* * *
ทุกสายตาของแขกที่อยู่ตรงสวนต่างมองไปยังอาซ จากนั้นเขาจึงเดินคล้องแขนกับอาเรียไปตรงห้องโถงชั้นหนึ่งที่ได้จัดเตรียมไว้ ทุกย่างก้าวของทั้งคู่ต่างอยู่ในสายตาของแขกในงาน
อาซที่ปรากฏตัวพร้อมกับเตรียมของขวัญมามากมายราวกับจะอวดให้คนอื่นได้เห็นแสดงสีหน้าดีอกดีใจต่างจากอาเรียที่เผยสีหน้ากังวล
“นึกว่าจะโกรธดิฉันไปแล้วนะคะ”
ขณะที่อาเรียแสดงท่าทางอ่อนโยนแต่จู่ๆ กลับถามคำถามที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ขึ้นมา ทำให้อาซถามกลับด้วยสีหน้าตกใจ
“…ผมเหรอครับ”
“ค่ะ”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นเหรอครับ”
อาซถามพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด สายตาเหมือนกังวลว่าตัวเองไปทำอะไรผิดไว้
อาเรียลังเลอยู่ครู่หนึ่งพลางคิดคำตอบก่อนจะตอบออกไป
“ก็… มีเรื่องที่ดิฉันยังไม่ได้บอกคุณอาซอยู่นี่คะ”
“….”
อาซที่รู้ทันว่าอาเรียหมายถึงเรื่องอะไร จึงไม่ถามและไม่พูดอะไร กลับมองอาเรียอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นอาซก็รู้สึกตัวได้ว่าไม่สามารถพูดเรื่องจริงจังได้ตรงนี้ จึงเสนอให้อาเรียย้ายที่ไปคุยกันที่อื่น
“ผมว่าคงไม่เหมาะที่จะคุยกันตรงนี้นะครับ”
“…ถ้าอย่างนั้นไปที่ห้องดิฉันดีกว่าค่ะ”
หากคนอื่นได้ยินคงตกใจกับคำพูดนั้น แต่สำหรับอาซที่เคยมาหาอาเรียอยู่หลายครั้ง อาซจึงพยักหน้าตอบรับคำเชิญอย่างดีพลางเดินไปที่ห้องอาเรีย
คนในงานต่างสนใจที่เจ้าของงานกลับหายตัวไปซะอย่างนั้น แต่เพราะทั้งสองคนเป็นคู่รักที่ทุกคนต่างรู้กันในราชอาณาจักรไปจนถึงอาณาจักรอื่นด้วยซ้ำ พวกเขาจึงไม่คิดว่าแปลกอะไร
“เลดี้คะ เอาขนมมาให้ค่ะ”
“ขอบใจนะ”
หลังจากที่เสิร์ฟขนมเสร็จเจสซี่รู้ทันจึงออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้ได้มายังที่ที่ไม่มีใครจะรบกวนได้แล้ว อาเรียจึงเหลือแค่สารภาพไปเท่านั้น
“ไม่รู้ว่าเพราะผมมาช้าเลยทำให้เลดี้เข้าใจผิดไปหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้โกรธอะไรเลดี้เลยนะครับ ไม่มีเหตุผลอะไรต้องโกรธนี่ครับ ถึงแม้ว่าเลดี้จะมีเรื่องอะไรปิดบังผมอยู่ ผมก็ไม่โกรธหรอกครับ”
ระหว่างที่เธอกำลังกังวลว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี อาซกลับพูดข้ออ้างออกมาราวกับน้อยใจเสียอย่างนั้น อาเรียที่กำลังตื่นเต้นจึงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ตกใจ เพราะที่จริงแล้วคนที่ต้องพูดข้ออ้างพวกนั้นเป็นอาเรียต่างหาก
“ถ้าอย่างนั้นก็โล่งอกไปค่ะ”
โชคดีที่จู่ๆ คำพูดของอาซทำให้ลดบรรยากาศตึงเครียดลง คุยกันได้สบายยิ่งขึ้น
อาเรียดื่มชาไปหนึ่งอึกพลางเริ่มพูดอย่างระมัดระวัง
“ที่จริง… ท่านอาจจะรู้แล้ว คือว่าดิฉันมีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกน่ะค่ะ แล้วครั้งนี้ไม่รู้ว่าท่านจะโกรธดิฉันจริงๆ หรือเปล่า”
“ไม่ว่าเลดี้จะพูดอะไรผมก็ไม่โกรธหรอกครับ บอกมาได้เลยครับ”
อาซพูดพลางยื่นมือไปจับอาเรียราวกับแสดงความจริงใจ มือที่เย็นเฉียบจากความตื่นเต้น ได้ไออุ่นจากมือของอาซเริ่มละลายคลายความเย็นนั้นลง
พลังของความอบอุ่นในคำตอบนั้น ทำให้อาเรียเริ่มเผยความลับที่เก็บซ่อนไว้ออกมาเป็นครั้งแรก
“ที่จริงแล้ว… ดิฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร แต่ดิฉันก็มีพลังบางอย่างที่คล้ายๆ กับของคุณอาซเหมือนกันค่ะ”
อาเรียตอบพลางหันไปเหลือบมองนาฬิกาทรายที่เก็บไว้บนตู้วางของตกแต่ง สาเหตุพลังของเธอคือนาฬิกาทราย
เพราะอาซมองอาเรียอยู่ตั้งแต่แรกจึงหันไปมองตามจุดที่เธอกำลังมองพลางถาม
“เตรียมใจไว้…บ้างแล้วล่ะครับ เพราะสีแหวนเปลี่ยนนี่ หรือว่ามันเกี่ยวกับนาฬิกาทรายเหรอครับ”
มองออกเพราะสีแหวนสีนะ อาเรียรู้สึกดีใจที่ได้สารภาพก่อนจะสายไปกว่านี้พร้อมกับอธิบายต่อ
“…ใช่แล้วค่ะ สามารถใช้พลังได้ผ่านนาฬิกาทรายค่ะ”
“ขอโทษนะครับ พลังอะไรเหรอครับ เพราะเพิ่งเคยได้ยินพลังจากการใช้สิ่งของน่ะครับ…”
“อาจยากที่จะเชื่อนะคะ ดิฉัน…สามารถย้อนเวลากลับไปเมื่อห้านาทีก่อนได้ค่ะ วันหนึ่งสามารถใช้พลังได้แค่ครั้งเดียวค่ะ”
“…!”
อาซที่จับมืออาเรียอยู่จู่ๆ กลับเพิ่มแรงที่มือมากขึ้น เนื่องจากตกใจจากคำสารภาพที่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ อาซที่นั่งฟังอย่างเงียบๆ กลับตัวนิ่งแข็งทื่อไม่พูดอะไรตอบ
จะมีใครกันที่ได้ยินเรื่องย้อนเวลาแบบนี้แล้วสามารถตอบว่าเข้าใจแล้วอย่างนิ่งเฉยได้ล่ะ
พลังย้อนเวลานั้นช่างวิเศษกว่าพลังหายตัวเสียอีก เพราะสามารถล้มล้างกฎเกณฑ์ของโลกย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้อย่างไรล่ะ
อาซนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรอยู่นาน อาเรียที่เป็นห่วงกลัวว่าอาซจะไม่เชื่อจึงรีบอธิบายเหตุผลต่อ
“…ดิฉันก็อยากจะแสดงพลังให้คุณอาซเห็นเหมือนกันค่ะ แต่หลังจากใช้พลังไปแล้วก็จะหลับไปอีกทั้งวัน ตอนนี้คงจะยากหน่อยน่ะค่ะ เพราะจะหลับในงานเลี้ยงวันเกิดไม่ได้นี่คะ วันหลังถ้ามีโอกาสดิฉันจะแสดงให้ดูนะคะ”
ต่างกับอาซที่สามารถหายตัวไปยังที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ สำหรับอาเรียเธอต้องนอนหลับทันทีหลังจากใช้พลัง
หลังจากเธออธิบายจบอาซก็เผยสีหน้าราวกับเข้าใจ อาเรียที่รู้ทันจึงรีบถาม
“ดูเหมือนว่าท่านจะรู้อะไรนะคะ”
“…เพียงแค่คาดเดาไว้เท่านั้นล่ะครับ”
“คาดเดาเรื่องอะไรเหรอคะ”
“…อาจเป็นเพราะเลดี้ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์จึงมีผลข้างเคียงจากการใช้พลังมากน่ะครับ”
ที่แน่นอนเป็นเพราะเธอไม่มีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ เพราะเธอเป็นหลานสาวของไวโอเล็ตที่ได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งจากเชื้อพระวงศ์เพราะน้ำมนตร์ พลังของเธอจึงมีผลข้างเคียงเยอะ
ทว่าอาซไม่ได้มีหน้าที่ที่จะอธิบายเหตุและผลของเรื่องนั้น จึงพูดเสริมเรื่องสายเลือดเพื่อไม่ให้อาเรียเข้าใจผิด
“ผมก็ได้รู้เรื่องผ่านเลขาที่ทำงานให้ราชวงศ์สืบต่อมาเรื่อยๆ น่ะครับ จึงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก แต่พลังวิเศษจะมีแค่ในสายเลือดราชวงศ์เท่านั้น ว่ากันว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะพบได้จากคนนอกครับ แทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้”
“ถ้าอย่างนั้น… ในกรณีที่คนนอกที่ไม่ใช่คนในราชวงศ์มีพลังวิเศษ เวลาใช้พลังนั้นก็เลยมีผลข้างเคียงสินะคะ”
“เท่าที่ผมทราบก็เป็นแบบนั้นครับ”
อาเรียได้แต่ยิ้มอยู่ในใจ
ช่างน่าแปลกใจจริงๆ ไม่ใช่หรือ คนที่ไม่ได้มีเชื้อราชวงศ์กลับมีพลังแบบราชวงศ์ได้
เป็นเพราะความอยากจะแก้แค้นมิเอลในใจเธอมากแค่ไหนกัน ถึงขนาดที่มีพลังเช่นนี้นะ
กำลังจะสารภาพเรื่องพลังวิเศษของตัวเองเพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ของเธอกับอาซพังลง แต่กลับได้รู้ไปถึงความจริงของพลังนั่นด้วย จึงคิดว่าดีแล้วที่ได้สารภาพออกไป
“แต่ว่า… หากเลดี้มีพลังที่สามารถย้อนเวลากลับไปได้แบบนี้ หมายความว่าต้องมีเรื่องที่เสียใจมากแน่ๆ ถึงขนาดอยากย้อนกลับไปแก้ไขมัน”
“…ท่านหมายความว่าอะไรคะ”
อาซที่ถามตรงประเด็นทำให้ไหล่อาเรียที่เคยนิ่งเฉยกลับสั่นขึ้น เป็นคำถามราวกับว่ารู้ได้อย่างไรกัน
อาซจึงเริ่มพูดสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมา
“ผมรู้มาว่าพลังวิเศษจะเกิดขึ้นในสถานการณ์คับขัน และแต่ละคนก็ปรากฏลักษณะต่างกันออกไปด้วยครับ พลังของผมที่หายตัวได้มีตั้งแต่ครั้งที่กำลังหนีผู้ลอบสังหารเกิดขึ้นตอนที่ผมกำลังดิ้นไปมาครับ เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว”
“….”
เพราะอย่างนั้นเลยถามว่าเธอเองก็เกือบไม่รอดจนได้ย้อนเวลากลับมาผ่านนาฬิกาทรายงั้นเหรอ เพราะหนีไปไหนไม่ได้ ด้วยความเมตตาของพระเจ้าจึงช่วยให้จดจำทุกอย่างที่ผ่านมาเพื่อจะกลับมาแก้แค้นอย่างนั้นเหรอ
“…ใช่แล้วค่ะ เสียใจมากเลยล่ะค่ะ เพราะอย่างนั้นจึงเกิดพลังขึ้น…”
หรือว่าพลังนี่จะเป็นผลตอบแทนจากความตายกันนะ จะพูดให้เขาฟังถึงเรื่องไหนดีล่ะ
ความชั่วร้ายของตนเองในอดีตจนได้ชื่อว่าเป็นหญิงร้ายเหรอ แม้จะบอกว่าตกหลุมพราง แต่เรื่องที่เธอสั่งให้ใส่ยาพิษในชาของน้องสาวตัวเองจนถูกจับได้และโดนสั่งประหารเหรอ
ไม่สิ ถ้าอธิบายเรื่องนั้นยังต้องอธิบายเรื่องอายุที่นับมาถึงปัจจุบันก็เกือบจะสามสิบแล้วล่ะสิ
‘ตายจริง อาซเพิ่งจะอายุยี่สิบเองนะ และเขาก็มองเธอเป็นแค่เด็กอายุสิบเจ็ดอีกต่างหาก…!’
เมื่อคิดได้ว่าเธอกำลังหลอกชายที่อายุน้อยกว่าเธอเป็นสิบปีทั้งยังคบหากันถึงตอนนี้ ความรู้สึกผิดกลับถาโถมเข้ามาอย่างหนัก รู้สึกผิดยิ่งกว่าหลอกเรื่องอดีตเสียอีก
เพราะอย่างนั้นสีหน้าอาเรียซีดเผือดพร้อมกับเผยสีหน้าไม่สบายใจ อาซเห็นเช่นนั้นจึงถามอาการ
“เลดี้ สีหน้าดูไม่ดีเลยครับ…! รู้สึกไม่ค่อยสบายเหรอครับ ให้ผมเรียกหมอดีไหม”
“เอ่อ เปล่านะคะ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ…”
อาเรียรีบห้ามอาซที่แทบจะเรียกหมอซะเดี๋ยวนั้น แต่เพราะเธอยังคงหน้าซีดอยู่อย่างนั้น อาซยังอดห่วงไม่ได้
“ผมว่าเรียกหมอจะดีกว่านะครับ”
“ไม่นะคะ! เพราะมีเรื่องที่ต้องปิดบังน่ะค่ะ… ที่ผ่านมาคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็ก แต่ตอนนี้ดิฉันว่าต้องบอกแล้วล่ะค่ะ…”
ครั้งนี้แทบจะไปตามหมอมาจริงๆแล้ว อาเรียจึงรีบไปขวางอาซพร้อมกับสารภาพความลับอีกอย่าง
“…ผมบอกเลดี้แล้วนี่ ว่าไม่ต้องทุกข์ใจขนาดนั้น ทุกอย่างจะไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าความลับนั้นคืออะไร แต่ถ้ามันทำให้เลดี้ต้องทุกข์ใจถึงกับหน้าซีดเผือดขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้นะครับ”
“ไม่ค่ะ มันถึงเวลาที่ต้องพูดแล้วนี่คะ”
ไม่ใช่เรื่องอื่นหรอก แต่เธอต้องบอกความจริงกับคนที่เธอจะอยู่ด้วยตลอดชีวิตในอนาคตว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้อายุน้อยกว่าแค่สามปี แต่อายุมากกว่าเขาเป็นสิบปี
แต่อาซกลับไม่รู้อะไรจึงห้ามอาเรียอยู่เช่นนั้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ไม่ค่ะ เดี๋ยวคุณอาซจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอนค่ะ”
“ไม่ครับ ผมจะไม่เสียใจทีหลังหรอกครับ”
“เป็นความลับที่สำคัญมากๆ เลยนะคะ!”
“หากมันทำให้เลดี้ต้องทุกข์ใจขนาดนี้ ความลับแค่นั้นไม่ต้องสนใจก็ได้ครับ ตอนนี้ต่างหากที่สำคัญ”
ตายจริง ยอมรับแม้กระทั่งความลับเลยเหรอ… ได้ยินเขาพูดแบบนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดแทบตายเสียอีก
อาซที่มัวแต่พูดว่าหากความลับนั้นทำให้อาเรียต้องลำบากใจก็ให้เก็บเป็นความลับต่อไปจนอาเรียทนไม่ไหวโพล่งพูดความลับของตัวเองออกมา
“ที่จริงแล้วดิฉัน… ดิฉันอายุเยอะกว่าคุณอาซเป็นสิบปีเลยค่ะ…!”
“…!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาซไม่ทันคาดคิดว่าอาเรียจะบอกว่าตัวเองอายุเยอะกว่าเป็นสิบปีหรือเปล่า เขาจึงไม่ตอบอะไรพลางมองอาเรียอย่างเงียบๆ สายตาราวกับถามว่ามันเรื่องอะไรกัน
เมื่อบอกไปแล้วอาเรียกลับคิดว่าไม่น่าบอกไปเลย พลางเริ่มพูดแก้ตัว
“…ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนะคะ”
“ตะ… แต่ว่าเลดี้ยังดูเด็กอยู่นี่นา… ผมมั่นใจว่าตอนเราเจอกันครั้งแรกยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ อยู่เลย…”
อาซพูดราวกับไม่ได้ตกใจอะไรมากนัก
แทนที่จะโกรธหรือผิดหวังกลับสงสัยว่าเด็กหญิงตัวเล็กแบบนี้จะอายุมากกว่าเขาเป็นสิบปีได้อย่างไรกัน
“เรื่องนั้น… หากมองตามรูปลักษณ์ภายนอกก็อายุตอนนี้ก็ถูกแล้วล่ะค่ะ เพราะดิฉันมีพลังสามารถย้อนเวลากลับมาทั้งที่ยังคงรูปลักษณ์เดิมได้นี่คะ จะมองว่าย้อนเวลากลับมาทั้งที่ยังมีความทรงจำเก่าๆ อยู่ก็ได้ค่ะ”
“มาจากอนาคต…เหรอครับ เลดี้น่ะเหรอครับ”
“ค่ะ ดิฉันตอนนั้นอายุยี่สิบกลางๆ ที่เขาต่างว่ากันว่าเป็นผู้หญิงชั่วร้าย ผ่านเรื่องราวมามากมาย รู้สึกเสียใจมากจนกลับมาในร่างเด็กอายุสิบสี่อีกครั้งค่ะ กลับมาพร้อมกับนาฬิกาทรายน่ะค่ะ ท่านต้องตกใจมากและคงยากที่จะยอมรับ…แต่ทั้งหมดเป็นความจริงค่ะ”
“….”
บางทีอาจจะคิดว่าเรื่องแบบนี้มันบ้าไปเสียแล้ว
ทว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงและเป็นปัญหาที่ต้องพูดจึงพูดออกไปหมดทุกอย่าง อาซที่นิ่งเงียบฟังอาเรียมาตลอดดูท่าว่าจะรู้สึกถึงความจริงใจกลับเปลี่ยนสีหน้าจากตกใจเป็นใบหน้าเรียบเฉย
“ไม่ครับ ผมเชื่อครับ เพราะอย่างนั้นผมถึงได้หวั่นไหวมาตลอดสินะครับ เริ่มเข้าใจแล้วครับ”
ไม่สิ พอดูดีๆแล้วสีหน้าเขาเหมือนกับเข้าใจอะไรเสียอย่างนั้น เป็นใบหน้าสื่อว่าในที่สุดเขาก็เข้าใจตัวตนจริงๆ ของหญิงที่ทำให้เขาหลงได้ขนาดนี้
แทนที่จะขุ่นเคืองใจกลับโล่งอกเสียมากกว่า
“ท่านไม่รู้สึก… ไม่สบายใจบ้างเหรอคะ คุณอาซตอนนี้ก็อายุยี่สิบแล้ว ส่วนดิฉันอาจจะสามสิบปีแล้วก็ไม่รู้นะคะ…”
“ไม่รู้สิครับ… ถึงจะตกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้นหรอกครับ มากกว่าเรื่องนั้นผมนึกว่าเลดี้ยังเหลืออีกปีกว่าจะเป็นผู้ใหญ่ แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้นผมเลยดีใจล่ะมั้งครับ”
อาซพูดแบบนั้นพลางเปลี่ยนสีหน้า อาจเพราะรู้ว่าเธอไม่ใช่เด็กอีกแล้ว จึงไม่หลงเหลือสีหน้าอ่อนโยนอย่างเก่า
“จะว่าไป ที่ผ่านมาผมก็เคยรู้สึกเหมือนเลดี้ทดสอบอะไรผมอยู่เหมือนกัน… ไม่รู้ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เลดี้คิดไว้แล้วหรือเปล่านะครับ ผมเดาถูกไหมครับ”
รูปลักษณ์ที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมเช่นนั้นแต่กลับมีความรู้สึกน้อยใจ ดูเหมือนจะคิดว่าเพราะอาเรียยังไม่บรรลุนิติภาวะจึงพยายามสลัดความคิดนั้นออก
เปลี่ยนท่าทีได้เร็วขนาดนี้เชียว ช่างเหมาะสมเข้ากับเขาเสียจริง อาเรียที่ตื่นเต้นและไม่สบายใจอยู่ก่อนหน้ากลับหายเป็นปลิดทิ้งพร้อมกับกลับมาเป็นตัวตนของเธอจริงๆ
“เพิ่งมารู้ตอนนี้เหรอคะ… ทึ่มจริงๆ เลยนะคะ”
ขนตาที่ยาวเป็นแพหนาของอาเรียขยับเล็กน้อยราวกับมีเสียงออกมา เป็นดวงตาที่อาซเคยบอกว่าทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายมาหลายต่อหลายครั้ง
อาเรียที่เห็นอาซว่าอาซค่อยๆ หูแดงขึ้นจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับพูด
“แต่จะว่าไปท่านอย่าลืมว่าอายุจริงๆ ของดิฉันคือสิบเจ็ดปีนะคะ”
“เฮ่อ… ผมแพ้แล้วสินะครับ”
น้ำเสียงที่ว่าอย่ามัวคิดเรื่องไร้สาระของเธอราวกับตอกตะปูลงมาทำเอาอาซถอนหายใจเฮือกใหญ่
บรรยากาศในห้องของอาเรียที่ตึงเครียดถูกเปลี่ยนเป็นความเบาสบาย
ตอนนี้ไม่มีสิ่งที่ปิดบังต่อกันแล้ว จึงดื่มชาต่อด้วยความสบายใจกว่าเดิม ทันใดนั้นอาซกลับถามคำถามที่ไม่คาดคิดขึ้น
“กลับมาเข้าเรื่องนะครับ แล้วใครกันที่ทำให้เลดี้ย้อนเวลากลับมาเหรอครับ”
นึกว่าจะเปลี่ยนหัวข้อและมองข้ามไปเสียแล้ว แต่กลับถามคำถามเฉียบแหลมสมกับที่เป็นเขา
สาเหตุที่ทำให้เธอเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพิ่มอำนาจจนได้มาเป็นคนรักของอาซ ใบหน้าของอาซที่ถามอย่างจริงจังยิ่งกว่าเรื่องอายุ ทำให้อาเรียวางถ้วยชาลงพร้อมกับตอบ
“เป็นเรื่องที่ยาวอยู่เหมือนกันน่ะค่ะ จะไม่เป็นไรเหรอคะ”
“หากเลดี้บอกว่าจะใช้เวลาทั้งวันผมก็ไม่ว่าอะไรครับ”
“ถ้าอย่างนั้นจะเชื่อใจคุณอาซและเล่าเรื่องอดีตที่โสมมนั่นเลยนะคะ จะว่าไปยังมีหญิงร้ายที่ได้แย่กว่านั้นอีกค่ะ คนที่ทำให้ดิฉันต้องย้อนเวลากลับมา…”
และอาซก็พยักหน้าเล็กน้อยราวกับบอกว่าจะตั้งใจนั่งฟังเรื่องราวของอาเรียและจะไม่พลาดอะไรไปสักอย่างเดียว
……………………….