ้าก็รู้ การเข้าไปยุ่งกับศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ หากอยากจะถอนตัวก็ยากแล้ว”

ขณะพูดนางก็จ้องแมวส้มตาไม่กะพริบ เพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่มัน

“เจ้ารู้จักเขา ถึงขนาดเคยคิดจะบำเพ็ญคู่กับเขาด้วย” แมวส้มเลียขนที่ยุ่งเหยิงแล้วพูดอย่างสบายๆ

ประกายในดวงตาลั่วอวี้เหิงมอดดับลงแล้วพูดอย่างขุ่นเคือง “เขาก็แค่นักวรยุทธ์ขั้นหก ถึงจะได้รับพลังเทพวชิระจากสำนักพุทธ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีพลังต่อสู้ขั้นห้า

“แล้วฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินก็ไม่ใช่ขั้นสี่ธรรมดาด้วย”

แมวส้มกล่าวช้าๆ “เจ้าอย่าเพิ่งโมโห พลังเทพวชิระของสวี่ชีอันจะเทียบกับนักวรยุทธ์ทั่วไปไม่ได้ ข้าสงสัยว่ากายเนื้อของนักวรยุทธ์ขั้นสี่ก็ยังแข็งแกร่งสู้เขาไม่ได้ด้วยซ้ำ”

ลั่วอวี้เหิงยิ้มเย็น “เจ้าสงสัยงั้นหรือ”

แมวส้มพยักหน้า “เพราะพลังกระบี่ทั้งหมดของหลี่เมี่ยวเจินทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่น้อย”

ลั่วอวี้เหิงอึ้ง ก่อนจะคิดว่าไร้สาระมากจึงถามย้ำ “พลังกระบี่ทั้งหมดของหลี่เมี่ยวเจินทำอะไรเขาไม่ได้เลยจริงรึ”

แมวส้มพยักหน้า

ลั่วอวี้เหิงตกตะลึง

หอเฮ่าชี่

หลังฟังคำรายงานของหนานกงเชี่ยนโหรว เว่ยเยวียนก็พยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าจัดการได้ดี เข้าร่วมศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์มีแต่ข้อเสีย เดิมเป็นข้อพิพาทระหว่างนิกาย คนนอกยื่นมือเข้าไปยุ่งนั้นคือแกว่งเท้าหาเสี้ยน”

หยางเยี่ยนตอบรับ ‘อืม’ แล้วกล่าวว่า “นิกายมนุษย์วิถีกระบี่ไร้เทียมทาน นิกายสวรรค์วิถีเต๋าไม่ธรรมดา หากสู้กันตัวต่อตัว เชี่ยนโหรวไม่กลัวผู้ใด แต่หากสองต่อหนึ่งคงแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”

หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวเสียงเบา “ในเมืองหลวงไม่มีขั้นสี่คนใดสามารถต่อกรกับสองคนนั้นในเวลาเดียวกันได้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายของหยางเชียนฮ่วนอาจอยู่ยงคงกระพัน ทว่าหากเริ่มต่อสู้ เขาจะสู้ได้ไม่ถึงสิบกระบวน”

ต่อสู้กับจุดแข็งของโหร

เว่ยเยวียนกล่าวว่า “ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ในอีกสามวันข้างหน้า พวกเจ้าฆ้องทองคำก็ไปชมกันให้หมด เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง การต่อสู้ระหว่างนิกายชั้นสูงไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ”

….

ยามสายัณห์ สวี่ชีอันได้ยินเสียงเล็กๆ ของแมวร้องหง่าว เมื่อหันมองไปตามเสียงก็เห็นแมวสีส้มนั่งอยู่บนกิ่งไม้ในมุมที่เงียบสงบ

ในปากของแมวส้มคาบขวดใบหนึ่งไว้ ก่อนที่มันจะอ้าปากเบาๆ เพื่อปล่อยของสิ่งนั้นให้ตกใส่มือสวี่ชีอัน

‘ป๊อก…’

ครั้นดึงจุกไม้ก๊อกออกแล้วดมกลิ่นของมัน กลิ่นหอมที่อธิบายไม่ถูกพลันลอยเตะจมูก

“ลั่วอวี้เหิงบอกว่าขอเพียงเจ้าทำสุดความสามารถ จะแพ้หรือชนะ ยาชิงตันล้วนเป็นของเจ้า” แมวส้มกล่าว

มีมันอยู่ กอปรกับการต่อสู้ในอีกสามวันข้างหน้า ร่างทองไร้พ่ายของข้าจะต้องเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับแน่ แล้วยังสามารถหยุดยั้งหมายเลขสองกับหมายเลขสี่ไม่ให้บาดเจ็บล้มตายกันทั้งคู่ด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ…สวี่ชีอันสัหน้ายินดีปรีดาแล้วทอดถอนใจ “ท่านราชครูช่างร่ำรวยเสียจริง”

ท่านอา ข้าไม่อยากสู้แล้ว

แมวส้มยืนบนปลายกิ่งไม้มองสวี่ชีอันที่อยู่ข้างล่าง “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินล้วนเป็นยอดฝีมือ อาตมาคิดว่าเจ้าจำเป็นต้องรู้อะไรไว้บ้าง”

ข้าก็คิดอย่างนั้น ข้ายังคิดว่าดึกๆ จะไปสอดแนมหลี่เมี่ยวเจินสักหน่อย…สวี่ชีอันเอ่ย “ท่านนักบวชเชิญกล่าว”

“วิถีกระบี่ของนิกายมนุษย์ เจ้าคงพอจะเข้าใจบ้างแล้ว วิถีกระบี่ที่ฉู่หยวนเจิ่นคิดขึ้นเอง เจ้าก็รู้จักมันดี สำหรับเขา อาตมาไม่มีอะไรจะพูด ที่สำคัญคือหลี่เมี่ยวเจิน เพราะเจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนิกายสวรรค์เลย”

“ความรู้ได้มาจากประสบการณ์” สวี่ชีอันกล่าว

“ความรู้ได้มาจากประสบการณ์…โอ้ เป็นคำอธิบายที่เหมาะเจาะมาก” แมวส้มกระแอมไอแล้วกล่าวต่อ “หลี่เมี่ยวเจินก็ชำนาญกระบี่บินเช่นกัน นี่คือขั้นเจ็ดของนิกาย อิทธิฤทธิ์ที่ได้มาจากการสังเวยปราณ

“แก่นปราณขั้นห้าของนิกายสามารถทำลายสิ่งลวงตาได้ทั้งหมด ไม่กลัวความขุ่นมัวในโลก สิงโตคำรามสำนักพุทธของเจ้าทำอะไรนางไม่ได้”

สวี่ชีอันพยักหน้า

“นอกจากนี้ยังมีวิถีสายฟ้าและวรยุทธ์ห้าธาตุ วรยุทธ์เหล่านี้ต้องใช้เวลาและสถานที่ที่เหมาะสม สถานที่ต่อสู้อยู่ที่แม่น้ำเว่ยสุ่ย เจ้าระวังวรยุทธ์ธาตุน้ำไว้ก็พอ” แมวส้มพูดจบก็ทำหน้าเคร่งขรึม

“วรยุทธ์หลักของนิกายสวรรค์ คือสวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง ความสามารถของมันคือมอบจิตวิญญาณให้ทุกสรรพสิ่งในโลกและเชื่อมต่อกับพวกมัน ทำให้พวกมันเชื่อฟังตน สรุปคือดาบของเจ้าอาจจะไม่ใช่ดาบของเจ้า เข็มขัดของเจ้าก็อาจทำทุกอย่างเพื่อรัดคอเจ้าให้ตาย ก้อนหินที่เท้าเจ้าก็อาจพุ่งมากระแทกเข่า แม้กระทั่งมือของเจ้าก็อาจจะตบหน้าตัวเจ้าเองได้”

ให้ตายสิ วรยุทธ์นิกายสวรรค์น่าทึ่งถึงเพียงนี้เลยหรือ นี่สินะที่เรียกว่าไม่มีความภักดีในโลก เพียงเพราะไม่ได้เจอข้างั้นหรือ ในสายตาข้าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการทรยศหักหลังทั้งสิ้น

สวี่ชีอันตกใจ และอิจฉาเคล็ดวิชาของนิกายสวรรค์เต็มหัวใจ

เมื่อบอกลานักบวชเต๋าจินเหลียนแล้ว เขาก็กลับห้องทันที จากนั้นก็กลืนยาชิงตันเพื่อกลั่นฤทธิ์ยาออกมา

สามวันผ่านไปในพริบตา ยามรุ่งอรุณ ฉู่หยวนเจิ่นตื่นขึ้นมาแต่งกายถูกระเบียบ สะพานกระบี่พาดหลังและช่วยสหายร่วมชั้นปูผ้าห่มให้เรียบร้อย

เมื่อวานทั้งคู่ดื่มหนักมาก ในคำพูดของสหายล้วนชี้นำให้เขาเสมอกันเอง

ความจริงฉู่หยวนเจิ่นรู้ว่าศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์สำหรับใครหลายคนในท้องพระโรงนั้นคือโอกาสดีที่จะกำจัด ‘นิกายมนุษย์’

หลายคนเชื่อว่าขอเพียงไม่มีนิกายมนุษย์ ฝ่าบาทก็จะขยันว่าราชการและไม่แสวงหาอายุขัยอันลวงตาอีกต่อไป

“เจ้าไม่เข้าใจ สิบปีก่อนข้าก็ดูออกแล้ว ต่อให้ไม่มีนิกายมนุษย์ก็อาจจะมีนักพรตคนอื่นหรือราชครูคนอื่น หรือต่อให้ไม่มีทุกอย่าง จักรพรรดิหยวนจิ่งก็จะยังคงฝึกเต๋า เขากระหายที่จะมีชีวิตยืนยาว ผู้ใดก็ไม่อาจขัดขวาง”

ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหน้าแล้วออกจากห้องไป

เมื่อออกจากจวนเขาก็เห็นเหิงหย่วนที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างถนนท่ามกลางความมืดสลัวยามเช้า

“ใต้เท้าสวี่ส่งข้ามา อาตมาจะไปกับท่าน” เหิงหย่วนประสานมือ

ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าเงียบๆ และเดินเคียงข้างเหิงหย่วนไป ครู่หนึ่งเขาก็หันหน้ามามองภิกษุวัยกลางคน “ท่านอยากจะพูดอะไรหรือ”

สายตาเหิงหย่วนหยุดอยู่ที่กระบี่บนหลังฉู่หยวนเจิ่น ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “อาตมาอยากขอร้องท่าน อย่าดึงกระบี่เล่มนี้ออกจากฝัก”

ฉู่หยวนเจิ่นไม่รับปาก

“นี่ไม่ใช่แค่การไม่ให้เกียรตินิกายสวรรค์ แต่ยังเป็นการดูหมิ่นหลี่เมี่ยวเจินด้วย” เขากล่าว

เหิงหย่วนทำหน้าเสียใจ

ณ พระราชวัง กองทหารรักษาการณ์แถวหนึ่งพารถม้าหรูหราสองคันออกจากวัง ผ่านเขตพระราชฐานมุ่งออกไปนอกเมือง

หลินอันยกผ้าม่านขึ้น บนถนนมีผู้คนบางตา แผงขายอาหารเข้ากำลังส่งควันร้อน กลิ่นหอมลอยเตะจมูกหลินอัน

นางอดอยากชิมอาหารเช้าของชาวบ้านไม่ได้

ฮว๋ายชิ่งนั่งอยู่บนรถม้าคันหน้า นางออกจากวังครั้งนี้เป็นการชำระแสงแห่งฮว๋ายชิ่ง ทั้งพระราชวัวมีเพียงองค์รัชทายาทและฉว๋ายชิ่งที่สามารถออกจากเมืองหลวงได้อย่างอิสระ ไร้ข้อห้าม

องค์หญิงองค์ชายคนอื่นๆ ล้วนไม่ได้รับสิทธิ์นี้

หลินอันชอบความคึกคักจึงไม่อยากพลาดศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ เดิมทีคิดว่าจะให้เจ้าสุนัขรับใช้แอบพานางออกไป นางจะปลอมตัวเป็นสตรีธรรมดาตามเขาไปที่แม่น้ำเว่ยสุ่ยเพื่อดูความสนุกสนาน

ใครจะรู้ว่าเจ้าสุนัขรับใช้กลับเห็นนางเป็นลูกบอลและเตะไปให้ฮว๋ายชิ่ง

โชคดีที่ฮว๋ายชิ่งค่อนข้างมีความเที่ยงธรรมจึงเต็มใจพานางไป

“เหอะ คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการกับเจ้าสุนัขรับใช้อย่างไร” หลินอันคิดอย่างขุ่นเคือง

จวนฮว๋ายอ๋อง

ทหารรักษาพระองค์เคลื่อนที่เต็มกำลัง ล้อมรอบรถม้าหรูหราที่ทำจากไม้จินสื่อหนาน ควบออกนอกเมืองไป

จวนสกุลสวี่

สวี่ซินเหนียนตื่นแต่เช้าและกำลังจูงม้า ‘กุบกับ’ ไปตามถนน ก่อนจะเห็นรถม้าหรูจอดอยู่ที่มุมถนน

ทหารประจำจวนสิบกว่านายยืนประจำการสองข้าง

ม่านรถถูกยกขึ้นเผยให้เห็นใบหน้างดงามของคุณหนูหวาง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าสวี่ ขึ้นมาดื่มชาสิ”

การสอบต่อหน้าพระที่นั่งผ่านไปแล้ว ตอนนี้สวี่ซินเหนียนเป็นซู่จี๋ซื่อ[1]แห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินแล้ว ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป

ผู้ที่สอบผ่านระดับเมืองหลวงของปีนี้ไม่ได้จัดเรียงอันดับเป็นพิเศษ ทุกคนล้วนถูกศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ดึงความสนใจไป

แม้แต่ความสนใจของประชาชนในเมืองหลวงก็ยังย้ายไปที่ข้อพิพาทระหว่างนิกาย ผู้คนต่างได้ยินว่าศึกนี้ หกสิบปีจะมีสักครั้ง หลายคนอาจได้เห็นเพียงครั้งเดียวในชีวิตนี้ เมื่อลองคิดดู การสอบขุนนางจัดสามปีครั้ง เห็นได้ชัดว่าเรื่องไหนสำคัญกว่า

คุณหนูหวางจึงถือโอกาสเชิญสวี่ซินเหนียนมาดูศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งครั้งนี้สวี่ซินเหนียนก็ไม่ปฏิเสธ

คุณหนูหวางดีใจมาก

รอจนสวี่ซินเหนียนขึ้นรถแล้ว นางก็รีบสั่งให้สาวใช้เทน้ำชา ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่าศิษย์นิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์ล้วนเป็นยอดฝีมือที่ไม่อาจดูถูกได้”

นางครุ่นคิดก่อนจะหาข้อเปรียบเทียบ “ไม่ด้อยไปกว่าฆ้องทองคำของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ข้ายังได้ยินว่าเทพธิดานิกายสวรรค์งดงามราวกับบุปผา เป็นโฉมงามล่มบ้านล่มเมือง”

สวี่ซินเหนียนพยักหน้าอย่างสงบ

ท่าทีไม่สนใจของเขาทำให้คุณหนูหวางท้อแท้เล็กน้อย จึงเอ่ยถามหยั่งเชิง “สวี่ฉือจิ้วไม่สนใจศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์งั้นหรือ”

เขายังคงไม่หือไม่อือ

สวี่เอ้อร์หลางส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าเทพธิดานิกายสวรรค์คือใคร หลังจากมาเมืองหลวงนางก็อาศัยอยู่จวนข้ามาตลอด”

คุณหนูหวางตกตะลึงตาเบิกกว้าง “ฉือจิ้วอย่าล้อเล่นสิ เทพธิดานิกายสวรรค์จะไปพักอาศัยอยู่ที่จวนท่านได้อย่างไร ท่าน ท่านรู้จักกับนางมาก่อนหรือ”

นิกายสวรรค์มีชื่อเสียงก้องยุทธภพ ด้วยสถานะของจวนสกุลสวี่ เป็นไปไม่ได้ที่จะ ‘เอื้อม’ ถึงเทพธิดานิกายสวรรค์

…………………………………………………………..

[1] ซู่จี๋ซื่อ คือ บัณฑิตทดลองปฏิบัติราชการ