ตอนที่ 232 ผ่านประตูเข้าสอบ 

 

 

เซียงฉือได้ยินคำพูดนั้นแล้วก็เข้าใจว่าเป็นเพราะคำพูดของซูกงกงจึงได้ทำให้นางเป็นเช่นนี้ 

 

 

เมื่อเห็นว่าสายแล้วจึงรีบทำความเคารพซูกงกง 

 

 

“ขอบคุณซูกงกงที่มาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้เซียงฉือ บุญคุณนี้เซียงฉือจะจดจำไว้ตลอดไปเจ้าค่ะ” 

 

 

คำขอบคุณของเซียงฉือกล่าวออกมาจากใจ ไม่ว่าจะเป็นซูกงกงเองที่ช่วยเหลือนาง หรือจะได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท ในเวลานี้นางล้วนซาบซึ้งใจทั้งนั้น 

 

 

ไม่รู้มาก่อนเลยว่าจิตใจคนในวังจะเป็นเช่นนี้ นางเพิ่งได้ฟังคำพูดของคนทั้งคู่มาหยกๆ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าครั้งนี้ถูกแผนการของซูเฟยเล่นงานให้แล้ว เนื่องเพราะไม่ต้องการให้นางเข้าร่วมการสอบ ไม่ต้องการให้นางได้เป็นข้าราชสำนักสตรี 

 

 

แต่ว่าในโลกนี้ เซียงฉือสามารถละทิ้งสิ่งของได้มากมายและไม่ใส่ใจกับเรื่องราวต่างๆ ได้อีกมาก แต่ตอนนี้นางมีสิ่งที่ต้องใส่ใจ มีโอกาสที่จะได้ฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

นางทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อจะกุมโอกาสนี้ไว้ในมือ ยึดไว้ให้แน่นหนา ใครก็ตามที่คิดขัดขวางนาง นางจะไม่เกรงใจ 

 

 

เซียงฉือรู้ว่าซูเฟยคงต้องการกีดขวางไม่ให้นางได้เป็นนางกำนัลด้านอักษรอย่างแน่นอน แต่ว่านางไม่ได้มุ่งมั่นไปในทางนี้ แล้วเหตุใดซูเฟยคอยแต่จะขัดขวางนางเช่นนี้ 

 

 

ซูกงกงถอนใจ ยิ้มจางๆ ตอบกลับไปว่า 

 

 

“แม่นางไฉนต้องมาขอบคุณข้า ข้าไม่ได้ทำอะไร ล้วนเพราะแม่นางบุญหนักศักดิ์ใหญ่หรอก” 

 

 

ซูกงกงชี้นิ้วไปทางประตูใหญ่เบื้องหน้า เซียงฉือไม่พูดต่อ มองประตูที่โชติช่วงนั้นแล้วเดินเข้าไป เมื่อเดินผ่านเหวินเจวียนจึงหยุดชะงักเท้า 

 

 

“แม่นางกราบทูลซูเฟยด้วยว่าขอให้พระองค์ทรงวางพระทัย เซียงฉือไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่ข้าราชสำนักสตรีงานอักษร และกุ้ยเฟยได้ทรงคัดเลือกคนอื่นไว้แล้ว ขอให้พระองค์ให้โอกาสกับข้า ให้ข้าได้สอบอย่างสบายใจด้วยเถิด” 

 

 

คำพูดเซียงฉือลอยเข้าไปในหูเหวินเจวียน เซียงฉือเดินเข้าประตูตำหนักเหวินอิงไปอย่างรวดเร็ว ซูกงกงก็ประสานกำปั้นต่อเหวินเจวียนแล้วติดตามเซียงฉือเข้าไป 

 

 

หลังจากเข้าไปแล้วไม่มีใครมาคอยขัดขวางอีก เซียงฉือได้รับป้ายคำสั่งอันสุดท้ายพอดี นางยืนอยู่หลังสุดของแถว 

 

 

มองเห็นเลขบนป้ายนั้นว่าคือห้าสิบสาม 

 

 

ปีนี้มีคนได้เข้าสอบรอบสองรวมห้าสิบสามคน แรงกดดันในปีนี้ไม่น้อยเลยจริงๆ 

 

 

เซียงฉือยิ้มเยาะตัวเอง ปีก่อนๆ ที่ผ่านการสอบรอบแรกมาได้มีแค่เพียงยี่สิบกว่าคน จากนั้นในวังจะประกาศตำแหน่งงานสิบกว่าอัตรา ครึ่งหนึ่งในบรรดาคนพวกนั้นจะได้รับเลือกเป็นข้าราชสำนักสตรี ที่เหลืออีกครึ่งจะเข้าไปทำงานตามกองงานต่างๆ สถานะเลื่อนสูงขึ้นไม่น้อย 

 

 

ครั้งนี้จำนวนผู้ผ่านรอบแรกเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย มิน่าเล่าจึงต้องให้มีป้ายคำสั่งน้อย หาไม่แล้วเกรงว่าจะมีคนมาปรากฏตัวในที่นี้มากกว่านี้อีก ซึ่งจะทำให้การสอบนั้นยากขึ้น 

 

 

เซียงฉือยืนอยู่ลำดับสุดท้าย ซูกงกงเมื่อเข้าประตูไปแล้วก็ไม่ได้มองเซียงฉือแต่เดินเลยเข้าไปด้านใน 

 

 

แล้วทำความเคารพต่อพระสนมทั้งสามที่นั่งอยู่เบื้องบน 

 

 

“ถวายพระพรกุ้ยเฟย ซูเฟย จิ้งเฟย ขอทรงพระเจริญพันปีพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ซูกงกงทำความเคารพอย่างนอบน้อม จินกุ้ยเฟยมองด้านซ้ายและขวา ทุกคนล้วนเข้าใจดี นางถามคำถามสำหรับพวกสาวๆ ที่เข้าสอบข้างล่างว่า 

 

 

“ซูกงกงลุกขึ้นเถิด ใช่นำข้อสอบจากฝ่าบาทมาหรือไม่ ที่ผ่านมาฝ่าบาทจะเสด็จมาเองมิใช่หรือ” 

 

 

จินกุ้ยเฟยวันนี้แต่งกายอย่างตั้งใจ ด้วยคิดจะแสดงออกให้ดีต่อหน้าหรงจิง แต่ไม่คิดว่าซูกงกงจะมาที่ตำหนักเหวินอิงเพียงคนเดียว 

 

 

ในใจอดมิได้ต้องรู้สึกผิดหวัง ความตั้งใจของตนในครั้งนี้เป็นอันสูญเปล่าไป 

 

 

“ทูลกุ้ยเฟย ฝ่าบาทวันนี้ทรงมีราชกิจมากจึงไม่มีเวลาเสด็จมา แต่ฝ่าบาทได้ทรงอักษรด้วยลายพระหัตถ์แล้วทรงมอบข้อสอบนี้แก่กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เพื่อเอาไว้ใช้ทดสอบใต้เท้าห้าคนที่มีคะแนนสูงสุดในตอนท้ายพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 233 เรื่องในอดีต 

 

 

ซูกงกงพูดพร้อมกับทูนกระดาษข้อสอบที่ผนึกไว้เป็นความลับด้วยสองมือ 

 

 

แต่จินกุ้ยเฟยสะบัดมือพูดว่า 

 

 

“สิ่งนี้ให้ซูกงกงเก็บรักษาไว้จะดีกว่า รอให้เลือกห้าคนนั้นออกมาได้ก่อนแล้วค่อยเปิดก็ไม่สาย” 

 

 

เมื่อจินกุ้ยเฟยพูดเช่นนั้นซูกงกงก็ถอยออกไปช้าๆ แล้วเก็บกระดาษข้อสอบไว้ในมือ มองพวกข้าราชสำนักสตรีเบื้องล่างโดยไม่พูดอะไร ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง 

 

 

“เอาล่ะ ในเมื่อถึงเวลาแล้วก็ตีระฆังเริ่มการสอบรอบสองได้!” 

 

 

เมื่อได้รับคำบัญชาจากจินกุ้ยเฟย ข้าราชสำนักสตรีที่มีหน้าที่จึงแยกย้ายออกมาเบื้องหน้ากุ้ยเฟย ค้อมศีรษะตอบรับแล้วออกไปเพื่อนำพวกผู้สมัครสอบทั้งหลายตามไปเริ่มทำการสอบ 

 

 

การสอบรอบสองมีหกอย่าง เพื่อทดสอบความสามารถในด้านต่างๆ ของผู้สมัครรวมถึงการแสดงออกของพวกนาง แล้วนำคะแนนมารวมกัน สุดท้ายจัดอันดับตามคะแนนหรือตามคำแนะนำของประมุขตำหนักต่างๆ 

 

 

ตอนนี้อวิ๋นเซียงฉือนั่งอยู่ในสนามสอบของกองบริหารจัดการรวม หน้าที่สำคัญที่สุดของกองนี้คือการตรวจนับสินทรัพย์และตรวจสอบยอดบัญชี ทั้งสองรายการนี้ไม่ยากสำหรับเซียงฉือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ชำนาญที่สุด การสอบรอบสองนี้เพื่อทดสอบความสามารถรวมและความชำนาญเฉพาะทางของข้าราชสำนักสตรี 

 

 

เซียงฉือขอเพียงให้ผ่านกองบริหารจัดการรวมไปได้เท่านั้นก็พอ แต่เพื่อให้ได้คะแนนที่ดี นางจึงต้องทุ่มเทเต็มที่ 

 

 

เซียงฉือได้รับข้อสอบ เป็นการสะสางเงินรับจ่ายของเดือนนั้น ตรวจเทียบกับรายการในบัญชีว่าตรงกันหรือไม่ 

 

 

สิ่งจำเป็นในกองบริหารจัดการรวมนี้คือความแม่นยำและความเร็ว เซียงฉือตรวจสอบสินทรัพย์ได้อย่างรวดเร็ว การคำนวณก็ตรวจซ้ำสองรอบและหาข้อผิดพลาดอีกทั้งทำการแก้ไขได้สองจุด หลังจากตรวจไม่พบข้อผิดพลาดแล้วจึงลุกขึ้นรายงาน 

 

 

“ผู้เข้าสอบเซียงฉือ หัวข้อตรวจสอบเงินเข้าออกของโอสถล้ำค่าในเดือนสี่โดยเทียบกับรายการบัญชี เมื่อเทียบกับรายการแล้วพบข้อผิดพลาดดังนี้ ข้อหนึ่ง ตังกุยจัดเป็นยาสามัญ ไม่ควรถูกบันทึกลงในรายการนี้ ข้อสอง คำนวณมูลค่าบัวหิมะขาดไปห้าตำลึง รายการรับจ่ายรวมในเดือนนี้ควรเป็นมูลค่าสามร้อยแปดสิบสองตำลึงกับเจ็ดลี้” 

 

 

“ขอจบรายงานการตรวจสอบบัญชี ขอเชิญใต้เท้าทุกท่านตรวจสอบด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

เสียงของเซียงฉือไม่ดังนัก ข้าราชสำนักสตรีในกองบริหารจัดการรวมทั้งหลายพากันตรวจเทียบ และเมื่อรวมกับการรายงานของนางทั้งหมดแล้วจึงขานคะแนน 

 

 

“จย่า[1]!” 

 

 

เมื่อผู้คุมสอบขานออกมาคำหนึ่ง ก็มีข้าราชสำนักสตรีคนหนึ่งส่งป้ายให้ เซียงฉือทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วออกจากสนามสอบนี้ไป 

 

 

ลำดับถัดๆ ไปที่ต้องเข้าสอบไล่เรียงกันมีกองเครื่องเสวย กองโอสถ กองราชเลขา กองเย็บปักและสุดท้ายคือกองคดี 

 

 

เซียงฉือผ่านกองเครื่องเสวย กองโอสถในคราเดียวไปจนถึงกองราชเลขา 

 

 

สตรีตรงหน้าก็คือเหอจิ่นเซ่อแห่งกองราชเลขา ดูแล้วอายุราวยี่สิบแปดยี่สิบเก้าปี ใบหน้าเยือกเย็น ผิวเนียนใสผุดผาด เซียงฉือมองนางแล้วรู้สึกถึงคำที่ผู้คนพากันชมนางว่าเป็นเทพีน้ำแข็งนั้นไม่ผิดเพี้ยน 

 

 

เหอจิ่นเซ่อมีความแตกต่างจากสตรีมากมายในวัง ความรู้นางกว้างขวาง มีชื่อเสียงเลื่องระบือ ชำนาญทั้งพิณและหมากรุก และยิ่งคล่องด้านอักษรบทกวี เป็นขุนนางขั้นที่สาม ทั้งฐานะและชื่อเสียงล้วนสูงส่งยิ่ง 

 

 

ได้ยินว่านางมีชะตาชีวิตที่ขื่นขม ชาติกำเนิดนางมาจากตระกูลมีชื่อเสียง เคยหมั้นหมายกับเซ่าเจียงจวิน[2]สวีเซี่ยงหรงแห่งกองกำลังอวีหลิน แต่ยังไม่ทันออกเรือน สวีเซี่ยงหรงก็ได้พลีชีพในสนามรบ นางจึงตกพุ่มหม้ายตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงาน 

 

 

บ้านสกุลสวีไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ ยินยอมให้เหอจิ่นเซ่อเลือกหาคนดีอื่น แต่นางเป็นคนหยิ่งทะนง สาบานว่าจะไม่แต่งงานชั่วชีวิต แล้วเข้ามาเป็นข้าราชสำนักสตรีในวัง ถึงเวลานี้ก็สิบปีแล้ว 

 

 

พอได้ฟังเรื่องในอดีตของเหอจิ่นเซ่อแล้วเซียงฉือได้แต่ทอดถอนใจ ชะตาชีวิตนางก็ไม่ราบรื่น ผู้หญิงในยุคนี้ล้วนน่าสงสาร ทั้งชีวิตเพียงแต่งสามีได้เพียงคนเดียวสำหรับเหอจิ่นเซ่อแล้ว เมื่อคนรักแท้ของนางตายในการศึก คิดว่าใจของนางก็คงได้ตายไปพร้อมกันด้วยแล้ว 

 

 

เซียงฉือทอดถอนใจอย่างมาก แต่สุดท้ายก็นั่งลงรอการสอบของเหอจิ่นเซ่อ นางได้ฟังจากข้าราชสำนักสตรีอื่นพูดถึงกองราชเลขาว่าเป็นด่านที่ผ่านยากที่สุด เพราะเหอจิ่นเซ่อตั้งเงื่อนไขไว้โหดมาก 

 

 

  

 

 

[1] จย่า (甲) คืออันดับเกรดสูงสุด หมายถึง เกรดเอ 

 

 

[2] เซ่าเจียงจวิน (少将军) ยศทางทหาร เทียบเท่าพลตรี