บทที่ 580 ผอมลง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 580 ผอมลง!
แม้จะผ่านไปครบชั่วสิบลมหายใจ กำปั้นบนฟ้าก็ยังมีพลังกล้าแกร่งดั่งทัณฑ์สวรรค์แฝงอยู่ ผืนดินสั่นไหวปรากฏรอยร้าว ภูผารอบๆ สั่นคลอน ผู้ชมรอบๆ รีบหนีไปด้วยความตื่นตกใจ เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าที่จับตาดูต่างเป็นกังวลใจหนัก

แต่พวกเขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ศึกระหว่างหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินได้มาถึงจุดที่เหนือกว่าขั้นกำเนิดแก่นใน เทียบเคียงได้กับขั้นจุติวิญญาณหากไม่นับเคล็ดวิชาที่ใช้

“แพ้แล้วหรือ…” ทุกคนที่จับตาดูการต่อสู้อยู่ตะลึงงันไป หวังเป่าเล่อนอนมองกำปั้นยักษ์ร่วงลงมาจากฟากฟ้าอยู่ท่ามกลางกองหิน เขาผุดยิ้มขมขื่นขึ้น แต่ในตายังแฝงไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้!

ยังเหลืออีกอย่างที่ข้ายังไม่ได้ใช้! หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว แม่นางน้อยยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรตลอดการต่อสู้ แต่เขาก็รู้ว่านางไม่ได้หลับ แต่กำลังเฝ้าดูศึกครั้งนี้อยู่!

ไพ่ตายที่เหลืออยู่ไม่ใช่แม่นางน้อย แต่เป็นฝักกระบี่ที่อยู่ภายใน!

ฝักกระบี่เป็นสมบัติเวทชิ้นแรกที่หวังเป่าเล่อหลอมขึ้น แม่นางน้อยบอกว่ามันเป็นสมบัติเวทภายในกายที่สามารถจัดการได้ทุกสิ่ง จากการหล่อเลี้ยงมาตลอด นอกจากจะใช้ปล่อยยุงแล้วก็ดูจะไม่ได้มีประโยชน์อื่นอีก

หวังเป่าเล่อไม่เคยคิดจะใช้สมบัติชิ้นนี้มาก่อน แต่ตอนนี้…เสียงเย็นเยียบได้สว่างวาบขึ้นในตาของเขา ทันใดที่หมัดสี่อสูรพุ่งเข้ามาใกล้ ดอกบัวสีเขียวในกายหวังเป่าเล่อก็สั่นไหวรุนแรง พยายามฟื้นฟูร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แม้พลังกดดันของตู้กูหลินจะส่งผลให้การฟื้นฟูเป็นไปได้ช้าและไม่สมบูรณ์ แต่ก็เพียงพอให้ชายหนุ่มสามสารถปลดปล่อยการโจมตีที่ไม่เคยใช้มาก่อนได้!

ทันใดนั้น จิตวิญญาณนักสู้ก็ลุกโชติช่วงขึ้นในดวงใจ เขาร้องตะโกน หน้าผากผุดเส้นเลือดปูดโปนขณะกระแทกมือซ้ายลงกับเศษหินส่งตัวเองลอยขึ้นไปกลางอากาศ ชายหนุ่มไม่คิดหนี แต่พุ่งทะยานไปประจันหน้ากับหมัดสี่อสูร!

ภาพเบื้องหน้าทำให้บรรดาผู้ชมตื่นตะลึง พวกเขามองดูหวังเป่าเล่อพุ่งไปหาหมัดสี่อสูรซึ่งๆ หน้า!

ขณะที่ทุกคนจับจ้องไปทางหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองหมัดสี่อสูรที่ห่างออกไปไม่ถึงสามสิบเมตร ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาจับตรงหน้าอก!

ทันใดนั้น หน้าอกของเขาก็ส่องแสงสว่างจ้า ก่อนจะเผยให้เห็นปลายฝักกระบี่ หวังเป่าเล่อกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะดึงเอาฝักกระบี่ออกมาจากร่าง!

ฝักกระบี่ดูเก่าแก่ มีลักษณะไม่เหมือนของในอารยธรรมนี้ ทันใดที่ฝักกระบี่โผล่พ้นร่าง ฟากฟ้าก็เปลี่ยนสี ลมพัดกระหน่ำพัดเมฆหมอกปั่นป่วน ผืนดินสนามทดสอบสั่นไหว วัตถุชิ้นนี้เป็นเพียงสมบัติเวทระดับหก ไม่ใช่อาวุธเวท แต่กลับสร้างผลกระทบกับทั้งกระบี่สำริดเขียวโบราณเมื่อปรากฏ พลังมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากฝักกระบี่ของหวังเป่าเล่อ แผ่กระจายไปทั่วสนามทดสอบ!

ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีคมกระบี่ที่มองไม่เห็นในฝักกระบี่ แม้จะอยากดึงออกมา แต่ก็ดูเหมือนจะขาดอะไรไป!

ขาดไปเพียงแค่นิดเดียว!

หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามัวมานึกเสียใจและครุ่นคิดอะไรมาก เขาเลิกล้มความคิดที่จะดึงกระบี่ออกจากฝัก แต่ใช้ฝักกระบี่ต่างกระบี่ ฟาดฟันใส่หมัดสี่อสูรที่พุ่งตรงมา!

ทันใดนั้น ทุกสิ่งก็ดับแสงไปหมด ตอนแรกยังมีแสงส่องประกายบนฟากฟ้ายามราตรี แต่ตอนนี้แสงสว่าทั้งหมดดับหายไป ราวกับว่าการฟาดกระบี่ลงจะเป็นการดูดแสงทั้งหมด บนท้องฟ้าเหลือเพียงฝักกระบี่ที่ฟาดปะทะกับหมัดสี่อสูร!

เสียงระเบิดราวกับโลกาได้เปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธดังก้องไปทั่วสนามรบพร้อมกับคลื่นพลังรุนแรงที่แผ่วงกว้างไปทั่วทุกทิศ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม กระอักเลือดสดออกจากปาก ร่างของเขาร่วงลงพื้นจากแรงกดดันของหมัดสี่อสูร แต่มือยังจับฝักกระบี่เอาไว้แน่น พยายามต้านทานแรงปะทะสุดกำลัง!

หมัดสี่อสูรอันทรงพลังไม่ได้ถูกทะลายทิ้งจากฝักกระบี่ที่ฟาดฟันมา แต่ก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อไม่สามารถล้มหวังเป่าเล่อลงได้!

ฝักกระบี่ได้ต้านพลังหมัดไว้!

เหมือนว่าฝักกระบี่ได้เพิ่มพูนพลังให้หวังเป่าเล่อทำให้ชายหนุ่มสามารถต้านทานพลังหมัดสี่อสูรเอาไว้ได้ มองจากไกลๆ จะเห็นเป็นภาพอันน่าพรั่นพรึง กำปั้นยักษ์ห่างจากพื้นเพียงแค่เพียงนิดเดียว ใต้กำปั้นยักษ์เป็นหวังเป่าเล่อที่ถือฝักกระบี่ต้านกำปั้นไม่ให้พุ่งเข้าใส่ตนเอง!

ชายหนุ่มเป็นดั่งหินแข็งที่เข้าขัดวงล้อแห่งโชคชะตาไม่ให้หมุนทำลายทุกสิ่ง!

หวังเป่าเล่อได้ใช้พลังถึงขีดจำกัด แขนข้างที่ถือฝักกระบี่ไว้สั่นระริก ดอกบัวสีเขียวในการสั่นไหว พลังกายขนาดมากกว่าครั้งไหนๆ พวยพุ่งออกมาฟื้นฟูร่างกายหวังเป่าเล่อไม่หยุด หากหยุดเมื่อใด ร่างกายจะถูกบดขยี้ จึงไม่มีทางใดนอกจากต้านทานต่อไป

ทนได้ไม่นาน ร่างกายก็ไม่สามารถรับได้ไหว ผิวหนังและกระดูกเริ่มปริแตก พลังจากกำปั้นทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถหายใจได้ ร่างกายที่ฉีกขาดถูกซ่อมแซมไม่หยุดหย่อน แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทนต่อไปได้นาน

แก่นในแห่งอัสนีเริ่มปริแตก แก่นในแห่งความมืดก็เช่นกัน หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป แก่นในทั้งสองจะถูกทำลาย พลังปราณจะหายวับไปหมด ขั้นกำเนิดแก่นในจะพังลง!

สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนราง ชายหนุ่มได้ยินเสียงดังแว่วขึ้น มีทั้งเสียงที่คุ้นเคยและเสียงที่ไม่เคยได้ยิน แต่ทุกเสียงต่างกรีดร้องบอกให้เขายอมแพ้ไป!

ข้าจะยอมแพ้ได้อย่างไร เต๋าของข้าห้ามไม่ให้ยอมแพ้ ความทะเยอทะยานของข้าห้ามไม่ให้ยอมแพ้…หวังเป่าเล่อผู้นี้ไม่มีวันยอมแพ้! ขณะที่หวังเป่าเล่อกรีดร้องอยู่ในใจ รอยร้าวบนแก่นในแห่งความมืดและแก่นในสายฟ้าก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น ร่างของเขากำลังจะพังลง ดอกบัวสีเขียวไม่สามารถช่วยซ่อมแซมร่างกายได้ทัน

ขณะที่ร่างกายกำลังจะทลายลง จิตวิญญาณของชายหนุ่มก็ลุกโชติช่วงส่งให้ตนก้าวข้ามขีดจำกัด เกิดเสียงดังสนั่น เมล็ดดูดกลืนในกายพลันตื่นขึ้น!

ท่ามกลางสถานการณ์เสี่ยงตายเช่นนี้ มันไม่ได้ดูดกลืนพลังจากภายนอก แต่กลืนกินเอาดอกบัวสีเขียว รวมถึงแก่นในแห่งความมืดและแก่นในแห่งอัสนีเข้าไป ทุกสิ่งไม่ได้หายไปไหน หากแต่ผสานรวมกันกับเมล็ดดูดกลืนเป็นครั้งที่สอง!

ครั้งแรกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นตอนที่ดอกบัวสีเขียวฝังลงตรงเมล็ดดูดกลืนเป็นครั้งแรก หลังจากกลืนกินทุกสิ่งเข้าไป ก็เหมือนจะยังไม่เพียงพอ เมล็ดดูดกลืนจึงเริ่มดูดกลืนร่างกายของหวังเป่าเล่อ ร่างกลมอ้วนของเขาผอมลงอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา ภาพหวังเป่าเล่อเบื้องหน้าทุกคนก็…

ไม่ได้มีรูปร่างอ้วนกลมอีกต่อไป แต่เป็นร่างผอมเพรียว ชายหนุ่มผอมสูง คิ้วเป็นทรงสวย ดวงตาแหลมคม โครงหน้าได้รูปและชุดคลุมหลวมโพรกทำให้เขาดูหล่อเหลายิ่งนัก อาจเป็นเพราะแตกต่างจากภาพที่เคยเห็นก่อนหน้ามาก ทุกคนจึงตื่นตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ หวังเป่าเล่อในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือ!

แม้แต่จั่วอี้ฟานที่ถือว่าเป็นคนรูปงามในสหพันธรัฐยังไม่สามารถทัดเทียมความหล่อของเขาได้เพราะยังขาดบางสิ่งที่หวังเป่าเล่อมี นั่นก็คือความกล้าหาญ ทัศนคติอันดีงาม และพลังที่สามารถทำลายได้ทุกสิ่ง!

ทุกสิ่งประกอบกันทำให้หวังเป่าเล่อดูหล่อเหลา แต่ก็แฝงไปด้วยกลิ่นไอแห่งความชั่วร้าย ชายหนุ่มทรงเสน่ห์เสียจนหลี่อี้ที่จับตาอยู่ด้านนอกต้องเบิกตากว้าง

ทันใดนั้น เมล็ดดูดกลืนก็เริ่มกระบวนการตีกลับ เริ่มปล่อยพลังเข้าหล่อเลี้ยงร่างกาย!

พลังปราณของหวังเป่าเล่อปะทุขึ้น พลังกายพวยพุ่งขึ้นจากร่างที่อ่อนแรงก่อนหน้า ก่อนจะบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางไปขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายในชั่วพริบตา!

ยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น หลังจากบรรลุสู่ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย เมล็ดดูดกลืนก็ยังคงส่งพลังไปหล่อเลี้ยงไม่หยุด พลังปราณในกายเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย เพียงครู่เดียว ระดับการฝึกตนของเขาก็พุ่งไปช่วงปลายสุดของชั้นปลาย ห่างจากชั้นสมบูรณ์แค่เพียงนิดเดียว!

ภาพเบื้องหน้าทำให้ตู้กูหลินรวมถึงผู้ชมทั้งในและนอกสนามรบตื่นตะลึงไป!

“บรรลุขั้นการฝึกตนระหว่างการต่อสู้!”

ขณะที่ผู้คนกำลังส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ พลังปราณของหวังเป่าเล่อก็พวยพุ่งออกมา อาการบาดเจ็บได้รับการฟื้นฟูในทันใด ชายหนุ่มได้พลังที่เสียไปกลับคืน อีกทั้งยังทวีคูณสูงขึ้นกว่าก่อน คลื่นพลังน่าพรั่นพรึงแผ่พุ่งออกมาจากร่าง ทรงพลังเสียจนสามารถทำลายสรวงสวรรค์ลงได้ มือเลิกสั่นไหว จับกระบี่ได้มั่นคงมากขึ้น ขณะที่ตู้กูหลินมองมาอย่างไม่เชื่อสายตา หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นมองผ่านกำปั้นสี่อสูรไปสบตากับตู้กูหลินที่อยู่ภายใน!

“ข้าไม่มีวันยอมแพ้!” หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้น ดวงตาเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้!

บทที่ 651 เจ้าเยี่ยเหมิงผู้น่าสะพรึงกลัว!

สายฟ้าเปล่งประกายอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาพุ่งตัวออกไปหากองเสื้อผ้าเก่าขาดเปื้อนโลหิต ชายหนุ่มเรียกหุ่นเชิดออกมารอบกายและออกคำสั่งให้พวกมันค้นในบริเวณนั้นให้ทั่ว

ขณะที่หวังเป่าเล่อค้นหาไปทั่วบริเวณอย่างบ้าคลั่ง เจ้าเยี่ยเหมิงก็อยู่ในหุบเขาที่ห่างจากเขาไปประมาณห้าสิบกิโลเมตร นางเพิ่งจะกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่ ใบหน้าของนางซีดเซียว ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง มือทั้งคู่กำเข็มทิศเอาไว้อย่างแน่นหนา

เข็มทิศนั้นส่องแสงสว่างจ้าที่ประกอบตัวกันเป็นเกราะป้องกันที่ล้อมรอบกายนางเอาไว้ แสงนั้นอ่อนแรงลงทุกที ดูราวกับว่าเกราะนั้นจะอยู่ได้อีกเพียงไม่นาน

เปลวไฟสีฟ้าลุกไหม้อยู่ด้านนอกเกราะป้องกันนั้น ขังเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ด้านใน ใบหน้าจำนวนมหาศาลผุดออกมาจากในเปลวไฟนั้น ก่อนจะพุ่งเข้าชนเกราะกำบังอย่างต่อเนื่องพลางส่งเสียงร้องโหยหวนไปที่นาง

เกราะป้องกันนั้นกันพวกมันเอาไว้ได้ในตอนนี้ แต่ว่าแสงของมันก็จางลงทุกทีๆ อุณหภูมิภายนอกพุ่งสูงขึ้นขณะที่เปลวไฟสีฟ้ายังคงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง ผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่กลางเปลวเพลิง เขาสวมใส่เสื้อคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาลและเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจากฝ่ายของเมี่ยเลี่ยจื่อ นัยน์ตาของเขาส่องประกายกล้าขณะที่จับจ้องไปยังเจ้าเยี่ยเหมิงผู้ซึ่งติดอยู่ภายในเกราะกำบังนั้น ก่อนที่จะหัวเราะด้วยเสียงแหบพร่า

“ไม่เลวเลย ที่ยังเก็บซ่อนวิธีเอาตัวรอดมาไว้จนป่านนี้” ผู้อาวุโสหัวเราะ เขาไม่ได้ดูกลัดกลุ้มกับเกราะกำบังแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาทั้งคู่จับจ้องไปที่เจ้าเยี่ยเหมิงอย่างพินิจพิเคราะห์และหิวโหย

“แม่นางน้อย ข้ามองเห็นความสามารถของเจ้าตั้งแต่การทดสอบแย่งชิงใบต้นไฮยาซิน เจ้าไม่ได้ใช่สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติธรรมดาๆ ทวารทั้งเจ็ดของเจ้าเปิดออกหมดแล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าจะเป็นวัตถุชั้นเลิศในการหลอมโอสถโพรงวิญญาณ ช่างหายากเสียจริง!” ผู้อาวุโสฉีกยิ้ม ความหิวกระหายใจแววตาทวีคูณขึ้น ก่อนจะยกมือทั้งสองประสานกันเป็นผนึกฝ่ามือจำนวนมาก ส่งผลให้เปลวไฟสีฟ้ายิ่งเผาไหม้อย่างรุนแรงยิ่งขึ้น เปลวไฟโลมเลียเกราะป้องกันที่มีเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ด้านใน ผู้อาวุโสโจมตีต่อเนื่องโดยการลอยตัวไปรอบๆ เจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะทุบผนึกฝ่ามือลงกับแผ่นดิน

อักขระเวทโบราณจำนวนมหาศาลปรากฎออกมาล้อมรอบหญิงสาวเอาไว้ และเปลวไฟก็พุ่งสูงตามไปด้วย เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่นและกระอักเอาโลหิตออกมาอีกเต็มปาก แขนทั้งสองข้างของนางสั่นเทาจนกระทั่งเข็มทิศแทบจะหลุดมือ

นางไม่ได้พยายามเช็ดโลหิตออกจากริมฝีปาก กลับกัน เจ้าเยี่ยเหมิงเงยหน้าขึ้นจ้องเยือกเย็นไปทางผู้อาวุโสที่กำลังยิ้มเผล่ แววตาของเขาดูน่าสะพรึงกลัวขึ้นเรื่อยๆ ชายชราติดตามนางมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงมองไม่เห็นใครตั้งแต่นางฟื้นคืนสติมา นางเดินทางอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้พบเจอกับอันตรายมากมาย กระทั่งมาพบกับผู้อาวุโสคนนี้

ศัตรูของนางมีเป้าหมายชัดเจน ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของนางมาโดยตลอด ก่อนจะเข้าปรากฎตัวและจู่โจมนางทันที หากไม่ใช่เพราะได้วัตถุเวทล้ำค่าที่ได้รับมอบมาจากบิดาที่ช่วยปัดป้องการโจมตีของเขาออกไป เจ้าเยี่ยเหมิงก็คงจะตายไปแล้ว

แต่ทว่าถึงแม้จะมีวัตถุเวทดังกล่าวในครอบครอง ตอนนี้นางก็ติดกับ เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่าผู้อาวุโสจะไม่สังหารนางทันที เพราะเขาต้องการใช้นางเป็นวัตถุดิบในการหลอมโอสถโพรงวิญญาณ!

เจ้าเยี่ยเหมิงกัดริมฝีปาก นางไม่โกรธและก็ไม่ได้จะพูดอะไรกับคู่ต่อสู้ พลังปราณของนางหมุนวนอยู่ภายในกาย และแม้ว่ากำลังจะหมดแรง แต่นางก็ไม่ได้หยุดปล่อยพลังงานเข้าไปในเข็มทิศ เข็มทิศนั้นเป็นอาวุธเวทระดับแปดที่นางพกติดตัวมาด้วยจากสหพันธรัฐ อาวุธเวทนี้ควรจะช่วยรักษาชีวิตนาง เจ้าเยี่ยเหมิงได้สร้างผนึกขึ้นมาอันหนึ่งหลังจากได้รับวิชาวงแหวนปราณเอื้อชางโบราณมาและสลักผนึกนั้นเอาไว้บนเข็มทิศนี้ ซึ่งช่วยเพิ่มพลังให้มันอีกต่อหนึ่ง

เข็มทิศตอนนี้กำลังทำงานอย่างเต็มที่ ร่วมกับพลังของจี้ที่ห้ออยู่บนคอนาง เจ้าเยี่ยเหมิงจึงสามารถต้านทานการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้ แต่ทว่า นางรู้ดีว่าพลังของจี้นั้นกำลังลดถอยลงไป เมื่อใดก็ตามที่มันหมดไป นางก็คงไม่อาจจะป้องกันต่อไปได้ด้วยวงแหวนปราณเพียงอย่างเดียว

เจ้าเยี่ยเหมิงทำทุกทางเพื่อจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ตลอดเวลาสามวัน นางทิ้งร่องรอยโลหิตของตนและกองเสื้อผ้าขณะที่หลบหนี เพื่อเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่กระนั้น นางก็ไม่ได้พบกับใครเลยในโลกนี้ กำลังใจของหญิงสาวกำลังเสื่อมถอย ไม่ว่านางจะมีความอดทนสักเพียงใดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เจ้าเยี่ยเหมิงก็ยังไม่หมดหวัง!

นางไม่ใช่คนอ่อนแอ นางมีความทะเยอทะยาน มีความฝัน และความเชื่อเป็นของตนเอง ภายใต้ใบ้หน้าที่สงบนิ่งเรียบเฉยมีเปลวไฟร้อนแรง ที่อาจจะแผดเผาทั้งผู้อื่นและตัวนางเอง!

เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่า ณ จุดนี้คงไม่มีใครมาช่วยนางได้ ความมุ่งมั่นฉาบเคลือบอยู่ในแววตาเมื่อนางพยายามส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสมองเห็นนางใช้ผนึกฝ่ามือ เข็มทิศของนาง ที่น่าจะทนได้อีกสักหน่อย จู่ๆ ก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและเกิดระเบิดขึ้น!

แรงระเบิดจากอาวุธเวทระดับแปดไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เจ้าเยี่ยเหมิงได้สลักผนึกแห่งวงแหวนปราณโบราณเอื้อชางลงไปบนเข็มทิศนั้น ทำให้แรงระเบิดยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก เสียงกัมปนาทดังสนั่นปะทุขึ้น ก่อนจะก่อตัวเป็นลมหมุนที่พวยพุ่งออกไปทั่วทุกสารทิศ

เปลวไฟสีน้ำเงินหดตัวลงและสั่นไหวจนเกือบจะดับสลาย มวลหมู่ภูเขาส่งเสียงร่ำร้องและหดตัวถอย การโจมตีนั้นคงจะฝากรอยแผลไว้ให้กับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้เลยหากใช้ได้ตอนไม่ทันตั้งตัว แต่แววตามุ่งมั่นจนน่ากลัวในตาของเจ้าเยี่ยเหมิงแสดงให้เห็นชัดเจนเกินไป คู่ต่อสู้สัมผัสได้ถึงการโจมตีของนาง และมีเพียงเสียงหัวเราะเยาะที่ดังสะท้อนมาในอากาศ ขณะที่ตัวผู้อาวุโสถอยหนีและหลบแรงกระแทกจากการระเบิดที่กระจายออกไปพร้อมลมพายุ ชายชรายกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ เปลวไฟสีฟ้าที่ดูจะอ่อนแรงลงไปเมื่อครู่นี้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งอย่างรุนแรง ก่อนจะแปรสภาพเป็นหัตถ์ลุกไหม้ขนาดยักษ์ที่เอื้อมคว้าออกไปทางเจ้าเยี่ยเหมิง!

เจ้าเยี่ยเหมิงมีท่าทีสงบแม้ว่าความพยายามของจะล้มเหลวและทำให้ตอนนี้นางตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิม แต่ทว่า นัยน์ตาของนางก็มีประกายแห่งความตื่นตระหนกและสิ้นหวังฉายอยู่ขณะที่นางถอยหนีและปล่อยพลังปราณออกมาจนถึงขีดสุด หญิงสาวไม่อาจจะหลบหนีการจับกุมได้ด้วยพลังปราณของนางที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในและอาการบาดเจ็บในขณะนี้ หัตถ์ขนาดยักษ์จับตัวเจ้าเยี่ยเหมิงได้แทบจะในทันที และดึงตัวนางไปอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทันที

“แม่สาวน้อย แผนการของเจ้ายังอ่อนหัดนัก…” ผู้อาวุโสฉีกยิ้ม แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขวาขึ้นอย่างปุบปับ ก่อนจะคว้าเอาจี้ห้อยคอของเจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะขว้างออกไปไกล จี้หอยคอระเบิดออก ส่งคลื่นกระแทกอันรุนแรงยิ่งกว่าการระเบิดของเข็มทิศออกไปทั่วทุกทิศทาง ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงซีดขาวลงถนัดตา

“การระเบิดครั้งก่อนหน้าก็เพื่อจะหลอกให้ข้าตายใจ โดนหวังว่าการระเบิดครั้งที่สองจะได้ผล แม่นางเอ๋ย เจ้านี่ช่าง…” เจ้าเยี่ยเหมิงขัดจังหวะผู้อาวุโส โดยการซัดเข็มเหาะเหินออกมาจากปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย!

“แผนหลอกเด็ก!” ผู้อาวุโสคำรามออกมาพร้อมส่งสายตาจงเกลียดจงชัง ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นจับเข็มที่พุ่งตรงไปยังหน้าผากของเขาเอาไว้ได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปทันทีที่สัมผัสโดนเข็ม มันสลายกลายเป็นฝุ่นสีเทาที่ล่องลอยพุ่งไปยังดวงตาทั้งสอง

ผู้อาวุโสหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงยังคงซีดเผือด แต่ความตื่นตระหนกและสิ้นหวังในแววตาบัดนี้มลายหายไปสิ้น ถูกแทนที่ด้วยความดุร้าย หญิงสาวยกมือขวาขึ้น จรดปลายนิ้วชี้เข้ากับนิ้วหัวแม่มือก่อนจะกดลงอย่างแรง!

มีวัตถุเล็กๆ ฝังตัวอยู่ตรงปลายนิ้วหัวแม่มือของเจ้าเยี่ยเหมิง ดูเหมือนว่ามันจะถูกปลุกขึ้นด้วยการกดอย่างแรงนั้น ลำแสงแรงกล้าสองสายปรากฏขึ้นมาจากปลายนิ้วนั้น อันหนึ่งเป็นสีแดง อีกอันเป็นสีขาว!

แสงสีขาวห้อมล้อมกายเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ก่อนจะกลายเป็นเกราะลูกโป่งอากาศ ขณะที่แสงสีแดงนั้นพุ่งตรงเข้าหาผู้อาวุโสขั้นจุติวญญาณทันที หากจ้องมองให้ลึกเข้าไปยังแสงสีแดงแล้ว ก็อาจจะเห็นผลึกขนาดจิ๋วที่ถูกบีบอัดมานับครั้งได้ถ้วน!

คลื่นพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากผลึกเล็กจิ๋วนั้น ก่อนที่มันจะพุ่งชนผู้อาวุโสก่อนที่เขาจะตั้งรับได้ทัน เกิดเป็นการระเบิดดังสนั่น!

มีเกราะกำบังปรากฏขึ้นในวินาทีเดียวกัน เกราะนั้นดูเหมือนว่าจะสามารถจับปราณวิญญาณได้ และทำหน้าที่ปิดผนึกพลังปราณของเป้าหมาย แรงสะท้อนกลับอย่างรุนแรงจากปราณวิญญาณนั้นก่อตัวเป็นหลุมดำขนาดเท่ากำปั้นที่มีแรงดูดอันทรงพลัง ราวกับว่าสามารถจะฉีกทึ้งทำลายทุกสรรพสิ่ง!

สิ่งนี้ก็คือ…การผสานรวมระหว่างวิทยาการที่ก้าวหน้าที่สุดของสหพันธรัฐเข้ากับพลังวิญญาณ…หรือระเบิดต้านทานวิญญาณนั่นเอง!

ผู้อาวุโสส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดท่ามกลางแรงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัว กายเนื้อของเขาสลายเป็นเศษเนื้อขณะที่ปลิวกระดอนถอยหลังไป เจ้าเยี่ยเหมิงเอง แม้ว่าจะเจ็บหนัก แต่ก็ถอยหลังกลับมาภายใต้เกราะกำบังจากแสงสีขาวได้สำเร็จ แต่กระนั้น เกราะกำบังก็ยังไม่อาจคุ้มครองนางได้เต็มที่ หญิงสาวกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่ ขณะนี้ร่างกายของนางอ่อนล้าถึงขีดสุด แต่ประกายแสงในแววตานั้นไม่ได้จางหายไป ในแววตาของเจ้าเยี่ยเหมิงนั้นไม่แสดงอาการอ่อนแอหรือสิ้นหวังออกมาแม้แต่นิดเดียว

ไม่ใช่ความอ่อนด้อยประสบการณ์แต่อย่างใดที่นำพาให้เจ้าเยี่ยเหมิงแสดงความอาฆาตมาดร้ายหรือความตื่นกลัวออกมาทางแววตา การระเบิดเข็มทิศและจี้ห้อยคอก็เพื่อเป็นนกต่อ นางต้องการจะให้อีกฝ่ายมั่นใจในความสำเร็จ มากพอที่จะไม่ทันระวังตัว เพื่อที่นางจะได้ใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดได้อย่างเต็มที่!

เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่ามีโอกาสเพียงครังเดียวเท่านั้น นางจึงได้วางแผนนี้มาอย่างรัดกุมถึงขีดสุด!